“ตูมมม…”
“ซ่าาา…” มหาวาตะลูกใหญ่เชื่อมต่อกับฟ้าดิน ยามหมุนวนด้วยความเร็วสูงจนเกิดการเสียดทานขึ้น ทันใดนั้นในก้อนเมฆหนาทึบ เกิดประกายแสงจากสายฟ้าเก้าสายพุ่งลงมา จู่โจมตรงใจกลางพายุใหญ่โดยตรง
ท้องฟ้าของเกาะนิรนามสว่างไสวและมืดมิดสลับไปมา หลังจากนั้น มหาพายุลูกใหญ่ค่อยๆ อ่อนแรงลง จวบจนกระทั่งสายลมสงบจนหยุดนิ่ง ท้องฟ้าเริ่มมีฝนโปรยปราย ก่อนจะตกหนักเทกระหน่ำลงมา ราวกับจะชะล้างทำความสะอาด เติมความสดชื่นให้ทั่วทั้งเกาะรอบหนึ่ง
สายลมสงบนิ่ง ฝนเทกระหน่ำ ฝุ่นละอองที่ลมพายุพัดม้วนขึ้นฟุ้งกระจาย ถูกสายฝนชะล้างลงมาสู่ดิน ในที่สุดทุกคนก็สามารถมองเห็นสภาพบนแท่นหินขนาดใหญ่อย่างชัดเจน ทุกคนล้วนตะลึงงันไปแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้มองเห็นฉากที่เกินความคาดหมายโดยสิ้นเชิง
จ้านอู๋มิ่งมิได้เสียชีวิต เขานั่งยองๆ ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บนใบหน้าผุดรอยยิ้มน้อยๆ อันเฉยชาและเหี้ยมโหด ตรงเท้าของเขา ราชันวายุหนานกงเฉิงนอนแผ่อยู่บนก้อนหินใหญ่เหมือนสุนัขตายตัวหนึ่งก็ปาน บนก้อนหินใหญ่นั้นราชันวายุ หนานกงเฉิงเป็จุดศูนย์กลาง รอยแตกร้าวแผ่ขยายออกไปโดยรอบหลายสาย สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนนึกถึงฉากน่าสยดสยองยิ่งนักฉากหนึ่ง อุกกาบาตลูกหนึ่งตกจากเบื้องบนไกลลิบลิ่วกลางนภากาศด้วยความเร็วสูงจนสุดเปรียบปาน พุ่งชนใส่ทรวงอกราชันวายุ หนานกงเฉิง แล้วนำพาร่างกายหนานกงเฉิง กระแทกลงบนแท่นหินใหญ่อย่างรุนแรงและหนักหน่วง
ทุกคนเห็นจ้านอู๋มิ่งค่อยๆ ดึงฝ่ามือออกจากหน้าอกของราชันวายุ หนานกงเฉิงอย่างช้าๆ และแล้ว...อุกกาบาตลูกนั้นที่ทุกคนพากันจินตนาการออกมา ก็กลายเป็กำปั้นของจ้านอู๋มิ่ง
ราชันวายุ หนานกงเฉิงพ่ายแพ้แล้ว อีกทั้งยังพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถ! ไม่มีผู้ใดคิดว่ามันจะจบลงเช่นนี้ แม้แต่ตู้เยว่ิและศิษย์อื่นๆ ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ผู้ชมทั้งหมดมองดูจ้านอู๋มิ่งที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายฝนราวกับเทพเ้าาอย่างสงบเงียบ
บรรดาศิษย์ของตระกูลหนานกงก็ล้วนโง่งมไปแล้วเช่นกัน ฉากจบเช่นนี้เกินความคาดหมายของพวกมันยิ่งนัก การจมดิ่งลงทางจิติญญาอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าทุกสิ่งตรงหน้านี้คือความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนานกงชิง เขาเห็นชัดเจนว่าหนานกงเฉิงใช้กระบวนท่าสังหาร “ขี่วายุเก้าจู่โจม” ที่ทรงพลังที่สุดในอานุภาพมหาวาตะฟ้า หนานกงเฉิงได้ฝึกปรือกระบวนท่าสังหารนี้จนสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ถึงกับสามารถชักนำมาซึ่งสายฟ้าเก้าสายของฟ้าดิน
แม้แต่ในตระกูลหนานกง ผู้ที่สามารถสำแดงฤทธิ์เดชของอานุภาพมหาวาตะฟ้าบรรลุถึงขอบเขตระดับนี้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ราชันวายุ หนานกงเฉิงเคยอาศัยเคล็ดวิชากระบวนท่าสังหารนี้ เข่นฆ่ายอดฝีมือระดับจักรพรรดิาไปแล้วหลายคน สร้างชื่อเสียงให้มีศักดิ์ศรีในฐานะยอดฝีมือราชันวายุ แต่ว่าเวลานี้ หนานกงเฉิงกลับพ่ายแพ้แล้ว
“ไฉนเ้าจึงทราบความลับในกระบวนท่าสังหารของตระกูลหนานกง?” ราชันวายุ หนานกงเฉิงไอออกมาอย่างอ่อนแรงพร้อมโลหิตสดๆ คำหนึ่ง ในดวงตาฉายแววมิยินยอมพร้อมใจวูบ กล่าวถามขึ้น
“คนตายผู้หนึ่ง้าทราบมากมายเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใดเล่า?” จ้านอู๋มิ่งคอยเช็ดเืที่เปื้อนมือ ตอบอย่างเฉยชาคำหนึ่ง
ราชันวายุ หนานกงเฉิงไอออกมาอีกครั้งพร้อมโลหิตสดๆ หลายคำ ในดวงตาไร้ความทระนง จ้องมองจ้านอู๋มิ่ง ฝืนยิ้มพูดขึ้นว่า “บอกให้ข้าทราบได้หรือไม่ เ้าใช้สิ่งใดป้องกันกระบวนท่าสังหารขี่วายุเก้าจู่โจมของข้ากันแน่?”
“เห็นแก่ที่เ้าเป็คนเก่งผู้หนึ่งเช่นกัน พี่ชายจะใจดีมีเมตตาเป็พิเศษ ให้เ้าเป็ผีที่หมดความสงสัย เนื่องจากบนร่างพี่ชายมีเกราะเทพเ้า ถึงแม้การโจมตีของเ้าจะทำให้ข้าเ็ปมาก แต่ไม่สามารถปลิดชีวิตข้าได้!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ โบกมือคราหนึ่ง เผยมุมเสื้อออกมาให้เห็นมุมหนึ่ง หนานกงเฉิงที่นอนอยู่บนพื้นเห็นเกล็ดส่องประกายสีนิลหลายชิ้นอยู่ในเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของจ้านอู๋มิ่ง เหมือนใยแมงมุมก็มิปาน คอยปกป้องตำแหน่งจุดตายทั้งเก้าของจ้านอู๋มิ่งเอาไว้
ราชันวายุ หนานกงเฉิงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง มิใช่ว่าเขาสู้จ้านอู๋มิ่งไม่ได้ แต่เป็เพราะจ้านอู๋มิ่งได้คำนวณไว้ก่อนล่วงหน้าเนิ่นนานแล้ว เขาไม่กลัวความแข็งแกร่งของร่างกายจ้านอู๋มิ่ง เนื่องจากกระบวนท่าขี่วายุเก้าจู่โจมของตนสามารถทำลายได้ไม่ว่าจะเป็การป้องกันทางกายภาพใดๆ เป็การโจมตีเส้นชีพจรและอวัยวะภายในโดยตรง ถ้าเส้นชีพจรและอวัยวะภายในของคนผู้หนึ่งถูกทำลายจนแหลกลาญย่อยยับ ต่อให้ร่างกายไม่บุบสลาย ก็ต้องเสียชีวิตอย่างมิต้องสงสัย เพียงแต่ว่าเขาเชื่อมั่นในกระบวนท่าขี่วายุเก้าจู่โจมของตนเองมากเกินไป
จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของขี่วายุเก้าจู่โจมก็คือ หลังจากจู่โจมไปเก้าครั้งแล้วจะมีการหยุดชะงักเล็กน้อย เนื่องจากเป็กระบวนท่าสังหาร ต้องควบแน่นพลังจิติญญาการต่อสู้ทั้งหมดแล้วโจมตีออก ย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนลมหายใจครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็่เวลาที่สั้นมาก ถ้าไม่คุ้นเคยกับเคล็ดวิชานี้ ย่อมไม่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างเด็ดขาด
ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถรอดชีวิตภายใต้ขี่วายุเก้าจู่โจม ดังนั้นจะมี่หยุดชะงักหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เขาได้พบกับจ้านอู๋มิ่งแล้ว ไอ้หนูคนนี้ไม่เพียงแค่กายเนื้อแข็งแกร่งไร้ผู้ทัดเทียม ทั้งยังคุ้นเคยกับท่าขี่วายุเก้าจู่โจมอย่างยิ่งอีกด้วย ไม่เพียงแต่สวมชุดเกราะจิติญญาบนจุดมรณะทั้งเก้าล่วงหน้าเท่านั้น ยังรู้ว่ากระบวนน่านี้จะมี่หยุดชะงักสั้นๆ ตอนท้ายสุดท้ายด้วย
ราชันวายุ หนานกงเฉิงได้แต่พูดว่าคู่ต่อสู้คนนี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ตอนแรกเริ่มก็แสดงท่าทีว่าตน้าพึ่งกายเนื้อป้องกันตัว การกระทำนั้นของเขาก็คือกับดักอันหนึ่ง เขาพุ่งเป้ามาที่ขี่วายุเก้าจู่โจมของตนแต่แรกแล้วนั่นเอง กระบวนท่าไม้ตายเพื่อสังหารที่แข็งแกร่งที่สุด มักเป็ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุด
ยามที่มือของจ้านอู๋มิ่งััตัวเขา เขารู้สึกเหมือนถูกอุกกาบาตจากนอกโลกลูกหนึ่งพุ่งชนใส่ ถูกกระแทกลงอย่างหนักหน่วงบนแท่นหิน เขาได้ยินเสียงกระดูกและก้อนหินแตกเป็เสี่ยงๆ อย่างชัดเจน
“เกราะของเทพเ้า!” หนานกงเฉิงฝืนยิ้ม สองตาจ้องมองไปยังสุดขอบฟ้าที่แสนห่างไกล ค่อยๆ สูญเสียจิติญญาไปแล้ว
จ้านอู๋มิ่งมองหนานกงเฉิงที่นอนตายตาไม่หลับ ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง เขาเดิมพันถูกต้องแล้ว หากมิใช่เขารวบรวมเกล็ดและหัวกะโหลกจากสัตว์อสูรจิติญญานับพันนับหมื่นในสำนักบริบาลเดรัจฉานเป็เวลาหลายเดือน ในเวลานี้คนที่ตายน่าจะเป็ตนเอง
จ้านอู๋มิ่งมิอาจไม่ขอบคุณความทรงจำในอดีตชาติ “เกราะของเทพเ้า” เป็ชื่อที่เขาพูดอย่างติดตลก ชุดเกราะนี้เป็ส่วนหนึ่งของชุดเกราะทั้งตัวที่หล่อหลอมขึ้นโดยมหาจักรพรรดิหยวนแห่งอาณาจักรเบื้องบน และเพราะส่วนหนึ่งนี้ ทำให้จ้านอู๋มิ่งใช้เวลามากกว่าสิบปีเต็ม กว่าจะสามารถรวบรวมจนครบในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ คิดจะเก็บเกี่ยวสิ่งของจากสัตว์เทพยดาทุกชนิดหรือชิ้นส่วนจากร่างของสัตว์อสูรดุร้ายต่างๆ มันไม่ใช่ง่ายเลยทีเดียว
ในปีนั้น เขาใช้วัสดุเหล่านี้เพื่อแลกกับให้มหาจักรพรรดิเลี่ยหยางช่วยเปิดลูกแก้วธาตุอสนีบาตให้ตนเอง เพื่อนำมาเสริมเติมเต็มจำนวนตัวเลขชีวิตเจ็ดวิบัติของตนเอง หลังจากพลังของธาตุสายฟ้าแล้ว เขาจึงได้ริเริ่มสร้างสรรค์เคล็ดวิชาอสนีบาตสัญจร์ออกมา
มหาจักรพรรดิเลี่ยหยางใช้คุณสมบัติป้องกันตัวอันแข็งแกร่งที่สุดของสัตว์ร้ายต่างๆ หล่อหลอมสร้างชุดเกราะนักรบขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อป้องกันการโจมตีและไล่ล่าสังหารของหัวหน้าเผ่าแห่งชนเผ่าวายุ แล้วแก้แค้นเป็ผลสำเร็จ
หลังจากที่จ้านอู๋มิ่งสังหารหนานกงฉู่แล้ว เขาใช้พลังธาตุวายุเปิดผนึกความทรงจำใน่นั้นออกมา จึงทำให้เขาจำชุดนักรบของมหาจักรพรรดิหยวนชุดนี้และกระบวนท่าไม้ตายของชนเผ่าวายุแห่งอาณาจักรเบื้องบนขึ้นมาได้
อานุภาพมหาวาตะฟ้าของตระกูลหนานกง จ้านอู๋มิ่งได้เรียนรู้มาเป็เวลาเนิ่นนานแล้วั้แ่ในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ ในปีนั้นธาตุวายุธาตุแห่งชีวิตของเขาได้รับการเติมเต็มจนสมบูรณ์แบบโดยการสังหารผู้คนในเผ่าวายุนั่นเอง เขาคาดเดาว่าครั้งนี้หนานกงเฉิงคงจะต้องใช้กระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดในอานุภาพหาวาตะฟ้าอย่างแน่นอน และเขาก็คาดเดาถูกต้องแล้ว
หลังจากที่จ้านอู๋มิ่งจำเื่ราวในตอนนั้นเกี่ยวกับชุดนักรบของมหาจักรพรรดิหยวนและลูกแก้วธาตุอสนีบาตได้แล้ว ก็เริ่มต้นเตรียมพร้อม ถึงแม้ตระกูลหนานกงเปรียบเทียบกับเผ่าวายุแล้ว แตกต่างกันไม่ทราบกี่หมื่นลี้[1] แต่ความแข็งแกร่งของตนเองในเวลานี้เปรียบเทียบกับความแข็งแกร่งในปีนั้นที่ขึ้นไปในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิก็แตกต่างกันไม่ทราบกี่หมื่นลี้เช่นกัน ดังนั้น เขาจึงมิอาจชะล่าใจอย่างเด็ดขาด ถึงแม้ในทวีปนี้เขาจะไม่สามารถหาวัสดุสัตว์อสูรเทพยดาจำนวนมากได้ แต่กลับสามารถหาสัตว์อสูรที่มีสายเืของสัตว์เทพยดาและสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ทดแทนได้ แล้วสร้างเป็เกราะป้องกันตัวง่ายๆ ชุดนี้ขึ้นมา
เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นโดยมหาจักรพรรดิหยวนแห่งอาณาจักรเบื้องบน ดังนั้นจ้านอู๋มิ่งจึงตั้งชื่อของเทพศักดิ์สิทธิ์ให้มันชื่อหนึ่ง——ชุดเกราะของเทพเ้า!
โชคดีที่ฐานบ่มเพาะของหนานกงเฉิงถูกสะกดข่มในระดับราชันาขั้นต้น มิฉะนั้นแล้ว เกรงว่าชุดเกราะของเทพเ้าที่คุณภาพแย่ของเขาคงไม่สามารถป้องกันจากการาเ็สาหัส เมื่อได้รับาเ็สาหัส ก็อาจจะพลาดโอกาสตอบโต้ข้อบกพร่องของหนานกงเฉิงได้ทันเวลา และอาจโดนโจมตีเสียชีวิตในกระบวนท่าเดียว
หลังจากสังหารหนานกงเฉิงแล้ว ในที่สุดจ้านอู๋มิ่งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่เขากังวลมากที่สุดก็คือคนผู้นี้ ความเร็วของเขารวดเร็วเกินไป หาโอกาสที่จะลงมือไม่ได้เลย
เพียงแค่สังหารเฝิงอู๋เซวี่ยอีกคน โดยพื้นฐานการเดิมพันหอสมบัติจิติญญาแทบจะนับได้ว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว หลังจากมีหินจิติญญาสำรองไว้จำนวนมากเพียงพอแล้ว ถึงเวลานั้นเขาก็จะสามารถแข่งขันกับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์และเทพเ้าาพวกนั้น เพื่อแย่งชิงลูกแก้วธาตุอสนีบาตที่จะเปิดประมูลขึ้นที่หอสมบัติจิติญญาในอนาคต
ชีวิตนี้ ถ้าตนสามารถได้รับลูกแก้วธาตุอสนีบาต เป็ไปได้อย่างยิ่งที่จะเริ่มต้นดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาตในอาณาจักรเบื้องล่าง ตลอดจนฝึกฝนบ่มเพาะธาตุแห่งชีวิตของตนเองให้บรรลุแปดธาตุแห่งชีวิต ในธาตุแห่งชีวิตของเขา ได้มีเมล็ดพันธุ์ของธาตุความมืดแล้ว ในชีวิตนี้มีความทรงจำของชาติภพที่แล้ว ก็ไม่ต้องรอให้ถึง่หลังจากที่ทลายนภา เสาะแสวงหามหาจักรพรรดิเลี่ยหยาง เพื่อขอให้ช่วยเปิดลูกแก้วธาตุอสนีบาต
“จ้านอู๋มิ่ง มอบชีวิตมา!” ในเวลานี้หนานกงชิงจึงตั้งสติกลับคืนมา ราชันวายุ หนานกงเฉิงเสียชีวิตแล้ว เื่นี้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อพวกเขามากเกินไปแล้ว สองพี่น้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของจ้านอู๋มิ่ง เขาไม่สามารถระงับเจตนาสังหารที่บ้าคลั่งในใจได้อีกต่อไป ความโกรธแค้นและความเศร้าโศกทำให้ขาดสติ ลืมไปแล้วว่าแม้แต่ราชันวายุ หนานกงเฉิงก็ยังดับสูญในเงื้อมมือของจ้านอู๋มิ่ง แล้วตนจะเป็คู่ต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่งได้อย่างไร
“หาที่ตาย!” จ้านอู๋มิ่งไม่มีเวลาถอดกำไลข้อมือเก็บของออกจากมือหนานกงเฉิง หนานกงชิงได้โจมตีมาถึงแล้ว ทายาทสายตรงของตระกูลหนานกง ความเร็วของเขาน่าใจริงๆ
“ติง…” กระบี่ของหนานกงชิงแทงใส่จ้านอู๋มิ่งอย่างรุนแรง จ้านอู๋มิ่งไม่สามารถที่จะหลบได้ทัน โชคดีที่เขาบิดตัวเล็กน้อย กระบี่ของหนานกงชิงก็แทงใส่เกล็ดบนเกราะของเทพเ้า
“ตูมมม…” หนึ่งกระบี่ของหนานกงชิงไม่สามารถแทงทะลุจ้านอู๋มิ่ง หนึ่งหมัดของจ้านอู๋มิ่งกลับชกจนศีรษะแตกละเอียดแล้ว
ศพของหนานกงชิงที่ถูกชกจนลอยกระเด็นไปชนเข้ากับศิษย์คนอื่นๆ ของตระกูลหนานกงอีกหลายคนที่ทะยานติดตามมาอย่างใกล้ชิด จ้านอู๋มิ่งได้พุ่งเข้าไปในค่ายตระกูลหนานกงแล้ว
ท่าร่างของศิษย์ตระกูลหนานกงล้วนรวดเร็วยิ่ง แต่ว่านอกจากความเร็วของอานุภาพมหาวาตะฟ้าที่มีเฉพาะในศิษย์ทายาทสายตรงแล้วนั้น ความเร็วของคนอื่นๆ เร็วกว่าศิษย์สำนักนิกายอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เร็วไปกว่าจ้านอู๋มิ่งที่หลอมรวมเข้ากับธาตุวายุแล้ว และแล้ว การสังหารหมู่อันน่าใจึงได้กำเนิดขึ้นบนเกาะนิรนามแห่งนี้แล้ว
การเข่นฆ่าของจ้านอู๋มิ่งพุ่งเป้าไปที่ศิษย์ตระกูลหนานกงทุกคน เขาเหมือนที่บดเนื้อในร่างมนุษย์ผู้หนึ่ง ถลันร่างเข้าไปในแนวนอน กลายเป็ฉากโศกนาฏกรรมที่นองเื
ศิษย์ตระกูลหนานกงหลายคนคิดวิ่งหนี พวกเขาประหวั่นพรั่นพรึงแล้ว หลังจากที่จ้านอู๋มิ่งฆ่าคนไปมากกว่ายี่สิบคน คนที่เหลือพากันอกสั่นขวัญแขวน หันหลังได้ก็วิ่งหนีทันที แต่ว่าศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานไม่ให้โอกาสพวกเขา ตู้เยว่ิขวางทางไปของคนที่เหลือไว้ พฤติกรรมของหนานกงชิง ทำให้ศิษย์ทั้งหมดของสำนักบริบาลเดรัจฉานโกรธเคือง
ถ้ามิใช่เพราะบนร่างกายจ้านอู๋มิ่งมีเกราะขวางกระบี่นั้นไว้ เวลานี้จ้านอู๋มิ่งคงได้ตายไปแล้ว พวกเขาเพิ่งจะรู้สึกยินดีจากการต่อสู้ชนะสิบราชันของศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องเล็กก็เกือบจะเสียชีวิตเพราะการลอบทำร้ายของตระกูลหนานกง คนทั้งหมดของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนบันดาลโทสะแล้ว
เช่นเดียวกับจ้านอู๋มิ่ง พวกเขาไม่ยอมละเว้นศิษย์คนใดคนหนึ่งของตระกูลหนานกง เวลานี้ พวกเขาไม่มีเวลาคิดว่าทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดข้อพิพาทของสำนักนิกายหรือไม่ จะทำให้โลกหล้าวุ่นวายหรือไม่
คนอื่นๆ ล้วนหลบไปจนไกลหมดแล้ว พวกเขาเกรงว่าจ้านอู๋มิ่งจะฆ่าคนจนบ้าคลั่งขึ้นมา เห็นคนก็สังหารทันที ไม่มีผู้ใดขัดขวางเขา ในเวลานี้จ้านอู๋มิ่งคล้ายดั่งมีพลังที่ไร้เทียมทาน นั่นคือฤทธิ์เดชอหังการของราชันทรราชชนิดหนึ่ง!
มีคนจำนวนมากที่เห็นว่าการกระทำของตระกูลหนานกงไร้ยางอายยิ่งนัก การต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่งและราชันวายุ หนานกงเฉิงเป็การต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ในเมื่อได้เลือกการต่อสู้ที่ยุติธรรมแล้ว ย่อมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เสียชีวิต การกระทำของตระกูลหนานกงช่างเลวร้ายเกินไปแล้ว ขณะที่จ้านอู๋มิ่งไร้การเตรียมตัวป้องกันใดๆ ก็ลอบโจมตีอย่างรุนแรง หรือว่าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้? ทุกคนเห็นการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งของจ้านอู๋มิ่งแล้ว บังเกิดความรู้สึกเห็นพ้องของคุณธรรมขึ้นมาชนิดหนึ่ง
เปลี่ยนเป็ตนเอง พวกเขาก็จะเป็เหมือนเช่นจ้านอู๋มิ่ง กล่าวถึงที่สุดแล้ว กระบี่นั้นของหนานกงชิงถึงตายได้เลยทีเดียว เพียงแต่จ้านอู๋มิ่งโชคยังดี สามารถต้านทานไว้ได้สำเร็จ
หกสิบสามชีวิตของตระกูลหนานกงถูกสังหารจนหมดสิ้น และสำนักบริบาลเดรัจฉานไม่มีผู้าเ็เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว จ้านอู๋มิ่งคนเดียวสังหารไปมากกว่าสี่สิบคน ความดุดันนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน บุคคลผู้นี้เป็คนประเภทราชันปีศาจอย่างแน่นอน
ชายชราเคราขาวในหอสมบัติจิติญญาเตือนว่านฉงโหลวด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างยิ่งว่า “ไอ้หนูคนนี้มิอาจเลินเล่อไปตอแยด้วยได้ ข้อพิพาททั้งหมดที่เกี่ยวกับเขา ตระกูลว่านเราต้องไม่เข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด!”
“หลานทราบแล้ว!” ว่านฉงโหลวพยักหน้าด้วยความเคารพ เขาเฝ้าดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในลานต่อสู้จากระยะไกล เขาเป็คนทำการค้าผู้หนึ่ง มีทักษะการพินิจพิจารณาคนมากที่สุด ถึงแม้ตอนแรกจะมีความคิดประเมินสำนักบริบาลเดรัจฉาน แต่ก็ไม่มีปัญหากับสำนักบริบาลเดรัจฉานแต่อย่างใด กล่าวถึงที่สุดหอสมบัติจิติญญาก็ทำการค้ากับสำนักบริบาลเดรัจฉานเช่นกัน มีข้อตกลงทางการค้ามากมายกับสำนัก
ท่ามกลางฝูงชน มีคนผู้หนึ่งจากไปอย่างเงียบๆ นั่นคือชายสวมชุดเกราะทองคำผู้นั้น หัวคิ้วของเขาขมวดแแ่ขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่าบนร่างจ้านอู๋มิ่งมีกลิ่นอายของน้องสามของเขา แต่ว่าพอได้ดูการแสดงตัวของจ้านอู๋มิ่ง เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถชนะอย่างแน่นอนอีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจากไป หากไม่มีความสามารถที่จะได้รับชัยชนะที่แน่นอน เขายังไม่อยากตอแยคนผู้นี้ แม้ว่าคนผู้นี้จะฆ่าน้องสามของเขาจริงๆ ก็ตาม เช่นนั้นก็จะต้องรอจนกระทั่งมีโอกาสที่เหมาะสมจึงสามารถแก้แค้น
ในใจทุกคนบนเกาะทราบว่านับจากนี้ แผ่นดินนี้จะไม่สงบสุขอีกต่อไป!
[1] สำนวนถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน