เวินติ่งเทียนไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตาอาฆาตของหลินหยางจึงเล่ารายละเอียดของเื่ที่เกิดขึ้นในราชสำนักต่อ
ซึ่งรายละเอียดก็ไม่ได้ต่างจากที่โอวหยางกงเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้สักเท่าไรนั่นก็คือเฉินเย่เซิงไปเชิญทีมยอดฝีมือนักการช่างมาจากที่ใดก็ไม่รู้ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักการช่างระดับอาวุธิญญาขั้นสูงที่แม้แต่เวินติ่งเทียนก็มิอาจต่อกรได้ซึ่งมันใช้วิชาการช่างระดับสูงของมันเอาชนะเวินติ่งเทียนเสียยับเยิน แถมมันยังทิ้งคำพูดไว้ด้วยว่าอีกครึ่งปีให้หลัง ในเทศกาลงานช่างครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้ – เทศกาลขุมทรัพย์อาวุธิญญาพวกเขาจะบดขยี้ตระกูลเวินทิ้งแล้วจะยึดเลี่ยนเทียนเฮ่าทั้งหมดในเมืองอวิ๋นเฉิงมาเป็ของตัวเอง
หลินหยางและอาจารย์อี้ทั้งสองตั้งใจฟังอย่างละเอียดอี้สิงอวิ๋นขมวดคิ้วพลางถามกลับว่า “ท่านประมุข เ้านักการช่างที่ท่านพูดถึงนั่นถ้าเทียบกับศิษย์พี่ของข้าแล้วใครเหนือกว่า...”
เวินติ่งเทียนเองก็ขมวดคิ้วเช่นกันแล้วตอบกลับไปว่า “บอกได้แค่เก่งแน่นอน!”
อี้สิงอวิ๋นและอี้ชังไห่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเพราะดูจากแววตาของเวินติ่งเทียนแล้ว เกรงว่าคำพูดเมื่อกี้แค่้าไว้หน้าอี้ชังไห่เท่านั้นความสามารถของนักการช่างคนนั้นน่าจะแข็งแกร่งจนไม่สามารถจินตนาการได้เป็แน่
เวินติ่งเทียนกล่าวต่อว่า“เดิมทีตระกูลเวินเราน่าจะพ่ายแพ้ย่อยยับในการประลองที่กำลังจะจัดขึ้นนี้แน่ๆแต่ถ้าเรามีแหวนพระสุเมรุนี่อยู่ละก็ ข้าว่า แม้แต่นักการช่างของตระกูลเฉินนั่นก็คงไม่สามารถหาอุปกรณ์วิถีราชันมาต่อกรกับพวกเราได้”
“ไม่เกรงว่าแค่นี้น่าจะยังไม่พอ”
คำพูดของหลินหยางในตอนนี้มีอิทธิพลกับเวินติ่งเทียนมากพอสมควร เวินติ่งเทียนเชื่อว่าหลินหยางมีอาจารย์ที่เป็ยอดฝีมือคอยหนุนหลังให้อยู่ดังนั้นคำพูดทุกคำของหลินหยาง จึงเป็เหมือนกับตัวแทนของอาจารย์ท่านนั้นด้วยซึ่งมันมากพอที่จะทำให้คนระดับเวินติ่งเทียนยอมรับฟังคำพูดของหลินหยางอย่างตั้งใจ
“ท่านประมุขหลินอี้คิดว่า ถ้าหากข้าเป็คนของตระกูลเฉินอะไรนั่นละก็ข้าไม่มีทางยอมเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาให้ท่านเห็นง่ายๆ แบบนั้นแน่พวกมันจะต้องยังมีนักการช่างที่เก่งกาจยิ่งกว่านั้นแอบซ่อนเอาไว้อยู่แน่นอน...”
หลินหยางพูดมีเหตุผลคนระดับเวินติ่งเทียนฟังแล้วยังคิ้วขมวด
ถ้ามันยังมีนักการช่างที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกจริงๆละก็ แล้วตระกูลเวินจะเอาอะไรไปต่อกรกับพวกนั้นได้เล่า
หลินหยางพูดต่อไปว่า “ดังนั้นสิ่งที่ตระกูลเวินต้องทำเป็อันดับแรกเลยก็คือการยกระดับความสามารถด้านการช่างให้สูงขึ้นต้องยกระดับมาตรฐานของเลี่ยนเทียนเฮ่าให้สูงขึ้นในทุกๆ ด้านเลี่ยนเทียนเฮ่าในตอนนี้ มีเพียงท่านอาจารย์อี้ชังไห่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นักการช่างระดับอาวุธิญญาขั้นสูง...มาตรฐานต่ำเกินไป”
คำพูดของหลินหยางแทงใจดำของคนที่เหลืออีกครั้ง
เวินติ่งเทียนที่เป็ประมุขตระกูลเวินนั้นย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าความสามารถด้านการช่างของตระกูลเวินนั้นเป็ใหญ่แค่ในอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นเท่านั้นยิ่งไม่ต้องไปเทียบกับทั้งทวีปชี่อู่อันกว้างใหญ่นี้เลยแค่กับอาณาจักรใกล้เคียงยังไม่รู้เลยว่าจะสู้ไหวหรือไม่
สิ่งที่หลินหยางพูดมานั้นเป็จุดบอดของตระกูลเวินจริงๆเพียงแต่การจะสร้างนักการช่างระดับอาวุธิญญาขั้นสูงขึ้นมาสักคนนั้นมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นนี่สิ!
การจะทำให้เลี่ยนเทียนเฮ่ายิ่งใหญ่มากขึ้นกว่านี้นั้นเป็เื่ที่ยากลำบากมากเหลือเกิน...
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันเื่เลี่ยนเทียนเฮ่าอยู่นั้นเวินชงก็มาเคาะประตูห้องแล้วก็เดินเข้ามาทันทีอย่างเร่งรีบแถมยังมาพร้อมกับข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องใ
มีคนมาก่อนกวนที่เลี่ยนเทียนเฮ่าอย่างนั้นหรือ?
เกิดอะไรขึ้นกัน?
กำลังพูดถึงเลี่ยนเทียนเฮ่าอยู่พอดีกลับมีคนไปก่อกวนที่เลี่ยนเทียนเฮ่าจริงๆ เสียอย่างนั้น?
เวินติ่งเทียนขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วจึงพาพวกหลินหยางออกจากคฤหาสน์ตระกูลเวินไป รีบมุ่งหน้าไปทางเลี่ยนเทียนเฮ่าทันที
จากนั้นไม่นานก็มองเห็นประตูสำริดขนาดมหึมาตั้งอยู่ไม่ไกลด้านล่างนั้นเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากชาวบ้านเ่าั้ต่างก็กำลังยืดคอสุดชีวิตราวกับคิดว่าตัวเองเป็ยีราฟเพื่อมองเข้าไปด้านในพร้อมกับมีเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากฝูงชนตรงนั้นด้วย
“โอ้แม่เ้านี่มันคนที่สี่แล้วนะ...”
“จริงด้วยนักการช่างชื่อดังของเลี่ยนเทียนเฮ่าแพ้ไปหลายคนแล้วนะ...”
“ไม่ใช่แค่แพ้ธรรมดาแล้วนะอย่างนี้มันพ่ายแพ้ย่อยยับเลยต่างหาก... เ้าพวกนั้นมันหักหน้ากันเกินไปรึเปล่า!”
เสียงพูดคุยเหล่านี้มันชัดเจนมากว่าสถานการณ์ภายในเลี่ยนเทียนเฮ่านั้นกำลังย่ำแย่ น่าจะมียอดฝีมือสักคนกำลังสร้างความปั่นป่วนและก่อกวนเลี่ยนเทียนเฮ่าที่เป็โรงงานช่างอันดับหนึ่งในเมืองอวิ๋นเฉิงอยู่
แววตาของหลินหยางตอนนี้ดูเ็าพร้อมกับคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาของเลี่ยนเทียนเฮ่ามาหมาดๆนั้น ยังไม่ทันไรก็มีคนมาหาเื่เสียแล้ว
แต่สำหรับเขาอุปสรรคที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้นับเป็โอกาสอันดี
หากเขา้าจะทำให้เลี่ยนเทียนเฮ่ายิ่งใหญมากขึ้นกว่านี้การยกระดับมาตรฐานและการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเลี่ยนเทีนเฮ่านั้น เป็สิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆที่ต้องรีบทำก่อน ถึงแม้เขาจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษามาแล้วก็ตามแต่การที่เขาจะได้รับความเคารพและความนับถือจากสมาชิกของเลี่ยนเทียนเฮ่าทุกๆ คนนั้นเขายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จก่อน
หนึ่งในนั้นก็คือสั่งสมความน่าเชื่อถือของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็สิ่งที่สำคัญที่สุดและเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เป็โอกาสอันดีที่จะเริ่มต้นแผนการรวบรวมอำนาจของตระกูลมาอยู่ในมือตัวเองด้วย
ดังนั้นคนที่กำลังก่อกวนเลี่ยนเทียนเฮ่าอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตามมันผู้นั้นจะต้องกลายมาเป็ขั้นบันไดให้หลินหยางเหยียบย่ำเพื่อก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุด!
รถม้าของตระกูลเวินไม่ได้เข้าไปทางประตูหน้าแต่เวินติ่งเทียนพาพวกเข้าไปข้างในเลี่ยนเทียนเฮ่าจากทางประตูหลัง โดยที่บริเวณลานกว้างขนาดมหึมาภายในเลี่ยนเทียนเฮ่านั้นมีกลุ่มคนกำลังยืนรวมตัวกันอยู่
โดยภายในลานกว้างแห่งนี้มีแท่นตีอาวุธตั้งอยู่หลายสิบแท่นซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่ตอนนี้พวกมันกลับถูกกลืนไปด้วยฝูงชนจำนวนมากเหลือเพียงแค่สองแท่นที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ โดยแต่ละคนล้วนจับจ้องไปยังคนสองคนที่กำลังยืนอยู่หน้าแท่นตีอาวุธทั้งสองนั่นโดยไม่ละสายตา
หนึ่งในนั้นคือนักการช่างที่มีอันดับไม่ต่ำกว่าห้าอันดับแรกของเลี่ยนเทียนเฮ่านักการช่างระดับอาวุธิญญาขั้นกลาง วู๋กัง
โดยวู๋กังเองก็เป็ที่เคารพนับถืออย่างมากในเลี่ยนเทียนเฮ่าเช่นกันโดยเขาเป็รองเพียงแค่อี้สิงอวิ๋น และอี้ชังไห่แค่สองคนเท่านั้น
เขาถนัดการสร้างเครื่องป้องกันเป็อย่างมากโดยชุดเกราะัผงาดฟ้าที่ทหารของอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นสวมใส่อยู่ก็เป็ของที่เขาเป็คนออกแบบเองกับมือเรียกได้ว่าวู๋กังก็เป็อีกหนึ่งบุคคลสำคัญของอาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นเลยก็ไม่ผิด
แต่อาจารย์วู๋กังท่านนี้กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากหลั่งเหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วทั้งหัวสองมือกำลังใช้ค้อนตีแผ่นเหล็กที่มีลักษณะเหมือนโล่สีดำอันหนึ่งทุกครั้งที่ตีลงไปก็จะเกิดเสียงดังกังวานราวกับว่าแผ่นเหล็กกำลังคำรามกู่ก้องไปทั่วบริเวณแต่ไม่รู้ทำไมเสียงตึงตึงที่หลินหยางได้ยินกับััได้ถึงความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นจากตัวผู้ตี...ความรู้สึกกลัว
ใช่แล้วมือของวู๋กังตอนนี้กำลังสั่นเพราะความกลัว
โดยปกติแล้วนักการช่างระดับนี้ไม่มีทางเกิดอาการมือสั่นใน่ที่กำลังสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้แน่นอนนั่นหมายความว่า ที่วู๋กังกำลังมือสั่นอยู่นั้น เป็เพราะเขากำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างเป็อย่างมากมากเสียจนไม่สามารถคุมมือตัวเองให้หยุดสั่นได้
และสิ่งที่ทำให้เขาเกิดอาการหวาดกลัวจนาดนี้ก็คือคู่ต่อสู้ที่กำลังประลองกับเขาอยู่
ชายหนุ่มที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะมีอายุประมาณ17-18 ปี
ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างผอมสูงผิวสีเข้ม สวมใส่เสื้อกล้ามที่ปกตินักการช่างมักจะใส่กันเวลาทำงานเสื้อนั่นรัดแน่นจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง หากมองจากไกลๆ เขาจะดูคล้ายกับเสือดำตัวหนึ่งร่างกายที่ดูสุขภาพดีนั่นแฝงไว้ด้วยพลังงานอันมากมายมหาศาล
ชายหนุ่มผู้นี้สร้างอุปกรณ์ของตัวเองเสร็จแล้วโดยมันเป็ดาบสั้นสีดำทมิฬเล่มหนึ่งซึ่งมันกำลังวางอยู่บนแท่นตีอาวุธที่อยู่ด้านหน้าของเขา
ชายหนุ่มกำลังยืนกอดอกหลับตาพร้อมกับเคาะนิ้วมือข้างหนึ่งเป็จังหวะไปด้วยมุมปากยกสูงขึ้นทำมุมเล็กน้อย ดูเหมือนจะกำลังดูถูกคู่ต่อสู้อยู่
เขากำลังรอให้วู๋กังสร้างอุปกรณ์ของตัวเองเสร็จ
ท่าทางของชายหนุ่มในตอนนี้ดูราวกับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่งที่กำลังยืนจ้องจะพุ่งเข้าไปฉีกร่างเหยื่อของตนอย่างเงียบๆ
ทั่วทั้งลานกว้างถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบการประลองครั้งนี้มาถึง่สุดท้ายแล้ว ผลการประลองใกล้จะปรากฏให้เห็นในอีกไม่ช้า
หลังจากที่เวินติ่งเทียนพาพวกหลินหยางมาถึงที่นี่แล้วเขาก็เห็นชายหนุ่มผิวเข้มคนนั้นในทันที แววตาของเขาปรากฏความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในแบบที่เขาไม่เคยเป็มาก่อนเขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาหลังจากที่เขาทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรวมทั้งหมดได้แล้วสุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับยืนรอเงียบๆ อยู่ตรงส่วนหน้าสุดของฝูงชน
ส่วนเถ้าแก่ของเลี่ยนเทียนเฮ่าอย่างเ้าอ้วนหวังและสวี่เหยาพอได้เห็นเวินติ่งเทียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างเล็กน้อยโดยสวี่เหยาเริ่มสอดส่องสายตาไปทั่วเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ พอนางหันไปเห็นหลินหยางแล้วแววตาของนางก็ดูสดใสขึ้นทันที แต่เพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนี้ นางจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาหันกลับไปจดจ่อกับการประลองอีกครั้ง
หลังจากที่เวลาผ่านไปประมาณจุดธูปดอกหนึ่งจนดับแล้ว
อาจารย์วู๋คนนั้นก็เสร็จขั้นตอนการนำโล่ที่ตีขึ้นไปทำให้เย็นตัวลงพร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งเข้าไปในที่สุดโล่เหล็กกล้าทรงกลมที่สะท้อนแสงจนเกิดเป็ประกายแวววับก็ปรากฏสู่สายตาของผู้คน
ตามปกติแล้วเมื่อได้มีโอกาสเห็นอุปกรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์วู๋อย่างนี้แล้วผู้คนก็มักจะส่งเสียงดีใจกันโครมคราม แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ผู้คนต่างก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหายใจออกมาพวกเขายืนมองวู๋กังถือโล่ทรงกลมไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างแท่นตีอาวุธทั้งสองแล้วหันหน้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังหลับตาอยู่คนนั้น
“ข้าพร้อมแล้ว”
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็ได้ยินเสียงพูดอันสั่นเครือของอาจารย์วู๋กังคนนั้นเหมือนกัน
“ช้าเกินไปแล้ว...”
เสียงพูดของชายหนุ่มนั้นฟังดูเ็าเต็มไปด้วยความรู้สึกของการดูถูก
เขาลืมตาขึ้นมาแล้วแววตาของชายหนุ่มนั้นดูเ็าและไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นเมื่อมองไปในดวงตาของเขาราวกับว่าจะเห็นธารน้ำแข็งที่ไม่เคยละลายมานานนับหมื่นปี
“ไป!”
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่พูดอะไรให้เปลืองน้ำลายส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาทีหนึ่งใช้มือเดียวเหวี่ยงดาบสั้นที่วางอยู่บนแท่นตีอาวุธขึ้นมาจนมันหมุนควงอยู่กลางอากาศราวกับนกนางแอ่นที่กำลังบินวนเป็วงกลมอยู่กลางท้องฟ้า
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาพร้อมกับดีดนิ้วเข้าไปที่จุดกึ่งกลางของดาบสั้นจนเกิดเสียงดังสนั่นราวกับเสียงของัคำรามดาบสั้นที่กำลังหมุนเป็วงกลมอยู่กลางอากาศนั่นก็เกิดการสั่นะเืจนเกิดเป็คลื่นอากาศรอบตัวมันจากนั้นดาบสั้นก็ส่งเสียงฟิ้ว บินตัดอากาศอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็เพียงเงาดำจางๆ สายหนึ่งพุ่งเข้าใสโล่ทรงกลมในมือของวู๋กัง
“วู๋กังระวัง!”
อี้สิงอวิ๋นส่งเสียงร้องเตือนมาจากในฝูงชนแค่เสี้ยวพริบตาเดียวเขาก็สามารถมองเห็นผลแพ้ชนะแล้ว
ตึงง
เกิดเสียงะเิดังสนั่นจนรู้สึกราวกับว่าิญญาจะหลุดออกจากร่างบางคนถึงขั้นต้องยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือวู๋กังถูกแรงกระแทกผลักจนกระเด็นไปไกลประมาณสิบกว่าก้าวจนสุดท้ายไปชนเข้ากับแท่นตีอาวุธที่อยู่ข้างหลังถึงจะหยุดลง โล่เหล็กกล้าทรงกลมที่สร้างขึ้นอย่างยากลำบากก็ถูกดาบสั้นสีดำเล่มนั้นพุ่งทะลุจนเป็รู!
แถมมันยังแทงเข้าใส่ฝ่ามือข้างที่ถือโล่เอาไว้ของวู๋กังจนตัวดาบจมลึกไปถึงกระดูกเ็ปมากเสียจนอาจารย์ชราที่มีอายุเหยียบห้าสิบปีท่านนี้ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา
“ท่านอาจารย์วู๋”
นักการช่างกลุ่มหนึ่งพุ่งไปหาวู๋กังจากในฝูงชนอย่างเร่งรีบถึงาแจะไม่ได้สาหัสอะไรมากมายนักแต่ผลกระทบทางจิตใจน่าจะรุนแรงเกินกว่าจะทนไหว
ความคมของใบดาบตัดขาดราวฉีกกระดาษ
และที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คืออีกฝ่ายเป็เพียงแค่ชายหนุ่มอายุน้อย กลับมีความเร็วในการสร้างที่ไวขนาดนี้แถมคุณภาพก็ยังสูงอีก ความสามารถของมันสูงเกินกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการถึงไปแล้ว
อาณาจักรชูอวิ๋นจวิ้นมีนักการช่างอายุน้อยแต่ฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่กัน?
ชายหนุ่มคนนั้นยืนมองวู๋กังที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบเฉยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “เสียเวลา...” เขาพูดสั้นๆ แค่นี้แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
แต่แค่คำพูดประโยคนั้นประโยคเดียวมันก็สามารถสื่อได้ถึงทั้งคำดูถูกเหยียดหยาม และคำยั่วยุ
และในขณะที่ผู้คนกำลังจับจ้องไปที่ชายหนุ่มอยู่นั้น เขาก็หันสายตามาทางเวินติ่งเทียนที่อยู่กลางฝูงชน“เวินติ่งเทียน เลี่ยนเทียนเฮ่าของเ้ามันช่างกระจอกไร้ค่าเหมือนกับตัวเ้าจริงๆ”
ผู้คนถึงกับตกตะลึงไปพร้อมกันสายตาของฝูงชนตอนนี้หันมารวมอยู่ที่เวินติ่งเทียนแทน
เ้าป่าเถื่อนนี่มันรู้จักกับเวินติ่งเทียนด้วยหรือ?
แถมมันยังกล้ากล่าววาจาเสียมารยาทต่อหน้าสาธารณชนกับประมุขของตระกูลเวินที่เป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองอวิ๋นเฉิงอย่างนั้นหรือ!
เวินติ่งเทียนเดินออกมาด้านหน้าพลางมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ซ่างกวันเฟย ที่นี่ไม่ต้อนรับหมารับใช้ของตระกูลเฉิน! ข้าให้เวลาเ้าหนึ่งนาที รีบไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย ก่อนที่ข้าจะไปลากคอเ้าออกจากที่นี่ด้วยตัวเอง!”