"เ้าหนู! รีบไปดูที่สระน้ำนั่นสิ!" ไป๋เสียเร่งเร้า
"ไม่ต้องบอกข้าก็รู้แล้ว!" ลู่เต้าที่กระหายน้ำจนทนไม่ไหวรีบวิ่งไปที่ขอบสระ แล้วก้มหน้าดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว
"ฮ่าาา..." ในที่สุดลู่เต้าที่กินน้ำจนดับกระหายก็ทิ้งตัวลงนอนไปกับพื้น ดวงตาทั้งสองข้างปรือลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ท้องป่องขึ้นเล็กน้อย ขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงน้ำในท้องดังกระทบกัน
ก่อนหน้านี้เขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้จนไม่ทันสังเกต หลังจากผ่อนคลายลง าแสามรอยที่ถูกกรงเล็บแหลมของอสูรร้ายข่วนเข้าที่แขนซ้ายก็เริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมา
"อึก..." ลู่เต้ากัดฟันแน่น ขณะที่เอื้อมมือขวาไปเด็ดหญ้าสีเขียวที่ขึ้นข้างๆ อย่างลวกๆ เพื่อจะนำมาเช็ดแผล แต่กลับพบว่าาแกำลังสมานตัวอย่างรวดเร็ว
จากแผลที่เกือบเห็นกระดูก ตอนนี้กลับไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็ ลู่เต้ากะพริบตาถี่รัว เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไป
"ไม่จริงน่า?" ลู่เต้าอุทานออกมาอย่างตกตะลึง
จากประสบการณ์ของเขา หากคนทั่วไปได้รับาแสาหัสเช่นนี้ หากไม่พักฟื้นอย่างดีสองสามเดือนก็คงไม่หายดี และแผลอาจจะติดเชื้อเน่าเปื่อยได้อีก และแม้จะหายดีแล้ว ความคล่องแคล่วของแขนก็มิอาจเหมือนเดิม
"ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ!" ไป๋เสียที่อยู่ในร่างของลู่เต้าร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ลู่เต้าลองขยับแขนที่หายดีแล้ว ไม่เพียงแต่ไร้ความเ็ปเท่านั้น แต่กลับรู้สึกว่าแขนเบาขึ้นผิดปกติ เวลาเหวี่ยงหมัดก็มีเสียงลมดังเฟี้ยวๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายของเขายังเบาหวิวขึ้น ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งคืนหายไปหมดสิ้น ความรู้สึกมีชีวิตชีวาแล่นไปทั่วร่าง
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" ลู่เต้าตรวจสอบร่างกายของตัวเองอย่างเชื่อไม่ลง
ไป๋เสียเอ่ย "เ้าลองเดาดูสิ"
"หรือว่า..." ลู่เต้านึกขึ้นได้ เขาหันไปมองสระน้ำ "น้ำนี่มีอะไรแปลกๆ อย่างนั้นหรือ”
น้ำในสระใสจนมองเห็นก้นบ่อ ซึ่งลึกประมาณเอวลู่เต้า เหนือสระน้ำมีแสงสีเขียวลอยอ้อยอิ่งอยู่
"ถูกต้อง" ไป๋เสียยิ้มพลางเอ่ยแก้ "แต่นี่หาใช่น้ำธรรมดาไม่"
ลู่เต้าพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก จากนั้นไป๋เสียก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา
ไป๋เสียอยู่ในชุดขาว รูปร่างผอมเพรียว เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าดูหล่อเหลาผิดปกติ พอยิ้มคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก็เผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ร้ายกาจ
"เ้าออกมาได้แล้วหรือ!? แล้วที่ผ่านมาเ้าไปอยู่ที่ไหนเล่า”
"ถึงแม้ข้าจะออกมาได้ แต่ก็เป็เพียงจิติญญาเท่านั้น ไม่อาจแทรกแซงโลกมนุษย์ได้โดยตรง" ไป๋เสียมองลู่เต้าด้วยแววตาปรามาส
"แต่ที่ข้าปรากฏตัวได้ ก็เพราะพลังิญญาจากสระพลังิญญานี่ที่มอบให้เ้าอย่างไรเล่า!" ไป๋เสียเสริม
"สระพลังิญญา?"
"สระพลังิญญาคือที่ที่มีพลังิญญาหนาแน่นเป็พิเศษ ปัจจุบันพลังิญญาในโลกถดถอยลงเรื่อยๆ ใน่หลายปีมานี้แทบจะไม่พบสระพลังิญญาในป่าแห่งใหม่แล้ว ส่วนสระพลังิญญาที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกตระกูลใหญ่ยึดครองไปหมด" ไป๋เสียเดินวนรอบสระน้ำแล้วกล่าวต่อ "มีเพียงสระพลังิญญาที่อยู่ในมิติลับเท่านั้น ที่ยังไม่ถูกยึดครอง"
ที่ิญญานำทางพาลู่เต้ามาที่นี่เป็เพียงเื่บังเอิญเช่นนั้นหรือไม่ ไป๋เสียไม่คิดเช่นนั้น ิญญานำทางประเภทนี้มักจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ นั่นหมายความว่า ลู่เต้าต้องเคยทำอะไรบางอย่างให้มัน มันถึงรู้สึกเป็หนี้บุญคุณจนยอมปรากฏตัวขึ้นมาตอบแทน
‘คงจะเป็เหยื่อของผู้ควบคุมิญญาทั้งสองคนนั้น’ ไป๋เสียไตร่ตรองในใจ ‘ถ้าอย่างนั้น ก็คงมาตอบแทนบุญคุณที่เ้าหนูเผาร่างให้’
ลู่เต้าสังเกตเห็นไป๋เสียที่หับขวับมาจ้องตน เขาจึงอดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้ "เ้ามองข้าทำไม ข้ารู้สึกแปลกๆ นะ!"
"หึ ข้าเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเ้าแล้วล่ะ" ไป๋เสียพูดจบก็ะโขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่อันเป็หินเพียงหนึ่งเดียวในมิติลับแห่งนี้ แล้วก้มหน้าลงมาที่ลู่เต้า
"นี่เ้าเรียกว่า 'เปลี่ยนความคิด' อย่างนั้นหรือ” ลู่เต้าจ้องตอบไป๋เสียอย่างไม่สบอารมณ์
ไป๋เสียที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนก้อนหินใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงได้ดีใจนัก"
ลู่เต้าที่ยืนอยู่ด้านล่างได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าประสานตาไป๋เสีย ก่อนจะส่ายหัวเป็เชิงว่าไม่รู้
"ฟังให้ดี พลังิญญาคือรากฐานของผู้ฝึกตนทุกคน ไม่ว่าจะเป็การฝึกฝนเคล็ดวิชา ศัสตราวุธิญญา ล้วนต้องขับเคลื่อนด้วยพลังิญญา กล่าวได้ว่าพลังิญญาคือต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง"
ไป๋เสียบอกลู่เต้าว่าในบันทึกโบราณได้กล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งผืนแผ่นดินทั้งสี่แคว้นเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังิญญา แต่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน หลังจากที่เทพาจุติลงมา พลังิญญาบนโลกก็เริ่มลดน้อยถอยลง
ทว่าความ้าพลังิญญานั้นไร้ซึ่งวันสิ้นสุด ดังนั้นผลกระทบจากพลังิญญาที่ลดลงก็ทำให้ต้นทุนในการฝึกฝนเพิ่มสูงขึ้น ประสิทธิภาพก็ไม่ดีเท่าเดิม สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ ตามความเบาบางของพลังิญญา
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือทำให้ระดับการฝึกฝนของทุกเผ่าพันธุ์ลดลง อสูรระดับเจ็ดดาราตัวสุดท้ายสิ้นใจไปเมื่อเก้าร้อยปีก่อน หลังจากนั้น แม้แต่ในดินแดนอสูรที่แสนอันตราย ก็มีอสูรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขึ้นระดับเป็หกดาราได้
ระดับของผู้ฝึกตนก็เช่นกัน ในโลกปัจจุบัน ผู้ฝึกตนที่สามารถทำลายพันธนาการ์แล้วเลื่อนขึ้นไปถึงระดับหกดารา ได้มีจำนวนน้อยนิด
"และข้าที่อยู่ตรงหน้าเ้าก็คือหนึ่งในผู้ฝึกตนระดับหกดารา" ไป๋เสียเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"อ้อ" ลู่เต้าเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
"เ้าหนูนี่! ไร้ปฏิกิริยาจริงๆ!"
ลู่เต้าขมวดคิ้ว "แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อข้าไม่รู้อะไรเลย!"
ไป๋เสียทำท่าทางเหมือนกับว่า ‘ข้าหมดคำพูดกับเ้าแล้วจริงๆ’ เขายกนิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ลู่เต้า "ตอนนี้เ้ากำลังฝึกเคล็ดวิชาสัตตมหาสมุทรดารา ทุกครั้งที่เ้าบรรลุเงื่อนไขในการเลื่อนระดับ บนท้องฟ้าเหนือทะเลปราณของเ้าจะมีดวงดาวส่องสว่างขึ้นหนึ่งดวง"
ไป๋เสียอธิบายการแบ่งระดับของผู้ฝึกตนให้ลู่เต้าฟัง "แบ่งออกเป็สามระดับใหญ่ๆ ได้แก่ ระดับล่าง ระดับกลาง และระดับสูง เริ่มั้แ่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดคือ ผู้ทะลวงจุดชีพจรไร้ดาว ไปจนถึงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือ ผู้บรรลุระดับสมมติเทพสัตตดารา หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ..."
ระดับล่าง
ทะลวงจุดชีพจร : เปิดจุดชีพจรในร่างกาย สามารถััถึงพลังิญญา และนำพลังิญญาเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งเป็จุดเริ่มต้นของการฝึกฝน
ระดับหนึ่งดารา: ค้นหาวัตถุดิบที่เหมาะสม และปลุกพลังเคล็ดวิชาขั้นต้นหนึ่งชนิด
ระดับสองดารา : ฝึกฝนร่างกาย นำพลังิญญามาเสริมสร้างร่างกาย ปลดปล่อยศักยภาพ และสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
ระดับสามดารา : ควบแน่นพลังิญญาให้กลายเป็ของเหลว และเก็บไว้ในทะเลพลัง แล้วปริมาณพลังิญญาจะเพิ่มขึ้น สามารถใช้เคล็ดวิชาและอาวุธิญญาได้บ่อยขึ้น
มนุษย์วิวัฒน์ : เป็ขีดจำกัดของผู้ฝึกตนระดับสามดาราต้องค้นหาวัตถุดิบิญญาที่เหมาะสมมาบริโภค เมื่อเคล็ดวิชาพัฒนาขึ้น จึงจะเลื่อนระดับเป็สี่ดาราได้
ระดับกลาง
ระดับสี่ดารา : ของเหลวิญญาในทะเลพลังควบรวมกันเป็มหาสมุทร เน้นการหลอมรวมและทำให้บริสุทธิ์ ซึ่งระดับนี้มีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับล่างหลายคนได้
ระดับห้าดารา : สามารถควบแน่นของเหลวิญญาให้กลายเป็ผลึกได้จึงจะเป็ระดับห้าดารา ยิ่งความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ของของเหลวิญญาสูงเท่าใด ก็จะยิ่งควบแน่นได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะเลือกที่จะหลอมผลึกให้เป็อาวุธิญญาในขั้นตอนนี้
์ : ผู้ฝึกตนต้องสังหารอสูรระดับหกดาราที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง หลังจากกินแล้วจะปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำลายพันธนาการ์ หากไม่สามารถทำลายพันธนาการ์ได้ ผลึกจะแตกสลายกลับไปสู่ระดับ สามดารา ต้องเริ่มฝึกฝนใหม่ ในกรณีที่ร้ายแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ระดับสูง
ระดับหกดารา : หรือที่เรียกว่าระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถยืมพลังของ์และผืนแผ่นดินมาใช้ได้ ผู้ฝึกตนระดับล่างไม่อาจควบคุมพลังิญญาได้อย่างอิสระเมื่ออยู่ใกล้
ทะลวง์ : ต้องสังหารอสูรระดับเจ็ดดาราที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง อย่างไรก็ตาม อสูรระดับเจ็ดดารานั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากพลังิญญาในโลกเบาบางลง มนุษย์จึงหมดหวังที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไปได้
ระดับเจ็ดดารา : ระดับสมตติเทพ เป็ระดับที่ปรากฏอยู่ในยุคที่พลังิญญาอุดมสมบูรณ์เมื่อหนึ่งพันปีก่อน สามารถปลดปล่อยรูปปั้นเทพในร่างกายออกมาต่อสู้ได้ เพียงดีดนิ้วก็ทำลายมิติได้เช่นกัน
ไป๋เสียกล่าวต่อ "ตอนนี้เ้าเป็เพียงผู้ทะลวงจุดชีพจรไร้ดาวซึ่งเป็ระดับต่ำที่สุด ส่วนข้าคือผู้แข็งแกร่งแห่งระดับพลังหกดารา ช่องว่างระหว่างเราก็มิต่างเช่นใดระหว่างมดกับั"
"สุดท้ายก็ยังถูกผนึกอยู่ดี..." ลู่เต้าพึมพำ
ไป๋เสียจ้องลู่เต้าตาเขม็ง ลู่เต้าพลันรีบเปลี่ยนคำพูดทันใด "ว้าว...สุดยอดไปเลย"
"หึ"
ลู่เต้าถาม "ทำไมในตอนที่อยู่ระดับห้าดารา ถึงมีคนเลือกไม่ทำลายพันธนาการ์ แต่กลับเลือกที่จะหลอมผลึกที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากให้เป็ศาสตราวุธิญญาแทนเล่า"
"หลังจากสกัดผลึกแล้ว พวกเขาก็ผนึกเคล็ดวิชาของตัวเองลงในอาวุธิญญาได้ เปลี่ยนแปลงจากนามธรรมให้เป็รูปธรรม ถึงแม้จะไม่เข้าใจก็สามารถใช้เคล็ดวิชาได้ ข้อดีคือสะสมความได้เปรียบให้กับลูกหลาน และหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตจากการทำลายพันธนาการ์ไม่ได้" ไป๋เสียกล่าวด้วยท่าทีไม่ยี่หระ "อย่างที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ การฝึกฝนผู้ฝึกตนหนึ่งคนนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากมาย การที่บางคนเลือกทำเพื่อประโยชน์แก่ลูกหลานก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร"
