เย่าจู่เกิดภายใต้แสงอาทิตย์ เติบโตในชนบทสมัยใหม่ เฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษรุ่นที่สองผู้ทรงพลัง เขาเป็ลูกนอกสมรส ั้แ่เด็กมักจะถูกกลุ่มสอพลอไม่ชอบขี้หน้า
เมื่อพูดถึงเด็กคนนี้ หนังสือร้อยเล่มก็ไม่พอที่จะบันทึกสิ่งเลวร้ายที่เขาเคยได้ทำไว้ ตอนที่ยังเล็กๆ เด็กคนอื่นปีนหาไข่นก เขากลับปีนหารังต่อในสวนของเพื่อนบ้าน คนอื่นขี่ม้าไม้ไผ่เล่นต่อสู้ เขาขี่วัวของบ้านป้าสองและออกไปอาละวาดในตลาด พอถูกจับได้ก็กล่าวยิ้มๆ ว่าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับเทศกาลวิ่งวัวกระทิงของสเปน
ชาวบ้านนับไม่ถ้วนมาฟ้องผู้ใหญ่บ้านเจิ้นถิง ผู้ใหญ่บ้านเจิ้นถิงที่ให้กำเนิดต้นกล้าเพียงต้นเดียวนี้ในวัย 40 ปี ก็ทุกข์ใจเหมือนกับเจี๋ยเป่าอวี้1 จะดุก็ไม่ได้ ตีก็ไม่ได้ อย่างดีก็ทำได้แค่ต่อว่าไม่กี่คำต่อหน้าชาวบ้านที่มาร้องเรียน…
“เย่าจู่เอ๋ย ลูกอย่าได้เอาชุดชั้นในของน้าสองมาทำหนังสติ๊กอีกั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป”
“เย่าจู่เอ๋ย ลูกจะไปอึใส่รองเท้าของลุงสามไม่ได้นะ...แน่นอนว่าฉี่ก็ไม่ได้”
“เย่าจู่เอ๋ย พ่อบอกลูกแล้วใช่ไหม? ว่าเอาชุดชั้นในของน้าสองมาเป็หนังสติ๊กอีก...ว่าอย่างไรนะ? เอามาเป็คันธนูกับลูกศรก็ไม่ได้!”
ไปๆ มาๆ ชาวบ้านก็เลิกบ่น ได้แต่มองไปข้างหน้าว่าขอให้เย่าจู่เ้าเด็กคนนี้โตไวๆ จะได้ไปเรียนต่อในเมือง และนั่นก็เป็ความปรารถนาของผู้ใหญ่บ้านเจิ้นถิง ด้วยหวังว่าเ้าลูกชายเพียงหนึ่งเดียวคนนี้จะสืบทอดชื่อของขุนนางตระกูลอ้ายซินเจียหลัวซื่อต่อไป
จะว่าเย่าจู่ประพฤติตัวแย่ก็ใช่ แต่การเรียนเขาก็ไม่เลว คุณภาพการเรียนการสอนของหมู่บ้านเบเลอร์เทียบเท่าได้กับระดับจังหวัดใหญ่ๆ แต่ในการสอบประจำปีเขามักจะได้แค่ “ที่สอง” เสมอ
เหตุผลเดียวที่เป็ที่สองก็คือ ในรุ่นเดียวกันนั้นมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง –เหวินจิ้ง ไม่ว่าการทดสอบจะหินมากแค่ไหน เธอก็ทำได้คะแนนเต็ม ไม่หลุดแม้สักข้อ เย่าจู่เติบโตมากับเด็กสาวคนนี้ ก่อนการสอบแต่ละครั้ง เขามักจะเชื้อเชิญให้เธอวางเดิมพันในการประลองคะแนน
“ถ้าเธอชนะ เธอจะได้จี้หยกชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าเธอแพ้ เธอต้องเป็มเหสีจักรพรรดิของข้า เย่าจู่!” เย่าจู่น้อยแคะขี้มูกพลางกล่าวคำมั่นสัญญา
“นายยังเห็นตัวเองเป็นายน้อยของเบเลอร์อยู่หรือเปล่า? ทำไมถึงเรียกมเหสีจักรพรรดิ?” เหวินจิงมองด้วยสายตาที่ดูิ่
ก็นั่นแหละ ทั้งคู่เป็คู่กัดคู่ปรับกันอย่างไม่ต้องสงสัย ั้แ่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย เหวินจิ้งชนะเดิมพันจนได้ของเล่นมากมายเท่ากับหลุมฝังศพของซูสีไทเฮา แต่เย่าจู่กลับยึดติดกับคำเรียกที่ว่าเขาเป็ลูกของภรรยารอง
ไอ้พวกอันธพาลข้างกายก็คอยแต่จะยั่วยุ ครั้งหนึ่งพวกมันเคยจงใจขวางทางเหวินจิงก่อนไปเข้าห้องสอบ พอเย่าจู่ทราบเื่เข้าก็รีบวางพู่กันและออกโรงไปช่วยเหลือ เขาหักขาไอ้พวกจิ๊กโก๋เ่าั้ นั่นเป็การสอบเพียงครั้งเดียวที่เหวินจิงและเย่าจู่ได้คะแนนเสมอกัน ทั้งคู่ส่งกระดาษเปล่า
เย่าจู่เล่นงานหนักเกินไป อย่างไรก็เป็ลูกหลานเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งนั้น ผู้ใหญ่บ้านเจิ้นถิงโมโหจนเกือบจะเป็โรคความดันโลหิตสูง นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เย่าจู่ถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูล
ในวันนั้น เหวินจิ้งกล่าวกับเย่าจู่ว่า “ที่จริงแล้วนายก็ไม่ได้งี่เง่าไปเสียทั้งหมดหรอก นายมีความใจดีปนอยู่ในความงี่เง่านั้นด้วย”
ในวันนั้น เย่าจู่กล่าวกับเหวินจิ้งว่า “ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงไม่สนใจอยากเรียนหนังสือ”
ปีนั้นเย่าจู่และเหวินจิ้งอายุ 14 ปี พวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร...
ความรู้สึกอันแสนบริสุทธิ์ไม่ได้ถูกเปิดเผยจนกระทั่งพวกเขาอายุ 18 ปี เย่าจู่ชนะเหวินจิ้งได้เป็ครั้งแรก
ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาได้รับตำแหน่งแชมป์การสอบเข้าวิทยาลัยระดับจังหวัดด้วยคะแนนเกือบจะสมบูรณ์แบบในวิชาทั่วไป แต่เหวินจิ้งกลับส่งกระดาษเปล่าในวิชาทั่วไป
เย่าจู่ไม่เข้าใจ การออกจากหมู่บ้านเบเลอร์เป็ความฝันของเด็กแทบจะทุกคน แต่เหวินจิ้งเลือกที่จะอยู่ต่อ เย่าจู่ไม่อยาก แต่จำเป็ต้องจากไป
เหวินจิ้งยิ้มและกล่าวคำอำลา ที่นิ้วนางของเธอสวมแหวนโมราที่เย่าจู่ให้ไว้ “ฉันจะรักษาสัญญา รอการกลับมาของนาย ฉันคือมเหสีจักรพรรดิของนาย"
“แม่สาวโง่ อายุเท่าไรแล้ว ฉันไม่ใช่นายน้อยเบเลอร์แล้ว เธอจะเป็มเหสีจักรพรรดิได้อย่างไร? ต้องเป็ภรรยาสิ!” เย่าจู่ยิ้มและบีบจมูกเหวินจิ้ง
ชายหนุ่มหญิงสาวให้คำมั่นสัญญา เฉกเช่นความไร้เดียงสาอันงดงามที่เขียนไว้ในนิยายโรแมนติกทั้งหลาย แต่ตอนสุดท้ายก็จบด้วยโศกนาฏกรรมดั่งเช่นเชกสเปียร์...
เย่าจู่ออกจากหมู่บ้านเบเลอร์ไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของอเมริกา ในเวลาไม่ถึง 1 ปี เขาก็ได้รับข่าวร้ายจากหมู่บ้านว่า...เหวินจิ้งเสียชีวิตด้วยโรคร้าย
เย่าจู่พักการเรียนและกลับมาที่บ้านเกิด เขาคร่ำครวญต่อโลงศพของเหวินจิ้งอย่างคลุ้มคลั่ง และโยนความผิดทั้งหมดให้พ่อของเขา เจิ้นถิง
งานศพเหวินจิ้งผ่านไปได้เจ็ดวัน เด็กหนุ่มก็กลับไปที่สหรัฐอเมริกาเพียงลำพัง ความขัดแย้งระหว่างเขาและพ่อยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปีที่สองของการศึกษาในต่างประเทศ เขาลาออกจากโรงเรียนและตัดขาดการติดต่อทั้งหมดจากครอบครัว จดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาส่งถึงครอบครัวนั้นมีเพียงไม่กี่คำ “ผมจะกลับไปเอาชีวิตบัดซบของคุณ!”
การที่ให้กำเนิดลูกชายที่ดื้อรั้นเช่นนี้ เจิ้นถิงได้แต่รู้สึกละอายต่อบรรพบุรุษ ไม่เพียงแต่ชื่อของเย่าจู่เท่านั้นที่ถูกขีดฆ่าออกจากวงศ์ตระกูล เขาถึงขั้นประกาศว่าเด็กคนนี้ได้ตายไปแล้ว และมีงานฌาปนกิจอย่างเอิกเกริก
ไม่ว่าภรรยาจะขอร้องเช่นไร เจิ้นถิงก็ยังดึงดันและยึดความคิดตนเป็ใหญ่ ทึกทักเอาว่าไม่เคยให้กำเนิดลูกชายอกตัญญูผู้นี้...
“เฮ้อ เวลานั้นฉันเองก็เืเย็นเกินไป ทำให้ภรรยาเป็โรคซึมเศร้า ยังไม่ถึงปีแซยิดดีก็ด่วนจากไปเสียแล้ว” ผ่านมานานนับหลายปี นี่เป็ครั้งแรกที่เจิ้นถิงเอ่ยถึงความเบาะแว้งภายในครอบครัว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อภรรยาผู้ล่วงลับ “ภายหลัง ฉันได้ขอให้คนรู้จักในสหรัฐอเมริกาช่วยสืบข่าวของเย่าจู่ให้ ถ้าสามารถทำให้เขาได้กลับมาจุดธูปเคารพศพมารดาได้ก็คงดี แต่คนรู้จักบอกว่า หลังจากลาออกแล้วเขาก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ เอกสารเกี่ยวกับเขาไม่สามารถตรวจสอบได้”
“ตั้งสมมติฐานได้ว่าลูกชายของคุณเป็ทหารมาแล้ว 8 ปี ด้วยความที่ฝึกวิทยายุทธกับพ่อบ้านไท่มาั้แ่เด็ก ด้วยเวลาไม่เกิน 1 ปี เขาก็สามารถเข้าร่วมหน่วยซีลเพื่อเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ในสมัยใหม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขาคุ้นเคยกับป่าเขาแห่งนี้มาั้แ่เด็ก รู้จักพื้นที่สู้รบเป็อย่างดี และกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์สไนเปอร์ที่ดีที่สุดในโลก หากเขาบอกว่า้าเอาชีวิตของคุณล่ะก็ ป่านนี้เขาทำสำเร็จไปนานแล้ว” เสิ่นิไม่สนใจเื่ราวอันน่าซาบซึ้ง เขาได้ยินเฉพาะส่วนที่เป็ประโยชน์ “แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนัดแรก เขาถึงไม่ฆ่าคุณเสียเลย? ผมเห็นรูะุในสวนดอกไม้ เมื่อคำนวณแล้ว ระยะห่างจากตำแหน่งที่สไนเปอร์ยิงมาน่าจะไม่เกิน 1,200 เมตร ด้วยเทคนิคของเขา มันเป็ไปไม่ได้ที่คุณจะมีโอกาสรอดชีวิต เว้นเสียแต่ว่านั่นจะเป็แค่การทักทาย”
“คุณเสิ่นิช่างไม่ธรรมดาเสียจริง พลังแห่งการหยั่งรู้นั้นยอดเยี่ยม” เจิ้นถิงชื่นชมด้วยความจริงใจ “ที่จริงแล้วอีก 4 วันข้างหน้านี้ หมู่บ้านเบเลอร์จะมีพิธีบูชาฟ้าดินซึ่งจะจัดขึ้นปีละครั้ง ในวันนั้นจะมีการประกาศการตัดสินใจเื่สำคัญๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ ในวันนั้น ผู้คนทั้งหมู่บ้าน ทั้งชาย หญิง เด็ก คนชราจะมารวมตัวกัน ฉันเองคิดว่าเขา้ารอให้ถึงวันนั้น เพื่อที่จะได้ปลิดชีวิตฉันตอนกลางวันแสกๆ ให้ชายชราตกตายต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน เพื่อล้างบาปที่เขาคิดว่าฉันสมควรเป็ผู้รับผิดชอบ...”
“ถึงว่านะ ถ้าลูกชายไม่เชื่อฟังก็ต้องตีสั่งสอนให้หลาบจำ ตอนพ่อสอนฉันก็แบบนี้ ตอนนี้ปวดหัวแล้วไหมล่ะ?” เซี่ยวอี๋ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ เธอได้แต่ตำหนิความล้มเหลวของผู้เป็พ่อ
“เหอๆ มุมมองของเธอกับพ่อฉันคล้ายกันมาก ถ้ามีเวลาจะแนะนำให้รู้จักนะ แต่พวกฉันซึ่งถูกพ่อตีมาจนเติบใหญ่ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีสักอย่าง นายน้อยตระกูลเฝิงที่้าชีวิตพ่อก็มีถมไป แค่ยังทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น” เฝิงเฉวียนหัวเราะฮึๆ
“ทราบแล้ว ขอบคุณที่ตอบข้อสงสัยของผมในยามวิกาล ได้รู้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับผีูเาแล้ว ต่อไปจะดำเนินการได้สะดวกขึ้น” ในขณะที่น้ำร้อนในถ้วยกลายเป็ชาอันเย็นชืด ความอาฆาตของเสิ่นิก็หายวับไปในทันที เขาลุกขึ้นอย่างสุภาพ
“ขอบคุณอะไรกัน ต้องโทษคนชราที่หน้าบาง ไม่ได้เล่าถึงความอัปยศของครอบครัวให้คุณฟังก่อนหน้านี้ จนทำให้คุณต้องเผชิญกับอันตรายโดยไม่จำเป็ ถึงตอนนี้แล้ว ชายชราก็ไม่กลัวว่าจะขายหน้าอีกต่อไป ยังมีอีกเื่หนึ่งที่อยากขอร้อง” เจิ้นถิงกำหมัดแน่นในขณะที่กล่าว
“ถ้าคุณจะขอให้ผมไว้ชีวิตลูกชายคุณ คงต้องขออภัย ใช่ว่าผมไม่อยากรับปากคุณ แต่าการซุ่มยิงไม่มีพื้นที่เว้นว่าง มีช่องว่างน้อยมากระหว่างผมและลูกชายคุณ ความว่อกแว่กเพียงเล็กน้อยนั้นหมายถึงฉากจบที่เขารอดแต่ผมตาย ผมบอกได้แค่ว่าจะทำให้ดีที่สุด” เสิ่นิยกชาสมุนไพรอันเย็นชืดขึ้นดื่ม พร้อมกับพูดสิ่งที่้าจะพูดออกไปทั้งหมด
“ชายชราเข้าใจแล้ว คุณเสิ่นิพูดมาเท่านี้ ก็เพียงพอแล้ว” เจิ้นถิงซึ้งใจสุดประมาณ
เมื่อพูดคุยกันจนกระจ่างแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไป เซี่ยวอี๋ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะได้ยินเื่ราวแปลกประหลาดเช่นนี้ในยามวิกาล หญิงสาวตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ
“ว่ามาซิ เด็กคนนั้นร้ายกาจมากไหม?” เซี่ยวอี๋ไม่เคยเห็นเสิ่นิยิงพลาดเป้ามาก่อน จึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“สำหรับในโลกปกติ ถือได้ว่าเขาเป็มือปืนอันดับต้นๆ” เสิ่นิประเมินเย่าจู่ไว้สูง
“อะไรคือในโลกปกติ?” เซี่ยวอี๋สงสัย
“อย่างผมเนี่ยคือสิ่งมีชีวิตบนโลกที่ไม่ปกติ ถึงตอนนี้คุณก็น่าจะรู้แล้ว เห็นคุณสนใจอย่างนี้ อยากไปเล่นนกเป็เพื่อนผมไหม?” เสิ่นิยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ถ้านายกล้าเอานกเขาออกมาต่อหน้าฉัน ฉันจะกุดหัวมันซะ!” เซี่ยวอี๋กล่าวด้วยสีหน้าอำมหิต
“นกตัวนี้ ไม่ใช่นกตัวอื่น คุณคิดไปถึงไหน!” เสิ่นิโผไปถึงข้างหูของเซี่ยวอี๋ เมื่อสนทนากันถึงตรงนี้ เขาก็เห็นว่าเซี่ยวอี๋ขมวดคิ้วแน่น
“นายมันวิปริต! อย่าบอกใครนะว่าฉันรู้จักนาย!” เซี่ยวอี๋ทนฟังต่อไปไม่ไหว
“แล้วอยากไปด้วยไหมล่ะ?”
“อยาก”
สิบนาทีต่อมา ณ “สวนนกกระยางขาว” ของคฤหาสน์จักรพรรดิ สวนรุกขชาติขนาดใหญ่ แต่กลับมีนกกระยางขาว แพนด้า อาศัยอยู่เพียงตัวเดียว มันถือว่าเป็พวก “หัวดี” ในบรรดานก กินอยู่อย่างหรูหรา
แพนด้าซึ่งบินกลับมาถึงเร็วกว่าเสิ่นิและไพรเพียงเล็กน้อย หลังจากทานปลาแซลมอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็วิ่งขึ้นไปบนยอดเขาเทียม เตรียมตัวนอนในรังพร้อมกับเครื่องทำความอุ่น
ในขณะนั้นเอง เซี่ยวอี๋ก็หิ้วถุงปลาแซลมอนสดเนื้อฉ่ำเดินเข้าไปในสวนนกกระยางขาว
“แพนด้า? อยู่บ้านหรือเปล่า? นกกระยางขาวผู้หล่อเหลาและบุคลิกดูดีที่สุดในโลกอยู่บ้านหรือไม่?” เซี่ยวอี๋กระซิบเสียง ขนที่หลังของศีรษะแพนด้าลุกชัน มันโผล่หน้าออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
“เด็กดี แกอยากทานมื้อเย็นหรือเปล่า? ฉันหั่นเองกับมือเลยนะ!” เซี่ยวอี๋ยิ้มตาหยีและนั่งลงบนพื้นหญ้า เธอหยิบจานกระเบื้องออกมา ก่อนจะวางส่วนท้องของปลาแซลมอนชั้นดีไว้อย่างเรียบร้อย
“แคว้ก! แคว้ก!” แพนด้าลังเล ก็ผีูเาสอนให้มันดูแลตัวเองโดยการตัดมื้อเย็น แต่เมื่อมันเห็นอาหารอันน่าลิ้มลองนี้ มันก็ทนต่อการยั่วยวนไม่ไหว
มันมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง ก่อนจะกระพือปีกลงมาจากรังโดยไม่กลัวคนและใช้จะงอยปากแหลมยาวหยิบปลาแซลมอนชิ้นอวบ จิ้มซีอิ๊วญี่ปุ่นและวาซาบิ เชิดศีรษะขึ้นและกลืนลงท้องไป
“แกเป็นกจริงหรือ? หรือว่าเป็เทวดา?” เซี่ยวอี๋กล่าวเขินๆ
ในขณะที่มันกินอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเงยหน้าขึ้นกลืนปลาคำสุดท้ายลงไป ทันใดนั้น มันก็เห็นเสิ่นิกำลังยิ้มเ้าเล่ห์เหมือนกับปีศาจอยู่ที่ด้านหลัง มันแทบจะสำลักตาย
“เหอๆ เ้านกหัวกุดกินเพลินเลยไหม? ตอนนี้ฉันจะทำให้แกได้รู้ว่าอะไรคือ ‘ขมิ้นคู่เจื้อยแจ้วบนหลิวเขียว กระยางขาวเดียวดายสู่แดนสุขาวดี’ !”
****************************
1 เจี๋ยเป่าอวี้ คือ ตัวละครหลักในนวนิยายจีนสมัยศตวรรษที่ 18 เื่ Dream of the Red Chamber