เล่มที่ 2 บทที่ 32
เฉินเทียนหยูอุ้มมู่หรงฉิงไปที่เรือนหยางเซิงโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใด หลังจากเข้าไปด้านในห้องก็เห็นว่ามีอ่างอาบน้ำวางอยู่ด้านหลังฉากไม้แกะสลัก พร้อมข้าวของเครื่องใช้สำหรับชำระล้างร่างกาย รวมถึงเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนซึ่งได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย
“น้องหญิงอาบน้ำ!” เฉินเทียนหยูทิ้งคำพูดไว้ จากนั้นก็มองตาปริบๆ อยู่ด้านข้างโดยไม่มีทีท่าว่าจะก้าวถอยออกไปแต่อย่างใด
ตามหลักของเหตุผล ถ้าเฉินเทียนหยูไม่โง่งมและเป็คนปกติ เขาเป็สามีของมู่หรงฉิง โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่จำเป็ต้องออกไปแต่อย่างใด หรือต่อให้เฉินเทียนหยูจะกลายเป็คนโง่งมและคลุ้มคลั่งในบางเวลา ถึงกระนั้นเขาก็เป็สามีของมู่หรงฉิงอยู่ดี ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์จะเป็อย่างไร ขณะที่มู่หรงฉิงอาบน้ำ เฉินเทียนหยูก็ไม่จำเป็ต้องหลบออกไป
อย่างไรก็ดีมู่หรงฉิงกลับรู้สึกไม่สบายใจ ชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าพลางมองนางพร้อมกะพริบตาปริบๆ จะให้นางอาบน้ำอย่างสงบทำเป็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ท่านพี่ออกไปรอด้านนอกประตูสักพัก ฉิงเอ๋อร์อาบน้ำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” มู่หรงฉิงพูดก่อนลอบถอนหายใจเล็กน้อย นางถอนหายใจเื่อะไร? จริงๆ แล้วนางเองก็ไม่รู้อย่างกระจ่างว่าสาเหตุคือเื่ใด แต่รู้สึกว่าชีวิตเช่นที่เป็อยู่ มันพรรณนาเป็คำพูดไม่ถูก
มู่หรงฉิงถอนหายใจไปอย่างนั้น แต่ฟากฝั่งเฉินเทียนหยูกลับไม่เชื่อฟังอีกต่อไป เขานั่งลงบนเก้าอี้และยืนยันว่าจะไม่ออกไป “ทำไมต้องออกไปด้วย? น้องหญิงอาบน้ำ ทำไมข้าต้องออกไปด้วย?”
ฮึ! ทำไมหรือ? คำถามนั้นทำให้มู่หรงฉิงไม่รู้จะพูดต่อไปอย่างไรดี ดวงตาโตของนางสบตากับเขาด้วยทีท่าไม่มีใครยอมใคร จังหวะนั้นเสียงเ็าของจ้าวจื่อซินก็ดังแทรกเข้ามา “ต่อให้เ้ายืนเปลือยต่อหน้าเขาในเวลานี้ เขาก็จะไม่ทำอะไรเ้าอย่างแน่นอน!”
จบคำพูดนั้นด้านนอกห้องก็ไม่มีเสียงอีกต่อไป แต่สีหน้าของมู่หรงฉิงผู้ซึ่งอยู่ในห้องถึงกับแปรเปลี่ยนไปสองสามหน หลังจากผิวหน้าของนางกลายเป็สีผิวปกติ เสียงจากด้านนอกห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ก่อนที่เ้าจะดัดจริต เ้าต้องมองดูด้วยคนที่อยู่ข้างหน้าเ้าคนนั้นนับว่าเป็ผู้ชายหรือไม่”
“ฮ่าๆ …”
นางแทบไม่อาจกลั้นหัวเราะไว้ได้ การหัวเราะของมู่หรงฉิงมีความหมายมากเกินไป จ้าวจื่อซินบอกว่าเฉินเทียนหยูในเวลานี้ไม่ใช่ผู้ชายอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
หลังจากหัวเราะ มู่หรงฉิงกลับเริ่มเสียใจ เพราะถึงอย่างไรเฉินเทียนหยูก็เป็สามีของนาง ครั้นได้ยินจ้าวจื่อซินกล่าวหาเฉินเทียนหยูว่าไม่ใช่ผู้ชาย นางควรจะหงุดหงิดและขุ่นเคืองถึงจะถูกใช่หรือไม่? เพราะอย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติสามีของนางไม่ใช่หรือ?
มู่หรงฉิงไม่ยอมให้ตัวเองหัวเราะเสียงดังอีกต่อไป นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เสียงของนางแฝงอารมณ์หงุดหงิดระคนขุ่นเคือง “บังอาจนัก! ถึงอย่างไรคุณชายรองก็เป็เ้านายของเ้า เ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
มู่หรงฉิงอยากจะให้คำพูดของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองแต่อีกใจนางก็อยากจะหัวเราะจริงๆ นั่นอาจเป็เพราะว่านางอยู่ในจวนเฉินใน่เวลาสองวันนี้อย่างอดทนอดกลั้น อาจเป็เพราะนางได้ยินจ้าวจื่อซินบอกว่าเฉินเทียนหยูไม่ใช่ผู้ชาย ซึ่งเป็การสร้างความสุขในหัวใจของนาง แม้ต้นเหตุในการสร้างความสุขในใจจะดูไร้เหตุผล ถึงกระนั้น นางก็มีความสุข เพราะอย่างน้อยผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นางคนนี้ ก็มีบางสิ่งที่ทำให้นางสบายใจใช่หรือไม่?
“เหอะ! ก็ได้ ผู้น้อยรู้ผิดแล้ว” เสียงของมู่หรงฉิงพยายามเก็บระงับความสุขไว้ให้มากที่สุด ต่างจากจ้าวจื่อซินผู้ซึ่งอยู่ด้านนอกประตูกลับไม่ได้เก็บซ่อนอารมณ์ที่ดีของเขาแม้แต่น้อย เสียงสดใสและมีความสุขของเขาถูกเปล่งออกมา ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกราวกับจ้าวจื่อซินกำลังสร้างภาพลวงตาว่าเขากำลังล้างแค้นส่วนตัวอย่างเปิดเผย
“จ้าวจื่อซินมีใครบอกว่าเ้าน่าเกลียดหรือไม่?” เฉินเทียนหยูนั่งรออยู่ที่เดิมพลางกะพริบตาปริบๆ ทางด้านมู่หรงฉิงก็นั่งลง เงยหน้าขึ้นโดยใช้ท่อนแขนและฝ่ามือรองศีรษะ ั์ตามองไปที่เพดานห้อง นางเอ่ยถามจ้าวจื่อซินผู้ซึ่งอยู่ด้านนอกประตูด้วยท่าทีสบายๆ
หลังจากเอ่ยถามและรอเป็เวลานาน ก็ไม่เห็นว่าจ้าวจื่อซินจะตอบกลับ มู่หรงฉิงคิดว่าจ้าวจื่อซินออกไปแล้ว นางจึงพูดพึมพำ “ชายเ็าดุจน้ำแข็งอะไรกัน? เขาเป็คนน่าเกลียดที่พูดมากต่างหากล่ะ”
มู่หรงฉิงสงสัยในความน่าเชื่อถือของคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์จริงๆ ฝ่ายนั้นบอกว่าจ้าวจื่อซินพูดน้อย เขาเป็คนนิ่งเงียบ แต่เท่าที่นางรู้คำพูดของจ้าวจื่อซินคนนี้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก
“น้องหญิงพูดถึงจ้าวจื่อซินในทางที่ไม่ดี”
เฉินเทียนหยูได้ยินเสียงพูดพึมพำของมู่หรงฉิง จึงยืนขึ้นทันที “น้องหญิงไม่สามารถพูดถึงจ้าวจื่อซินในทางที่ไม่ดี จ้าวจื่อซินเป็คนดี เขา...”
“เขาบอกว่าท่านพี่ไม่ใช่ผู้ชาย ท่านพี่ยังจะช่วยเขาอีกหรือ?” เฉินเทียนหยูดูไม่มีความสุข และสีหน้าของมู่หรงฉิงก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ท่านพี่คิดว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ หรือ?”
“เดิมทีข้าก็ไม่ใช่ผู้ชาย” ท่าทางของเฉินเทียนหยูมีแต่ความขุ่นเคืองอันชอบธรรม ราวกับว่ามู่หรงฉิงพูดพึมพำถึงเขาอย่างไรอย่างนั้น “จ้าวจื่อซินบอกแล้วว่า เป็ผู้ชายจะต้องพูดคำไหนคำนั้น เป็ผู้ชายจะต้องมีความรับผิดชอบ แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็จะไม่สามารถอยู่กับน้องหญิงได้ และไม่สามารถกินผลไม้ได้อีกด้วย และข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงเก็บความลับหรืออะไรมากมาย ดังนั้นข้าไม่ใช่ผู้ชาย”
ฟัง! ฟังสิ! น้ำเสียงของเขาออกจะภาคภูมิเป็อย่างมาก ทั้งยังกล้าที่จะยอมรับว่าตน ‘ไม่ใช่ผู้ชาย’ อย่างหนักแน่นคล้ายน่ายกย่องที่ตน ‘ไม่เที่ยวหอคณิกา’ อย่างไรอย่างนั้น?
ช้าก่อน... ทำไมรู้สึกว่าคำพูดนี้ดูผิดแปลกไป? ‘ไม่มีเรี่ยวแรงจะเก็บความลับหรืออะไรมากมาย’ หมายความว่าอย่างไรหรือ? เป็ไปได้หรือไม่ว่า... “ท่านพี่พูดอะไรกับจ้าวจื่อซินหรือ?”
“สิ่งที่เ้าบอกข้าเมื่อวาน ข้าบอกกับจ้าวจื่อซินไปหมดแล้ว” ครั้นพูดจบ ผิวหน้าของเฉินเทียนหยูก็แปรเปลี่ยนไป เขาดูมีความสุขเป็อย่างมาก และไม่รู้ว่าเขาเอาผลไม้สองลูกนั้นมาจากที่ไหน “น้องหญิงดูสิ จ้าวจื่อซินบอกว่า วันข้างหน้า ถ้าบอกสิ่งที่น้องหญิงพูดกับข้า ถ้าข้าบอกเขาทุกสิ่ง เขาสัญญาแล้วว่าจะให้ผลไม้เพิ่มอีกสองลูกทุกวัน สองลูกเชียวนะ”
“ฮ่าๆ ...” กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อวานนางใช้เฉินเทียนหยูรื้อแผนการของยวี้เอ๋อร์ จ้าวจื่อซินเ้าสารเลวนั่นก็ใช้กลอุบายให้เฉินเทียนหยูพูดออกมาจนหมดเปลือก
ยกโทษให้นางด้วย นางกำลังจะอาเจียนเป็เืแล้วจริงๆ นางอยากจะบีบลำคอของเฉินเทียนหยูด้วยมือของตัวเอง และต้องบีบคอเขาให้ตายเสียด้วย
“เหอะ เหอะ” มู่หรงฉิงขุ่นเคืองเหลือทน แต่อีกด้านเฉินเทียนหยูกลับกำลังกินผลไม้อย่างมีความสุข
ไม่ถือสา เขาก็แค่วายร้ายที่ชอบสร้างความรำคาญให้กับนาง เขาชอบกวนใจนาง เขาชอบทำให้นางอารมณ์เสีย ถ้านางอารมณ์เสียจริงๆ มันจะไม่สมปรารถนาจ้าวจื่อซิน เ้าคนเลวนั่นหรือ?
มู่หรงฉิงสวดมนต์ซ้ำๆ หลายหนกอปรกับการหายใจเข้าออกเพื่อสงบจิตสงบใจ นางถึงได้พูดกับเฉินเทียนหยูว่า “ท่านพี่ พวกเรามาเล่นซ่อนแอบกันเถอะ”
“ซ่อนแอบหรือ? ได้เลย! ได้เลย! ข้าชอบเล่นซ่อนแอบมากที่สุด!”
“นับเลขหนึ่งถึงหนึ่งร้อย ท่านพี่นับได้หรือไม่?” นางเลิกคิ้วมองเฉินเทียนหยูที่แสดงอาการดีใจ ตอนนี้มู่หรงฉิงไม่้าใช้วิธีประจบสอพลอเช่นนั้นจัดการกับเฉินเทียนหยู
คนกินเก่งแต่ไร้สมองคนนี้ครั้นพูดอะไรกับเขา เ้าตัวก็จะทำหน้าที่ถ่ายทอดอีกต่อด้วยการบอกจ้าวจื่อซินจนหมดเปลือก
“นับหนึ่งถึงหนึ่งร้อย ท่านพี่นับได้หรือไม่?”
“ได้ ได้ ข้าจะนับให้น้องหญิงฟัง หนึ่ง สอง สาม สี่...”
“หยุด! ท่านนับหนึ่งถึงหนึ่งพันได้หรือไม่?” ยังคงเลิกคิ้วแต่ใช้สองมือดันโต๊ะให้ตนเองลุกขึ้นยืน
“หือ? หนึ่งพันหรือ? ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินมาก่อนนะ” เฉินเทียนหยูมีสีหน้างงงวยแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่นับหนึ่งถึงหนึ่งหมื่นได้หรือไม่?”
“หนึ่งหมื่นคือเท่าไรหรือ?” คราวนี้เขาไม่แค่งงงวยแต่เขาถึงกับตะลึงแล้ว
“เอาล่ะ ท่านพี่นับหนึ่งถึงหนึ่งหมื่นเถอะ” นางเม้มปากพลางมองเฉินเทียนหยูด้วยสายตาราบเรียบ “ท่านพี่ย้ายฉากไม้แกะสลักนั่นมาวางขวางไว้ทางนี้ก่อน จากนั้นท่านพี่ก็ไปที่มุมกำแพง หันหน้าเข้าหากำแพง หลังจากท่านพี่นับหนึ่งถึงหนึ่งหมื่นแล้ว ท่านพี่ก็มาหาข้าอีกครั้ง ถ้าท่านพี่หาข้าเจอ ข้าจะทำขนมกรอบเทพีให้ท่านพี่ ขนมกรอบเทพีชนิดนี้ เป็ขนมที่ท่านแม่ของข้าได้ศึกษาเป็เวลาหลายเดือน ก่อนที่จะทำออกมาได้ เมื่อพูดถึงรสชาติและความหอมหวาน มันช่างอัศจรรย์จริงๆ รสชาติอันกลมกล่อม หอมหวานและกรุบกรอบ อร่อยเกินกว่าจะสามารถพรรณนาเป็คำพูดได้”
ในระหว่างที่มู่หรงฉิงยังคงเอ่ยสาธยาย น้ำลายของเฉินเทียนหยูก็ถึงกับไหลเยิ้มออกมา เมื่อเห็นสายตาของนางกวาดมอง เฉินเทียนหยูก็ทิ้งผลไม้ในมือและย้ายฉากไม้แกะสลักโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เด็กสาวมองดูผลไม้ที่แต่เดิมเคยเป็สมบัติอันล้ำค่า แต่คราวนี้กลับถูกโยนทิ้งอย่างง่ายดาย มู่หรงฉิงยกมุมปากขึ้น สีหน้าแฝงความเย้ยหยันอยู่หลายส่วน
จ้าวจื่อซินเ้ามีแผนการที่ดี ข้าก็มีแผนการรับมือด้วยเช่นกัน ้าเลี้ยงข้าเป็หุ่นเชิดเฉกเช่นเฉินเทียนหยูหรือ? แผนการเพื่อความปรารถนาของเ้า ช่างคิดผิดแล้วจริงๆ
หลังจากจัดวางฉากไม้แกะสลักอย่างเรียบร้อย เฉินเทียนหยูก็วิ่งไปที่มุมและเริ่มนับเลขอย่างเป็ธรรมชาติ มู่หรงฉิงเดินไปที่โต๊ะอย่างช้าๆ ก่อนที่จะวางเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้บนฉากไม้แกะสลัก จากนั้นนางก็ถอดเสื้อผ้าออกและเริ่มอาบน้ำ
“สามร้อยห้าสิบหก สามร้อยห้าสิบเจ็ด สามร้อยห้าสิบเก้า หกร้อยห้าสิบเก้า ...เอ๋ ข้านับถึงไหนแล้ว?” เฉินเทียนหยูงุนงง เขาพับนิ้วด้วยความสับสน พลางเอ่ยถามมู่หรงฉิงผู้ซึ่งกำลังเอนกายพิงอ่างอาบน้ำด้วยความเพลิดเพลิน “นับถึงสามร้อยแล้ว”
“โอ้! สามร้อย สามยี่สิบเอ็ด สามร้อยห้าสิบเอ็ด สามร้อยห้าสิบแปด ...เอ๋ ทำไมนับต่อไปไม่ได้แล้ว?”
“ท่านพี่นับไม่เชื่อมต่อกัน นับะโข้ามไปข้ามมา มา ท่านพี่นับตามข้าอีกครั้ง หนึ่ง สอง สาม...”
“หนึ่ง สอง สาม...”
เสียงนับเลขจากในห้องดังแว่วต่อเนื่องกันอีกระลอก ระหว่างนั้นยังได้ยินเสียงน้ำเบาๆ ชิงยวี่อยู่ในลานสนามหญ้ามองไปทางจ้าวจื่อซินที่ยืนอยู่ด้านข้างประตูด้วยสีหน้าครุ่นคิด แต่ในมือของเขากลับหยิบชิ้นเนื้อสดเล่นกับจุ๊กกรู๊ “จุ๊กกรู๊ฉลาดกว่าคุณชายรองเสียอีก เ้าน่าจะนับหนึ่งถึงหนึ่งพันได้ใช่หรือไม่?”
การเยินยอของชิงยวี่เปล่าประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด จุ๊กกรู๊เงยศีรษะอันหยิ่งผยองขึ้นมา แล้วกลอกตามองชิงยวี่ “น่าเบื่อ!”
“โธ่! เ้านายฟังมันพูด มันรู้จักคำว่า ‘น่าเบื่อ’ เสียด้วย”
“โง่เง่า!”
“โธ่! เ้ายังรู้จักคำว่า ‘โง่เง่า’ เสียด้วย” ชิงยวี่มีความสุขเป็อย่างมาก เดิมทีจุ๊กกรู๊พูดไม่ถึงสองประโยคในแต่ละวันทว่ามันกลับพูดคำใหม่ถึงสองคำ ด้วยความสุขใจ ความสนใจของเขาจึงหันเหไปที่จุ๊กกรู๊ และไม่ได้มองจ้าวจื่อซินที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าประตูคล้ายรูปปั้นหินอีกต่อไป
ด้วยเสียงสายลมพัด เสียงฝนตกพรำ เสียงอ่านหนังสือ เสียงที่เข้าหู ทั้งเื่ครอบครัว ทั้งเื่บ้านเมืองและสารพัดเื่ราวในใต้หล้า ทุกอย่างล้วนน่าวิตกทั้งนั้น
ฟังเฉินเทียนหยูในห้อง เรียนรู้ที่จะนับเลขอย่างไม่ท้อแท้ จ้าวจื่อซินที่ยืนนิ่งเฉยเป็รูปปั้นหินด้านนอกประตูพลอยยกมุมปากโค้งขึ้นซึ่งยากต่อการตรวจจับ อย่างไรก็ตาม ส่วนโค้งนั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินบทสนทนาจากภายในห้อง ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็เ็าอีกหน
“น้องหญิง ตอนนี้นับถึงหนึ่งพันแล้วใช่หรือไม่? หนึ่งร้อยถึงหนึ่งหมื่นต่างกันมากน้อยแค่ไหนหรือ?” นักเรียนที่ดีหันหน้าเข้าหากำแพงพร้อมพับนิ้วมือของตนเอง เรียนรู้อย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ฝ่ายมู่หรงฉิงอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าอย่างเนิบช้า จากนั้นเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะบิดผมยาว “เลขนี้ต่างกันมาก แม้ว่าท่านพี่จะยังนับไม่ถึงหนึ่งหมื่น แต่ท่าทีในการเรียนรู้ของท่านพี่นั้นดีมาก ไม่ช้าไม่นานหลังจากนี้ท่านพี่ก็จะสามารถนับถึงหนึ่งหมื่นได้แล้ว”
นางหยิบผ้ามาเช็ดผมยาว จากนั้นหวีผมพลางมองใบหน้าที่ยังไม่ได้ประทินโฉมของตนเองบนกระจก แม้ใบหน้าจะสดใสงดงามราวกับดอกพุดตานโดยไม่ต้องเสริมแต่งซึ่งเป็ความงดงามตามธรรมชาติ ผิวของนางเรียบเนียนละเอียดอ่อน ดวงตาทั้งสองข้างสดใสแวววาวดุจน้ำ คนในกระจกสวยงามจนแทบไม่มีใครเทียบเทียมได้ แต่ในดวงตาสดใสแวววาวกลับมีความหนาวเย็นที่แตกต่างจากความงดงามบนใบหน้า
เด็กสาวโน้มตัวเข้าไปใกล้กระจกสีทองแดง มองดูดวงตาคู่นี้อย่างระมัดระวัง ยังจำได้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว ดวงตาคู่นี้ยังเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและเปี่ยมไปด้วยความสุข ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันถึงเต็มไปด้วยความเฉยชา? และไม่รู้ว่าเมื่อไร ความเกลียดชังถึงได้ถูกซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นี้?
“น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นน้องหญิงจะยังทำขนมกรอบเทพีให้ข้ากินอยู่หรือไม่?” เมื่อเฉินเทียนหยูได้ยินคำชมเชย เขาก็หันกลับมาทันที ครั้นเห็นมู่หรงฉิงนั่งอย่างเหม่อลอยจึงเดินสองก้าวมาหยุดอยู่ด้านหลังของนาง “น้องหญิงทำขนมอร่อยมาก!”
ร่างของเฉินเทียนหยูปรากฏบนกระจกอยู่ด้านข้างใบหน้างดงามอันหายากของนาง ดูแล้วช่างเป็คู่สร้างคู่สมอย่างมาก แต่น่าเสียดาย…
์กลั่นแกล้งซึ่งมักจะไม่ปล่อยให้ผู้คนมีชีวิตที่สมปรารถนา
“น้องหญิงคิดอะไรอยู่หรือ?” หลังจากไม่ได้รับคำตอบของมู่หรงฉิงเป็เวลานาน เฉินเทียนหยูจึงรั้งมู่หรงฉิงให้หันหลังกลับมาด้วยความไม่พอใจ “น้องหญิงจะทำขนมกรอบเทพีให้ข้าหรือไม่?”
ดวงตาของเฉินเทียนหยูแวววาวสว่างไสวมากราวกับดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน เมื่อสามปีก่อนดวงตาคู่นี้น่าจะฉลาดและเอาแต่ใจตัวเองใช่หรือไม่? เพียงแต่ ณ เวลานี้ ในดวงตาของเขาเหลือเพียงความสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น คล้ายกับท้องฟ้าปราศจากฝุ่น มันใสสะอาดเสียจนนางมองดูแล้วก็กลัวว่าจะทำให้ความบริสุทธิ์นั้นแปดเปื้อนไปเพราะนาง!