ภายใต้คำชี้แนะของหลงหว่านเอ๋อร์และเย่เฟิง ชูชูก็เริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์ของตระกูลหลง— วิทยายุทธ์ฮว่าหลง ทางฝั่งหนานฟางเองก็เริ่มดูดซับพลังฟ้าดินจากต้นปะการังขนาดเล็ก ด้านหลงหว่านเอ๋อร์คุ้นเคยแนวทางดีอยู่แล้วทำให้สามารถดูดซับพลังทั้งหมดจากาาปะการังได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพลังบ่มเพาะของเธอก็พุ่งไปถึงระดับสิบแปดปี!
สถานการณ์เช่นนี้เป็สิ่งที่หลงหว่านเอ๋อร์ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ตอนนี้ไม่เพียงมีพลังบ่มเพาะระดับสิบแปดปี แต่ยังเป็ผู้ฝึกวิถีเซียน นั่นทำให้ความแข็งแกร่งของเธอเทียบเท่ากับผู้ฝึกวรยุทธ์ฝีมือสูงส่งที่มีระดับพลังบ่มเพาะสามสิบหกปี
“วิชาเซียนที่ฉันสอนเธอไป ลองฝึกแล้วเป็ยังไงบ้าง?”
เย่เฟิงเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็โล่งใจก่อนจะถาม
“ฝึกสำเร็จหมดแล้ว”
หลงหว่านเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนพร้อมขยิบตาให้อีกฝ่าย
“จริงเหรอ? งั้นลองปล่อยลูกไฟให้ดูหน่อยสิ”
เย่เฟิงประหลาดใจ แม้ย่างก้าวไร้เงา ทักษะล่องหน และเปลวสุริยะจะเป็วิชาเซียนอย่างง่าย แต่หลงหว่านเอ๋อร์ไม่เคยฝึกวิถีเซียนมาก่อน เธอจะสามารถเรียนรู้มันได้รวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?
แม้ร่างกายของเธอเป็ร่างชีพจรเซียน แต่พร์ของเธอเป็เื่ที่เหนือความคาดหมายมากทีเดียว...
แน่นอนว่าหากเปลี่ยนเป็เย่เฟิง ย่อมพัฒนาได้เร็วกว่าเธอ ทว่าความเร็วในการพัฒนาของหลงหว่านเอ๋อร์ก็ยังทำให้เขาประหลาดใจ
เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ลังเลที่จะรวบรวมพลังลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ ‘พรึ่บ’ เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับลูกไฟปรากฏขึ้นบนมือของเธอ!
เมื่อดูจากระดับความสว่างและระดับความเข้มข้นของลูกไฟจะเห็นว่าลูกไฟของหลงหว่านเอ๋อร์ดูทรงพลังยิ่งกว่าของเย่เฟิง นั่นเป็เพราะพลังบ่มเพาะระดับสิบแปดปีของเธอ
“เยี่ยม”
สายตาของเย่เฟิงแสดงออกถึงความชื่นชม ดูเหมือนการให้เธอฝึกวิถีเซียนจะเป็เื่ที่เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว หากเป็เช่นนี้ต่อไป หลงหว่านเอ๋อร์จะเป็กำลังสำคัญที่จะคอยช่วยเหลือเขาในอนาคต! พลังบ่มเพาะระดับสิบแปดปีร่วมกับสิบสองปี เมื่อพวกเขาทั้งคู่ร่วมมือกันก็เทียบได้กับคนที่มีพลังบ่มเพาะระดับสามสิบปี ยิ่งรวมกับอานุภาพของพลังชี่และพลังภายในก็ถือว่าน่ากลัวกว่าหลงโม่หรานเสียอีก
แม้จะรู้ว่าหลงโม่หรานบรรลุเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทราขั้นที่สามแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ เย่เฟิงก็ยังไม่เคยเห็นกระบวนท่าของมันสักครั้ง จึงยังไม่ทราบอานุภาพของมันว่าทรงพลังเพียงใด ดังนั้นเขาจะประมาทอีกฝ่ายไม่ได้
“ในเมื่อเธอฝึกสำเร็จแล้ว ตอนนี้ฉันจะสอนวิชาเซียนอีกอย่างให้เธอ เป็วิชาเซียนที่ฉันและอาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมาจากสำนักของเรา วิชาศรฝังดวงดาว”
ในที่สุดเย่เฟิงก็พูดความคิดของตัวเองออกมาพร้อมอธิบายเส้นทางการฝึกวิชาศรฝังดวงดาวแก่หลงหว่านเอ๋อร์ วิชานี้ไม่ใช่วิชาเซียนที่สามารถฝึกได้ง่ายเหมือนที่ผ่านมา แม้แต่เย่เฟิงเองยังใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมงกว่าจะบรรลุและใช้งานขั้นต้นได้ มันจึงถือเป็เื่ยากสำหรับหลงหว่านเอ๋อร์
เมื่อหลงหว่านเอ๋อร์ได้ฟังวิธีการฝึกก็ถึงกับขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่านี่เป็เื่ที่ซับซ้อนมากทีเดียว
การโคจรพลังลมปราณแต่ละวิชาเซียนนั้นมีวิธีการแตกต่างกัน ไม่ว่าใครที่ได้ฝึกวิชาใหม่ย่อมยังไม่สามารถทำได้ในทันที รวมถึงเย่เฟิงเช่นกัน ชายหนุ่มเป็อัจฉริยะแต่ไม่ใช่เทพเซียน เขาสามารถเข้าใจวิชาเซียนได้รวดเร็วและลึกซึ้งกว่าผู้ฝึกวิถีเซียนทั่วไป ทว่ายังจำเป็ต้องใช้เวลาช้าเร็วแตกต่างกันไป
“เมื่อเธอฝึกมันสำเร็จแล้วเราจะออกทะเลกัน เธอจำเป็ต้องใช้วิชานี้เพื่อทะลวงชั้นน้ำแข็งที่อยู่ในทะเล” เย่เฟิงพูด
“นายจะไปตามหาอาจารย์ของนายเหรอ?”
หลงหว่านเอ๋อร์รู้สึกกังวลขึ้นมา
“ฉันเพียงหวังว่าอาจารย์จะอยู่ที่นั่น” เย่เฟิงยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้อาจารย์จะอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่ไม่มีวันทำให้คนของตัวเองลำบากใจหรอก”
“อื้ม”
หลงหว่านเอ๋อร์พยักหน้า ในใจเธอยังกระวนกระวายอยู่บ้าง อาจารย์ของเย่เฟิงย่อมเป็ผู้ฝึกวิถีเซียนที่มีความสามารถมากแน่นอน เพราะแม้แต่เย่เฟิงที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ยังได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากเธอ...
แม้ท้องฟ้าด้านนอกจะมืดครึ้ม มีประกายสายฟ้า ทั้งยังมีพายุฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องจนมองไม่เห็นดาวสักดวง แต่วิชาศรฝังดวงดาวไม่จำเป็ต้องมองเห็นดวงดาวก็ได้ ตราบใดที่ดวงดาวดำรงอยู่ก็เพียงพอที่จะดูดซับพลังจากหมู่ดาวจนก่อเกิดเป็ศรขึ้น
หลงหว่านเอ๋อร์ยังคงนั่งตัวตรงขณะทำความเข้าใจวิชาเซียนจนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน เวลาเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า
เย่เฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างเผาทำลายซากต้นาาปะการังและต้นปะการังขนาดเล็กทั้งสามต้นเพื่อไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐาน นอกจากนี้เขายังมีต้นปะการังขนาดเล็กอีกห้าต้นที่เหลือพลังไม่มากนัก ทว่าใน่เวลาวิกฤตยังสามารถใช้พวกมันเพิ่มพลังลมปราณได้ เย่เฟิงจึงพกมันติดตัว
“หืม?”
ทันใดนั้นเย่เฟิงก็ขมวดคิ้ว
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
หนานฟางที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังศึกษาการใช้อุปกรณ์ทั้งสองชิ้นที่ยึดมาจากมือปราบิญญานิโคติน เมื่อเขาได้ยินเสียงเย่เฟิงก็อดถามไม่ได้
“นี่มันอะไร”
เย่เฟิงยกแขนขึ้นมาดู และรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีที่เห็นว่ามีเข็มเงินเล่มหนึ่งทิ่มแขนของตน หากไม่รู้สึกเจ็บที่แขน เขาคงไม่สังเกตเห็นเข็มเงินเล่มนี้เลย
“แย่แล้ว นี่มันเข็มล่องหนพันลี้งั้นเหรอ?”
หลงหว่านเอ๋อร์ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจก่อนกล่าวด้วยความใ
“เข็มล่องหนพันลี้ มันคืออะไร?”
เย่เฟิงดึงเข็มเงินเล่มนั้นออก ทว่าเพียงไม่นานก็รู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างเริ่มชา ก่อนจะไร้ความรู้สึกในที่สุด
“มันเป็อาวุธลับชนิดหนึ่งของสำนักอิ่นเซียน เป็อาวุธที่สามารถใช้ได้ในระยะไกลและไร้เสียง ผู้เป็เป้าหมายจะแทบไม่รู้ตัวเลย”
หลงหว่านเอ๋อร์อธิบายอย่างรวดเร็วพร้อมลุกขึ้นยืน จากนั้นใช้จิตหยั่งรู้กวาดมองไปรอบๆ “แย่แล้ว ดูเหมือนว่ายังมีคนจับตามองพวกเราอยู่ นึกไม่ถึงว่าจิตหยั่งรู้จะไม่สามารถตรวจเข็มล่องหนพันลี้พบ ทุกคนระมัดระวังตัวด้วย”
เมื่อได้ฟังเธออธิบาย สีหน้าของเย่เฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม ตอนนี้หลงหว่านเอ๋อร์มีพลังบ่มเพาะระดับสิบแปดปี จิตหยั่งรู้ของเธอสามารถสำรวจได้ในรัศมีร้อยแปดสิบเมตร ทว่าในบริเวณนี้ไม่มีบุคคลน่าสงสัย เห็นได้ชัดว่าคนจากสำนักอิ่นเซียนที่มีฝีมือสูงส่งผู้นี้อยู่ไกลออกไป ด้านเย่เฟิงที่มีระดับพลังบ่มเพาะเพียงสิบสองปียิ่งไม่สามารถรับรู้ได้เลย
เข็มล่องหนพันลี้ ช่างสมกับชื่อเรียกของมันเสียจริง!
เย่เฟิงนึกถึง่เวลาขณะอยู่ในโรงงานร้างที่เมืองเยี่ยนจิง ตอนที่นักล่าิญญาใช้อาวุธลับก็สามารถใช้มันได้ไกลกว่าหนึ่งร้อยเมตรเช่นกัน
‘ดูท่าผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธลับเป็คู่ต่อสู้ที่ไม่ควรประมาทเลย’ เย่เฟิงครุ่นคิดในใจ สถานการณ์ตอนนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย จุดสำคัญที่สุดคืออีกฝ่ายรู้ตำแหน่งของพวกเขาดี ดังนั้นเข็มล่องหนพันลี้เล่มนี้จึงแทงแขนของเขาได้โดยตรง
“เสี่ยวเฟิง ฉันมีอะไรให้เธอดู”
ชูชูวิ่งเข้ามาด้านข้างก่อนจับแขนของเขาไว้
“ระวัง น้าชูชูมาหลบหลังผมไว้เร็ว”
เย่เฟิงเข้าไปขวางหน้าชูชูเอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับอ้าแขนปกป้องเธอ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เข็มเงินหลายเล่มพุ่งมาจากทางระเบียงอย่างต่อเนื่อง แต่เย่เฟิงเห็นมันได้ไม่ชัดเจน ทันใดนั้นตัวเขาก็ถูกเข็มเงินปักทั่วร่าง! บนเข็มเงินเ่าั้เคลือบยาพิษเอาไว้ มันแพร่กระจายสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเริ่มรู้สึกชาไปทั้งร่าง
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น หลงหว่านเอ๋อร์และหนานฟางที่อยู่ด้านข้างก็พลอยถูกเข็มเ่าั้ปักเข้าไปหลายอัน
ฝีมือของคนจากสำนักอิ่นเซียนผู้นี้นับว่าสูงส่งยิ่ง!
เขาไปยั่วโมโหบุคคลที่มีฝีมือสูงส่งเช่นนี้เมื่อไรกัน?
เย่เฟิงครุ่นคิดอยู่สักพักก็เข้าใจ เขานึกเสียใจภายหลังอยู่เงียบๆ เมื่อจำได้ว่าต้องเป็ผู้หญิงคนนั้นแน่ เขาน่าจะกำจัดเธอทิ้งเสียั้แ่ตอนนั้น
ตอนที่อยู่บนูเาฉางไป๋ เย่เฟิงลงมือสังหารหลี่จวิ้นหลง บุตรชายบุญธรรมของผู้าุโสำนักอิ่นเซียนในกระบี่เดียว ทว่าตอนนั้นเพราะเขายอมทำตามเจตนารมณ์ของจูไป่เหนี่ยว จึงยอมปล่อยตู้เจวียนไป เื่ในตอนนั้นคงถูกคนของสำนักอิ่นเซียนรู้เข้าแล้วแน่ๆ พวกเขาจึงส่งคนออกมาล้างแค้นแทนหลี่จวิ้นหลง
ท่ามกลางพายุฝนที่ตกลงมาอย่างหนักภายนอกห้อง เงาร่างดำมืดพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เคล็ดวิชาตัวเบาของเขาว่องไวราวกับแสง!
สายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรงในยามค่ำคืนทำให้แสงสว่างวาบขึ้นชั่วครู่ ปรากฏให้เห็นร่างเงาของคนสวมหน้ากากดำ ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำและมืดมนราวกับภูตผีปีศาจที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่น
คนผู้นั้นคือคนที่ใช้อาวุธลับซึ่งมีระดับพลังบ่มเพาะห้าสิบปี!