คำพูดของนักดาบแขนเดียวทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูถึงกับหน้าเขียว เย่เฟิงคนเดียวก็ทำพวกเขาอับอายขายหน้าเกินพอแล้ว บัดนี้ยังมีนักดาบแขนเดียวเพิ่มมาอีกคน แล้วพวกเขาจะมีทางรอดอยู่อีกหรือ?
แม้แต่เย่เฟิงที่เห็นนักดาบแขนเดียวปรากฏตัวก็รู้สึกเกินคาด แต่เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย
“ไป!” หัวหน้าคนหนึ่งเห็นสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อพวกเขาจึงคิดหนีไปจากที่นี่
“คิดหนีหรือ? สายไปแล้ว!” คนเหล่านี้้าฆ่าเย่เฟิง บัดนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยจึงคิดหลบหนี จะเป็แบบนั้นไปได้อย่างไรกันเล่า?
เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูคนหนึ่งในพริบตา พร้อมกับมีรังสีหมัดทะลวงอากาศเยือนผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้ศีรษะของอีกฝ่ายแตกะเิในทันที!
ขณะเดียวกันนักดาบแขนเดียวเคลื่อนไหวด้วยความว่องไวและเล็งเป้าไปที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 2 คนหนึ่งเช่นกัน จากนั้นรังสีดาบถูกปลดปล่อย ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นหน้าถอดสี ก่อนจะเห็นสายฟ้าสว่างวาบในสายตา เขายังไม่ทันตอบสนอง ก็มีรอยเืปรากฏที่ลำคอของเขาเป็ทางยาว พร้อมกับมีเืไหลทะลักจนตาย!
เมื่อนักดาบแขนเดียวชักดาบจักต้องมีคนถูกปลิดชีวิต ดาบของเขาทั้งฉับไวและแม่นยำ ไม่มีใครมองเห็นดาบของเขาได้ชัดเจน
ส่วนเย่เฟิงใช้หอกัเงินประกายแทงออกไป พลันรังสีหอกพาดผ่านท้องฟ้า ทุกที่ที่มันผ่านจักต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูล้มตาย ทำให้คนที่เหลือไม่กล้าเข้าใกล้เย่เฟิง
เมื่อมีนักดาบแขนเดียวเข้าร่วม สถานการณ์จึงพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ตระกูลตู๋กูไล่ล่าเย่เฟิง แต่เวลานี้เย่เฟิงและนักดาบแขนเดียวกลับเป็ฝ่ายไล่ล่าคนตระกูลตู๋กู ทั้งสองคนล้วนเป็คนแข็งแกร่ง ไม่มีใครต่อกรได้เลยสักคน สุดท้ายด้วยการโจมตีของทั้งสองคน ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนก็นอนจมกองเื มีเพียงหัวหน้าที่ยังคงเหลืออยู่ เขาตัวสั่นระริกไม่หยุดและเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
ตอนที่รับภารกิจสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาคนหนึ่ง เขายังคิดว่าทางตระกูลให้ภารกิจที่ง่ายและดีที่สุดเสียเหลือเกิน การสังหารสวะขั้นบ่มเพาะกายาแค่ส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่สักคนไปก็พอแล้ว พวกเขามากันมากเพียงนี้ก็เสียเวลาเปล่า ๆ แต่ตอนนี้เขาคิดผิดมหันต์ พลังของเย่เฟิงน่าสะพรึงกลัวเกินไป สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ของตระกูลตู๋กูเขาราวกับปอกกล้วยเข้าปาก ทั้งยังมีนักดาบแขนเดียวเข้าร่วมอีก แล้วมีหรือพวกเขาจะรอด?
“ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งของคนอื่น” หัวหน้าคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนพวกเย่เฟิง
“ตอนที่เ้าได้รับภารกิจนี้มา ก็ควรไตร่ตรองก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อมายั่วยุข้า มาเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลน จากนั้นเห็นรังสีหอกแทงออกไป ก่อนร่างหัวหน้าตระกูลตู๋กูคนนั้นจะล้มลงตรงหน้า
“ขอบคุณมาก!” จากนั้นเย่เฟิงหมุนตัวไป พร้อมโค้งตัวขอบคุณนักดาบแขนเดียว
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าบอกแล้วว่าข้าติดค้างเ้าหนึ่งครั้ง” เสียงแหบแห้งของนักดาบแขนเดียวดังขึ้น
“ไม่ต้องพูดเื่นี้แล้ว การประลองนั้นข้าก็แค่เห็นเป็การแลกเปลี่ยนวิชาเท่านั้น ไยพูดเื่ติดค้างเล่า?” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม ที่เวทีประลองนักดาบแขนเดียวให้ความเกรงใจเขา เช่นนั้นเขาก็ย่อมเกรงใจอีกฝ่าย
“เ้าเป็คนแรกที่ข้ามระดับจนชนะข้ามาได้ ข้านับถือมาก ั้แ่นี้ไปข้าขอติดตามอยู่ข้างกายเ้า เ้าคงไม่รังเกียจหรอกนะ!” นักดาบแขนเดียวกล่าว พลางมีแสงประกายมุ่งมั่นในดวงตา
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่คิดว่านักดาบแขนเดียวจะเอ่ยคำขอนี้ขึ้นมาเอง
“ทักษะดาบของเ้าดีเลิศ ในอนาคตต้องประสบความสำเร็จเป็แน่ ไยทำเช่นนี้เล่า?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ทักษะดาบดีเลิศแล้วอย่างไร สุดท้ายก็แพ้เ้า เพราะงั้นเ้าโปรดตอบข้าด้วย” นักดาบแขนเดียวกล่าว จากนั้นเห็นเขาโค้งคำนับให้เย่เฟิง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นเ้าก็อยู่กับข้าแล้วกัน แต่มีบางเื่ที่ข้าอยากพูด ในเมื่อเ้าอาสาติดตามอยู่ข้างกายข้า เช่นนั้นข้าเย่เฟิงจะปฏิบัติกับเ้าเหมือนสหาย และระหว่างสหายก็ต้องซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน หากวันใดวันหนึ่งข้าพบว่าเ้ากังขาในตัวข้า ข้าจะฆ่าเ้าทิ้งเสีย เ้ายอมหรือไม่?” เย่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้าเคร่งขรึมพลางเอาสองมือไพล่หลัง
นักดาบแขนเดียวได้ยินเช่นนั้นก็มีแสงคมกริบปะทุออกจากดวงตา จากนั้นเห็นเขาพยักหน้าให้เย่เฟิง พร้อมกล่าวว่า “ทำได้แน่นอน!”
“ฟิ้ว ๆ ๆ!” ตอนนั้นเองมีเสียงดังขึ้นสามครั้ง ก่อนจะเห็นดอกไม้ไฟสามสายสว่างจ้าบนท้องฟ้า เหมือนดอกไม้ไฟก่อนหน้านี้ที่เรียกเซี่ยจวิ้นหลงกลับไป
“ตรงนั้นคือที่ไหน?” เย่เฟิงเอ่ยถามนักดาบแขนเดียว เพราะเขายังไม่รู้จักเมืองหลวงดี
“วังเทพโอสถ!” นักดาบแขนเดียวกะพริบตาปริบ ๆ และะโออกมาเช่นนั้น
“เฒ่าประมุขวังเทพโอสถใกล้สิ้นอายุขัย ภายในวังจึงเปลี่ยนไป ข้าว่าพวกเราไปดูกันเถอะ”
“วังเทพโอสถ?” เย่เฟิงตาเผยประกายคมกริบ เขาได้ยินชื่อนี้ก็คาดคะเนว่าอีกฝ่ายเป็กองกำลังหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา เซี่ยจวิ้นหลงก็น่าจะมาจากที่นั่น
“วังเทพโอสถจะรู้เื่ยาคืน์ไหมนะ?” เย่เฟิงคิดในใจ เมื่อนึกถึงยา เขาก็นึกถึงซ่งซินหลิงที่ถูกผนึกน้ำแข็งอยู่ในห้องลับของพรรคเทียนเสวียน และเขา้าให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว
“วังเทพโอสถเป็กองกำลังเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาที่โดดเด่นของเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว ภายในวังมีปรมาจารย์ปรุงยาหลายคนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนเฒ่าประมุขเรียกได้ว่าเป็อันดับหนึ่งในโลกแห่งการปรุงยา ตอนนี้เฒ่าประมุขใกล้สิ้นอายุขัย กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากกําลังแอบก่อตัวในวังเทพโอสถ ศิษย์ทั้งสองของเฒ่าประมุขที่เป็ตัวแทนของสองกองกำลังต่างแย่งชิงอำนาจ ครั้งนี้วังเทพโอสถปล่อยสัญญาณเรียกรวมตัวติดต่อกัน อาจมีเื่ใหญ่เกิดขึ้น พวกเราไปดูอาจจะมีโอกาสก็เป็ได้” นักดาบแขนเดียวกล่าว
“ดี!” เย่เฟิงพยักหน้า และคิดพักเื่การสร้างเกราะเทพาไว้ชั่วคราว จากนั้นทั้งสองมุ่งหน้าไปยังวังเทพโอสถ
การที่่นี้วังเทพโอสถปล่อยสัญญาณเรียกรวมตัวติดต่อกัน ทำให้เมืองหลวงโกลาหล และมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากรุดหน้าไปยังวังเทพโอสถ
ในระหว่างทาง เย่เฟิงและนักดาบแขนเดียวพบเจอสหายร่วมเดินทางไม่น้อย คนเหล่านี้ล้วนถูกสัญญาณเรียกรวมตัวของวังเทพโอสถดึงดูดมา
“พี่ชายท่านนี้ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าที่วังเทพโอสถมีเื่อะไรเกิดขึ้นหรือ แล้วทำไมมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายไปที่นั่นด้วยความรีบร้อน?” มีคนหนึ่งเอ่ยถามผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่ผ่านทางมา
“เฒ่าประมุขวังเทพโอสถใกล้สิ้นอายุขัย แล้วได้ยินมาว่าแดนลับยอดเขาเทพโอสถเปิดออก ดังนั้นจึงดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์จากทั่วสารทิศ” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นที่ผ่านทางมากล่าวด้วยแววตาสั่นไหว พอกล่าวจบก็รีบจากไปทันที
“แดนลับยอดเขาเทพโอสถ?” เย่เฟิงได้ยินบทสนทนาของสองคนนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าแดนลับยอดเขาเทพโอสถคือสถานที่อะไร ถึงกับดึงดูดผู้คนจำนวนมากได้
“แดนลับยอดเขาเทพโอสถอยู่ภายในวังเทพโอสถ ในนั้นเกิดเื่อะไรขึ้น เราสองคนไปดูคงจะทราบ” นักดาบแขนเดียวกล่าวกับเย่เฟิง เย่เฟิงก็พยักหน้า จากนั้นทั้งสองมุ่งหน้าไปยังวังเทพโอสถต่อ
สถานการณ์ในวังเทพโอสถเปลี่ยนไป ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากมุ่งหน้าไปยังวังเทพโอสถด้วยความรวดเร็ว ทำให้วังเทพโอสถกลายเป็จุดสนใจของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองหลวง
วังเทพโอสถนั้นตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกของเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว เป็แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการปรุงยาอันดับหนึ่ง มีปรมาจารย์ปรุงยาหลายสิบคน มีรากฐานลึกล้ำ แม้แต่กองกำลังอื่น ๆ ในเมืองหลวงยังเคารพนับถือวังเทพโอสถ
ยาเม็ดนั้นมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เป็สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์จะขาดไม่ได้ในการบ่มเพาะพลัง ฤทธิ์ยาของยาหนึ่งเม็ดสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ยกระดับการบ่มเพาะเร็วขึ้น กระทั่งทะลวงขั้นพลัง ซึ่งคุ้มค่าแก่การบ่มเพาะพลังแสนลำบากยากเข็ญมาหลายปี นอกจากนี้ยายังมีการใช้ในด้านอื่นอีกมากมาย อย่างเช่น รักษาาแ ขจัดพิษ และเพิ่มลมปราณเป็ต้น ดังนั้นทั่วทั้งทวีปหลิงเทียน วิถีโอสถจึงรุ่งเรืองเป็อย่างมาก มีหลายคนอยากฝึกวิชาปรุงยาให้กลายเป็ปรมาจารย์ปรุงยาที่ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา
แต่ผู้ที่ฝึกวิชาปรุงยาได้อย่างแท้จริงกลับมีน้อยมาก การเรียนรู้วิถีโอสถไม่เพียงแต่ฝึกฝนอย่างยากลำบาก แต่มันต้องมีโอกาสและจังหวะเวลา ทำให้ปรมาจารย์ปรุงยาระดับสูงมีน้อยมาก ๆ อาณาจักรจ้าวมีประชากรกว่าพันล้านคน แต่มีเพียงไม่กี่ร้อยคนที่เป็ปรมาจารย์ปรุงยาได้สำเร็จ ดังนั้นปรมาจารย์ปรุงยาจึงมีฐานะสูงส่ง ต่อให้เ้ามาจากตระกูลชนชั้นสูง แต่หากได้เป็ปรมาจารย์ปรุงยา เกียรติยศจะเพิ่มขึ้นสามเท่า
วังเทพโอสถตั้งตระหง่าน ในนั้นยังมีูเาลูกหนึ่งถูกยกขึ้นจากพื้นดินราวกับเชื่อมต่อกับ์ ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก มองจากระยะไกลจะเห็นว่าูเาลูกนี้มีสีแดง ทั้งยังมีเปลวไฟรอบล้อมูเา ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น พร้อมกับมีคลื่นความร้อนพวยพุ่งออกจากูเา ทำให้ห้วงอากาศดูบิดเบี้ยว ประหนึ่งเปลวไฟนรกก็ไม่ปาน
นี่ก็คือยอดเขาเทพโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์วังเทพโอสถ ยอดเขาแห่งนี้คือชีพจรเพลิงที่บริสุทธิ์ที่สุดในอาณาจักรจ้าว ทั้งยังถูกใช้ในการปรุงยาต่าง ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มอัตราความสำเร็จในการปรุงยา
ยาเม็ดส่วนใหญ่ในอาณาจักรจ้าวล้วนมาจากยอดเขาเทพโอสถ ที่นี่ก็คือสถานที่ของวังเทพโอสถที่ถูกขนานนามว่าเป็เทพแห่งโลกปรุงยาอย่างแท้จริงของอาณาจักรจ้าว
บัดนี้มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากมารวมตัวที่หน้าถ้ำบนยอดเขาเทพโอสถ ส่วนใหญ่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ระดับสูง กระทั่งมีหลายคนก้าวข้ามขั้นรวมชี่ นั่นก็คือขั้นยุทธ์แท้ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า นอกจากผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้แล้วยังมีคนรุ่นเยาว์มากมายอายุประมาณ 16-17 ปีดูโดดเด่นอย่างมาก ระดับการบ่มเพาะล้วนอยู่ขั้นรวมชี่ขึ้นไป ลมปราณแก่กล้า มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็คนมีฝีมือและมากความสามารถ
ซึ่งคนเหล่านี้คือบุคคลระดับสูงของวังเทพโอสถ รวมถึงศิษย์อัจฉริยะ เซี่ยจวิ้นหลงที่เย่เฟิงรู้จักก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาแบ่งออกเป็สองฝั่งและต่างสบตามองกันด้วยท่าทีเย็นะเื เห็นชัดว่าไม่ถูกกัน
“ท่านอาจารย์ใกล้สิ้นอายุขัย ศิษย์พี่ใหญ่คือคนที่จะได้สืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป ทำไมพวกท่านศิษย์พี่รองมาแล้วไม่รีบคารวะศิษย์พี่ใหญ่? ดูิ่ประมุขคนต่อไปงั้นหรือ!” ขณะนั้นเห็นชายวัยกลางคนอายุ 40 ปีคนหนึ่งจากฝั่งซ้ายก้าวออกมา มองฝ่ายตรงข้ามและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเช่นนั้น
ผู้พูดคือศิษย์ลำดับที่สามของเฒ่าประมุขวังเทพโอสถ มีนามว่าจี๋เหยียน เขายังเป็ผู้สนับสนุนของเฒ่าประมุขและศิษย์พี่ใหญ่ผู้มีนามว่าฟู่หยาง โดยหวังว่าฟู่หยางจะสืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป พวกเขาทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ติดสินบนปรมาจารย์ปรุงยาของวังเทพโอสถหลายคน เพื่อให้ได้รับการสนับสนุน
ส่วนศิษย์ลำดับที่สองของเฒ่าประมุขที่มากดดัน มีนามว่าเซี่ยชิงซาน คนผู้นี้คือบิดาของเซี่ยจวิ้นหลง เป็คนซื่อสัตย์มาก ๆ คนหนึ่ง ทั้งยังมีความสำเร็จด้านการปรุงยาที่ลึกซึ้ง หลายปีมานี้ฟู่หยางและจี๋เหยียนแข่งขันกันมาตลอด แต่กลับถูกอีกฝ่ายกดขี่เสมอมา
“ท่านอาจารย์ยังไม่ลงจากตำแหน่ง ศิษย์น้องสามพูดจาเช่นนี้ เ้าหวังว่าท่านอาจารย์จะลงจากตำแหน่งในเร็ววันหรือ? เ้าสาปแช่งท่านอาจารย์ชัด ๆ ว่ากันตามกฎแล้วเ้าจะต้องถูกลงโทษ!” เซี่ยชิงซานกล่าวเสียงเย็นด้วยท่าทีโมโหขณะมองจี๋เหยียน ศิษย์สามคนแรกของเฒ่าประมุข มีเพียงเซี่ยชิงซานผู้นี้ที่เคารพนับถือและซื่อสัตย์ต่อเฒ่าประมุขมากที่สุดแล้ว