คำพูดของซูฉีฉีทำให้เหลยอวี่เหยานิ่งค้างอยู่ตรงนั้นนางมีท่าทีไม่เชื่ออยู่บ้าง แต่ที่มากกว่านั้นคือการเข้าใจเพราะว่าซูฉีฉีแต่งงานกับม่อเวิ่นเฉินไปได้อย่างไรนั้นนางเองก็รู้อยู่อย่างแจ่มแจ้ง
“แต่เขา...”เหลยอวี่เหยาอยากจะพูดว่า เขาเสี่ยงชีวิตช่วยซูฉีฉีไว้
“นั่นเพราะว่ามีความสามารถนั้นอยู่ ไม่ว่าอย่างไรเสียข้าก็เป็ถึงพระชายาของเขาที่ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้”ซูฉีฉีใช้สีหน้าที่ราบเรียบแทนที่อารมณ์มากมายของตนเอง
ซูฉีฉีคิดว่าหากเมื่อครู่ตนตกลงไปในเหวลึกแทนพื้นที่ไม่ลึกมากเมื่อครู่แล้วม่อเวิ่นเฉินจะต้องไม่ะโลงไปช่วยนางโดยไม่สนใจสิ่งใดอย่างเช่นเมื่อครู่แน่นอน เพราะว่านางรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินมักจะทำเื่ที่มั่นใจเต็มร้อยแล้วเท่านั้น มิเช่นนั้น เขายอมไม่ลงมือเสียดีกว่า
เหลยอวี่เหยายังคงจ้องมองไปที่ซูฉีฉีทว่ามือที่กำแน่นของนางนั้นได้คลายลงแล้วเสมือนว่าทั้งร่างกายของนางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างกะทันหัน ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงข้ามดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องกันอยู่เช่นนั้น
เกล็ดหิมะตกลงมาไม่หยุดหย่อนเมื่อลมแรงพักมา ผมยาวสลวยก็ได้พลิ้วไหวตามสายลม ชายเสื้อผ้าก็โบกสะบัดอย่างแรง
“คุณหนูเล็ก”
คนคุมม้ารออยู่เนิ่นนางในที่สุดก็อดทนรอต่อไปไม่ไหวจึงก้าวเดินมาเบื้องหน้าและแสดงความเคารพพร้อมเอ่ยเรียกออกมาเสียงหนึ่ง
เมื่อนางเห็นซูฉีฉีผู้มีดวงตาเรียบสงบสีหน้าเรียบนิ่ง อารมณ์สงบนิ่งเช่นนั้น อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสตรีตรงหน้านี้โชคร้ายกว่านางมากนักอยู่ข้างบุรุษผู้นั้นแล้วจะอย่างไร? นางยังคงเป็ได้แค่เพียงตัวตนที่มีไว้เพื่อดูิ่เขาเท่านั้น
ในวินาทีนั้นเองนางเชื่อในคำพูดของซูฉีฉีแล้ว
นางยกมือขึ้นสั่งให้คนคุมม้าหมุนรถม้าไปอีกทางหนึ่งจากนั้นจึงมองไปที่ซูฉีฉี “ไปเถิด”
นางทำเื่อะไรนั้นมักขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตนเสมอมิได้รู้จักคิดวางแผนการอันใดมาก ยิ่งไม่ใช่คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากเท่าใดนักเพราะฉะนั้นเมื่อนางเชื่อแล้วก็จะไม่เก็บไปคิดเยอะอีก เพราะฉะนั้น ตอนนี้ความเป็ศัตรูที่นางมีต่อซูฉีฉีนั้นก็ได้หายไปจนหมดแล้ว
ซูฉีฉีที่กำลังลุ้นตัวเกร็งอยู่นั้นก็ค่อยๆวางใจลง นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าและขึ้นรถม้าตามเหลยอวี่เหยาไป
ระหว่างทางคนทั้งสองไม่ได้เอ่ยวาจาพูดคุยกันล้วนแต่ปิดตาพักผ่อนสายตาทั้งคู่
คนหนึ่งกำลังเป็กังวลกับอาการาเ็ของม่อเวิ่นเฉินอีกคนหนึ่งรู้สึกเหนื่อยแล้วก่อเื่ราวมาตั้งหลายวันถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองแค่ทำตัวงี่เง่า ไร้เหตุผลหาเื่ผิดคนเสียแล้ว
หมอทุกคนในสำนักเหลยนั้นได้ถูกเชิญมารอด้านนอกห้องพักของม่อเวิ่นเฉิน
ในความคิดของเหลยอวี๊เฟิงนั้นการมีตัวตนของม่อเวิ่นเฉินนั้นเปรียบเสมือนเทพเซียนถ้าหากเขาสามารถกระอักเลือกออกมาได้ นั้นก็แปลว่าจะต้องาเ็อย่างหนักแน่นอน ด้วยเหตุนี้ เขาถึงได้ทำเื่ราวให้ใหญ่โตถึงเพียงนี้
เขารอซูฉีฉีกลับมาไม่ไหว และยิ่งไม่ได้คิดถึงว่าการที่ทิ้งซูฉีฉีไว้กับเหลยอวี่เหยานั้นจะอันตรายถึงเพียงใด
เพราะว่าออกแรงย้อนการไหลเวียนของลมปราณม่อเวิ่นเฉินถึงได้สูดหายใจเข้าไม่ทันอีกทั้งเขายิ่งกังวลว่าซูฉีฉีที่อยู่ด้านหลังนั้นจะโดนเหลยอวี่เหยาทำร้ายเอาได้ ด้วยความร้อนรนจึงทำให้สลบไป
หมอทั้งหลายที่ยืนอยู่เต็มห้องโถงนั้นล้วนไม่รู้จะทำเช่นไรดีพวกเขาเพียงพูดว่าแค่พักผ่อนดีๆ ก็จะหายได้แล้ว
สุดท้ายกลับทำให้เหลยอวี๊เฟิงะเิโทสะออกมาขับไล่หมอออกไปจากสำนักเหลยจนหมด
จนกระทั่งครึ่งชั่วยามซูฉีฉีกลับมานั้นเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ยังมีหมอเทวดาอีกคนหนึ่งตนนั้นกลับไปเชิญเอาพวกหมอที่โง่เขลาตามท้องถนนมาให้เสียเวลา
เหลยอวี่เหยาก็ตามซูฉีฉีเข้าไปที่ห้องพักของม่อเวิ่นเฉินด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินที่สลบไม่ได้สติ และกลับไปคิดถึงประโยคเมื่อครู่ของซูฉีฉีเหลยอวี่เหยากลับรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตนเองเป็อย่างมาก นางได้ปิดกั้นถนนแห่งอนาคตของตัวเองลงเสียแล้ว
นางรู้ว่าการจะทำให้ม่อเวิ่นเฉินนั้นเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางใหม่เกรงว่าคงยากมากแล้ว อีกทั้งในเื่นี้พี่ชายของนางก็ไม่เคยคิดจะสนับสนุนนางแม้แต่น้อย
ซูฉีฉีนั่งนิ่งอยู่ด้านหน้าของเตียงพลางยกมือขึ้นตรวจชีพจรของม่อเวิ่นเฉินนางก้มหน้าลงเล็กน้อยขนตาที่งอนยาวนั้นได้ปิดบังความรู้สึกในดวงตาของนางไปจนหมด ดูแล้ว นางเหมือนจะสงบนิ่งมาก สงบจนเกือบจะดูเหมือนเฉยชา
เมื่อตรวจชีพจรเสร็จซูฉีฉีก็ได้ขอพู่กันมาจากเหลยอวี๊เฟิงและเริ่มเขียนใบสั่งยา ั้แ่ต้นจนจบนางก็มิได้เอ่ยอันใดออกมาเพิ่ม และใน่เวลานี้เหลยอวี่เหยาเองก็นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ปล่อยให้เหลยอวี๊เฟิงจ้องนางอย่างโมโห
นางเองก็รู้ว่าตนผิดไปแล้วอีกทั้งครั้งนี้ยังผิดมหันต์อีกด้วย นางมิกล้าโต้เถียงกับเหลยอวี๊เฟิงทำได้เพียงแค่สงบนิ่งเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น
เมื่อมองดูใบสั่งยาของซูฉีฉีแล้วเหลยอวี๊เฟิงก็ได้สั่งให้คนไปเอายาที่ห้องเก็บยาของสำนักเหลยและยังอาสาไปต้มยาด้วยตนเอง
“พี่ชายเ้า...ดูเป็ห่วงท่านอ๋องมาก”เมื่อเห็นเหลยอวี่เหยามิได้ออกไป ซูฉีฉีก็เอ่ยเรียบๆออกมาประโยคหนึ่ง
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วชีวิตของพี่ชายข้าได้ท่านอ๋องเป็คนช่วยไว้ ถ้าหากไม่มีพี่เวิ่นเฉินก็จะไม่มีพี่ชายของข้าในวันนี้” เหลยอวี่เหยามองไปที่ม่อเวิ่นเฉินที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆนั้นด้วยสายตาชื่นชม ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
ทำให้ซูฉีฉีเองก็รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อยเช่นกันบุรุษผู้นี้สามารถคว้าใจของหญิงสาวนับหมื่นได้จริงๆอีกทั้งในบรรดาหญิงสาวเ่าั้ก็รวมไปถึงนาง ซูฉีฉีด้วย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเพราะว่าความซาบซึ้งใจที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ตนนั้นไม่สามารถที่จะไม่หลงรักผู้ชายคนนี้ได้อีกแล้ว
เพราะว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นได้ใช้พลังภายในไปเท่านั้นเพียงแค่พักผ่อนรักษาตัวเพิ่มขึ้นก็จะสามารถหายดีได้ แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมานั้นกลับเอ่ยปากจะจากไปทันที
เหลยอวี๊เฟิงที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่นั้นก็จ้องไปที่ม่อเวิ่นเฉินอย่างโมโห “ด้วยสภาพของเ้าในตอนนี้ จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร?”
สีหน้าของเขาเ็าและจริงจังมาก
แต่ม่อเวิ่นเฉินเองก็มีสีหน้าเด็ดเดี่ยว “เ้าเองก็รู้ถึงนิสัยของข้า ถ้าหากมิอยากให้น้องสาวของเ้าต้องเดือดร้อนทางที่ดีให้พวกเรากลับไป”
ถ้าหากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหลยอวี๊เฟิงครั้งนี้เขาจะต้องฆ่าเหลยอวี่เหยาด้วยมือของตัวเองให้ได้ผู้หญิงของเขามีเขาคนเดียวที่จะแตะต้องนางได้ ผู้ใดที่ทำร้ายซูฉีฉีก็เท่ากับทำร้ายเขาม่อเวิ่นเฉิน และเป็เหมือนการตบหน้าเขาม่อเวิ่นเฉินเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าที่เยือกเย็นของม่อเวิ่นเฉิน รวมถึงน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและไร้ซึ่งความลังเล เหลยอวี๊เฟิงก็เงียบลงทันที
จริอยู่ที่เขาเองก็รู้ว่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดนั้นเป็แผนการของเหลยอวี่เหยารวมถึงการจะขอไปหุบเขาขาดสะบั้นด้วยทั้งหมดนั้นล้วนเป็แผนการที่นางวางไว้เพื่อจะเอาชีวิตของซูฉีฉี แม้ว่าเขาจะได้ลงโทษนางให้คุกเข่าอยู่ในห้องสวดมนต์แล้วแต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้
จากนิสัยของม่อเวิ่นเฉินที่เขารู้จักครั้งนี้เป็เพราะว่าซูฉีฉีไม่ได้รับาเ็และเพราะเห็นแก่หน้าเขาแล้วจึงมิได้เอาชีวิตเหลยอวี่เหยากระมัง
“เ้ารักนางแล้วจริงๆ?”
ผ่านไปเนิ่นนานเหลยอวี๊เฟิงก็เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่งก่อนจะจ้องมองไปที่ม่อเวิ่นเฉิน เขาอยากรู้มาโดยตลอด
ม่อเวิ่นเฉินยิ้มเย็นออกมาเขาทำเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมาแต่สุดท้ายก็หลุบตาลงต่ำ “อย่าลืมดาบเสวียนหยวนล่ะ”
ท่าทางประหนึ่งผู้ชนะก็มิปาน “ที่แท้เป็เช่นนี้”เหลยอวี๊เฟิงส่ายศีรษะก่อนจะยักไหล่ขึ้นอย่างจนปัญญา
ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกว่าตนไม่เข้าใจม่อเวิ่นเฉินแล้วทำเพื่อดาบเสวียนหยวนเท่านั้นจริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นเมื่อวานเหตุใดเขาถึงต้องพยายามเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนั้น
แต่ว่าเขานั้นกลับไม่หวังว่าม่อเวิ่นเฉินจะหลงรักซูฉีฉี เช่นนั้นม่อเวิ่นเฉินก็จะไม่ใช่เทพแห่งาอีกต่อไป เพราะว่าเขาจะมีจุดอ่อนของตัวเองแล้ว ซูฉีฉีในตอนนี้ไม่อาจเป็โล่กำบังให้กับเขาได้จริงๆนางเป็ได้เพียงแค่ภาระของเขาเท่านั้น
“เอาเถอะคิดว่าซูฉีฉีเองก็คงเก็บของพร้อมแล้ว” ม่อเวิ่นเฉินลุกขึ้นมิได้เอ่ยลาและมิได้เอ่ยอะไรออกมาเพิ่ม เขาหมุนตัวเดินจากไปทันที
ม่อเวิ่นเฉินที่เป็เช่นนี้เหลยอวี๊เฟิงนั้นเคยชินเสียแล้ว เขาเป็เช่นนี้เสมอ ไปมาดุจสายลมไม่เคยคำนึงถึงสิ่งใด เหลยอวี๊เฟิงไม่ได้ออกไปส่งแต่กลับนั่งอยู่ในสำนักเหลยจิบน้ำชาอยู่เฉยๆ
ซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินนั้นนั่งอยู่ด้วยกันบนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือ
ซูฉีฉีนั้นได้ทำให้เหลยอวี่เหยาสงบลงแล้วนางเชื่อว่าเหลยอวี่เหยาจะต้องไม่เห็นนางเป็หนามยอกอกอีกเป็แน่เพียงแต่ว่าทางนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับไปเมืองอ้าวล่ะ? นางกลับไป จะกลับไปในฐานะอะไร?
ที่พักของนางคือที่ใด? ฮวาเชียนจือจะยอมปล่อยนางไปง่ายๆหรือ?
คำถามเ่าั้อัดแน่นอยู่เต็มอกของซูฉีฉีทำให้นางรู้สึกยากที่จะสงบได้นางแอบเหลือบสายตาไปมองม่อเวิ่นเฉินที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่พลางหวังว่าบุรุษผู้นี้จะเป็ห่วงนางได้ตลอดไป
“เ้าเป็พระชายาของข้า”เสมือนว่าเขารู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของซูฉีฉีก็มิปานม่อเวิ่นเฉินมิได้ลืมตาขึ้นแต่กลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังประโยคหนึ่ง
นี่ก็ถือเป็การให้ซูฉีฉีกินยาที่สงบจิตใจของนางลงได้แล้วกระมัง
ผ่านไปเนิ่นนาน ซูฉีฉีก็มองม่อเวิ่นเฉินนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นความรู้สึกไม่สบายใจและความกังวลของนางได้มลายหายไปหมดในทันที มีประโยคนี้ของเขา ก็พอแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้