งานเลี้ยงที่เรือนหลักนั้นยังไม่ได้เริ่ม ท่านลุงอวิ๋นและหลินลิ่วกำลังพูดถึงเื่จิปาถะทั่วไป ซานอีกำลังพลิกดูรายการอาหารทางการแพทย์ที่ติงเหว่ยรวบรวมเอาไว้ ส่วนกงจื้อิกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเตา ในอ้อมแขนของเขาก็กอดอันเกอเอ๋อร์ตัวอ้วนจ้ำม่ำเอาไว้ด้วย พ่อลูกสองคนนี้คนหนึ่งถือของเล่นเข้าไปแหย่ อีกคนหนึ่งกางมือเล็กๆ ของเขาและส่งเสียงอ้อแอ้ประท้วงอยู่ นานๆ จะได้เล่นสักทีรู้สึกมีความสุขมากจริงๆ
ท่านลุงอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองเป็ครั้งคราว เขามีความสุขจนใบหน้าของเขายิ้มออกมาอย่างเบิกบาน ต่อให้ในเวลานี้จะส่งเขาไปหาบรรพบุรุษสกุลกงจื้อเขาเองก็จะเดินยืดอกหลังตรงไปลงนรก
ติงเหว่ยที่เดินไปห้องครัวก็เรียกอวิ๋นอิ่ง นางยกหม้อตุ๋นออกไป แล้วทั้งสองคนก็เข้าไปในห้องด้วยกัน
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ต่างก็พากันยิ้มออกมาและวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ในมือลง ท่านลุงอวิ๋นเริ่มพูดหยอกเล่นก่อนใครๆ “ขอแสดงความยินดีกับเ้าบ้านสกุลติง ขอให้เงินทองไหลมาเทมา!”
“เงินทองไหลมาเทมา!” หลินลิ่วเองก็ยิ้มแล้วยกมือขึ้น
ซานอีเองก็พูดตะกุกตะกักออกมาหนึ่งประโยค “ขอให้ร่ำรวย” แต่น่าเสียดายที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่อวิ๋นอิ่งอยู่ตลอด และมองตามนางที่กำลังยุ่งอยู่ที่โต๊ะ แน่นอนว่าประโยคที่เขาพูดออกมาก็ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด
ท่านลุงอวิ๋นจ้องซานอีอย่างดุเดือดและสาปแช่งในใจว่าเ้าเด็กสารเลว ที่แท้เ้ากล้าเอาเปรียบลูกสาวของข้าอย่างนั้นหรือ พรุ่งนี้เขาจะทำให้รู้ว่าใครกันแน่คือผู้มีอำนาจที่แท้จริง
ติงเหว่ยถูกทุกคนหยอกล้อจนหน้าแดงไปหมด นางรีบคำนับและพูดว่า “ข้าต้องขอบคุณนายน้อยสำหรับทำเลร้านที่ดี ผู้ดูแลหลินเองก็ช่วยข้าไม่น้อยเช่นกัน แค่พูดว่าข้าจะเปิดร้านก็ทำให้ทุกคนต้องพากันยุ่งไปหมด วันนี้ข้าหาเงินมาได้นิดหน่อย ข้าก็เลยอยากเชิญทุกคนมาร่วมสนุกกันสักหน่อย ยังไงก็ตาม วันนี้รบกวนความเงียบสงบของนายน้อยขอนายน้อยโปรดอย่าถือสา”
กงจื้อิดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำลายของอันเกอเอ๋อร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็หันหน้าแล้วยิ้มบางๆ “เราเป็ครอบครัวเดียวกัน อย่าได้เกรงใจไปเลย อะไรก็ตามที่มอบให้กับเ้าล้วนเป็สิ่งที่เ้าสมควรจะได้รับ มาเริ่มงานเฉลิมฉลองกันเถอะ!”
เมื่อติงเหว่ยได้ยินเช่นนั้นก็รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อไปรับอันเกอเอ๋อร์แล้ววางเขาไว้บนเตียงเตา และหยิบของเล่นให้เขาสักชิ้น ปล่อยให้เขาฝึกขาด้วยตนเอง จากนั้นนางก็ช่วยพยุงกงจื้อิลงและให้เขาใช้ไม้ค้ำยันทั้งสองข้างเดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลงตรงตำแหน่งที่ตรงข้ามกับประตู
แม้ว่าการเดินด้วยไม้ค้ำเช่นนี้จะยังไม่เร็วเท่าการเดินเช่นเมื่อก่อน แต่ก็ยังดีกว่านอนบนเตียงเตาจนกลายเป็ก้อนหินตั้งเยอะ
ท่านลุงอวิ๋นแอบมองติงเหว่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ อย่าว่าแต่ร้านเล็กๆ สองร้านเลย ขอเพียงนางทำให้นายน้อยกลับมาเดินได้ใหม่อีกครั้งจริงๆ ต่อให้เป็ร้านค้าร้อยแห่งก็ยังถือว่าไม่เยอะไป!
กงจื้อินั่งลงและพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นทุกคนก็โค้งคำนับและนั่งลงทีละคน
แน่นอนว่าฝีมือการทำอาหารของติงเหว่ยไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส เหล้าโบราณก็เป็เหล้าที่ดีที่สุดที่จะหาซื้อได้จากในเมือง ดวงตาสีเข้มของกงจื้อิกวาดมองไปยังผู้ติดตามเหล่านี้ที่ติดตามเขาโดยไม่คำนึงถึงความเป็ความตาย เขาถือจอกเหล้าด้วยตนเอง แล้วค่อยๆ รินให้ทุกคนั้แ่ท่านลุงอวิ๋นจนถึงเฟิงจิ่ว
ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกและอยากจะยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพ แต่กงจื้อิกลับยกมือขึ้นเพื่อห้ามพวกเขาไว้
เขายกแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ติดตามข้ามา คงทำให้พวกเ้าลำบากไม่น้อย!”
ขอบตาของทุกคนต่างเป็สีแดงก่ำ แก้วเหล้าในมือก็สั่นไปมาไม่หยุด ท่านลุงอวิ๋นเป็คนแรกที่ลุกขึ้นมาและคุกเข่า “นายน้อย ท่านทำเกินไปแล้ว บ่าวเฒ่ามิอาจรับไว้ได้ สกุลอวิ๋นเป็ผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ต่อสกุลกงจื้อเท่านั้น การที่ได้ทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถเพื่อนายน้อยตราบจนชีวิตหาไม่ ถือเป็เกียรติยศของบ่าวเฒ่าอย่างข้า”
“นายน้อย ครอบครัวของข้าน้อยเสียชีวิตจากน้ำท่วม และข้าเองก็เร่ร่อนอยู่ข้างถนนั้แ่เด็ก เป็สกุลกงจื้อที่รับเลี้ยงข้า เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และให้เรียนทั้งศาสตร์และศิลป์ ข้าน้อยปฏิญาณตนั้แ่นั้นว่าจะซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับนายน้อย และข้าก็สาบานไว้ว่าข้ายอมสละชีวิตเพื่อเ้านายของข้า!” หลินลิ่วคำนับศีรษะลงกับพื้นจนมีเสียงดังกึกก้องออกมา เห็นได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลของเขา
ซานอีเองก็พยายามอดกลั้นน้ำตา “นายน้อย ล้วนเป็เพราะข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่สามารถที่จะถอนพิษของนายน้อยได้ ข้าน้อย…ฮือ!”
ถึงแม้เฟิงจิ่วและอวิ๋นอิ่งจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่ก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยเช่นกัน
ในห้องมีคนทั้งหมดเจ็ดคนและคุกเข่าที่พื้นอยู่ห้าคน ติงเหว่ยเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน หากนางจะคุกเข่าลงไปแต่นางก็ไม่ใช่ผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ของสกุลกงจื้อ แต่หากนางไม่คุกเข่าและนั่งอยู่แบบนี้ก็กลายเป็คนที่รับการคำนับคนนั้นไม่ใช่หรือ
พูดไปพูดมาติงเหว่ยเองก็เป็คนนอก และคนนอกอย่างนางก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่
“เอ่อ ข้าวยังมีอยู่ในห้องครัว ข้าจะไป...” ติงเหว่ยหาข้อแก้ตัวและอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ ผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ของนายน้อยพูดอะไรบางอย่างที่เป็ความลับขึ้นมาอีกครั้ง หากนางฟังเยอะคงไม่ดีสักเท่าไร
แต่น่าเสียดายที่กงจื้อิกลับยกมือขึ้นแล้วรินเหล้าหนึ่งแก้วให้นาง
“อยู่ต่อเถอะ ทุกคนล้วนไม่ใช่คนนอก ปีที่ผ่านมานี้เองก็ลำบากเ้าไม่น้อยเลย”
“เอ๋ นายน้อยทำเกินไปแล้ว!” ติงเหว่ยรู้สึกประหลาดใจจากการได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝัน นางรีบคำนับและกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว และในที่สุดนางก็ก้มศีรษะลงและมองไปที่แก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าไม่วางตาพร้อมยิ้มแหยๆ นางเป็แค่แม่ครัวและหมอนวดก็เท่านั้น เมื่อไรที่นางไม่ใช่คนนอกแล้ว
โชคดีที่นางไม่ได้กระอักกระอ่วนอยู่นาน กงจื้อิยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มก่อน จากนั้นท่านลุงอวิ๋นก็นำคนหนุ่มสาวคำนับไปกับพื้นอีกครั้งแล้วค่อยดื่มเหล้าเก่าแก่ลงไปจนหมดในอึกเดียว
ติงเหว่ยดื่มเหล้าไปแล้วครึ่งถ้วยที่ด้านนอก และตอนนี้นางก็เริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย หลังจากที่ดื่มไปอีกหนึ่งแก้วนางก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางลุกเป็ไฟ
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันระหว่างกินอาหารไปด้วย นางเองก็กินไปจนอิ่มกึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวลุกขึ้นไปเล่นเป็เพื่อนลูกชาย อันเกอเอ๋อร์ดีใจมากเมื่อเห็นท่านแม่ของเขา เขายกเท้าขึ้นไปมาเพื่อบรรเทาอาการเมาของท่านแม่
ติงเหว่ยหัวเราะคิกคักและจูบไปที่เท้าอ้วนๆ ของลูกชาย จากนั้นนางก็โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อดูลูกชายของนางเตะกระดิ่งลมเล็กๆ เล่น
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!” เสียงลมพัดกระดิ่งไพเราะและกังวาน แต่ติงเหว่ยฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนเพลงกล่อมเด็กอย่างไรอย่างนั้น นางเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอดทนจนกว่างานเลี้ยงจะจบลง แต่จะทำอย่างไรได้ โจวกงคงขาดคนเดินหมากรุกด้วยดังนั้นเขาจึงรีบเรียกนางไปทันที…
……
่ต้นฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม ถือเป็่เวลาที่อากาศอบอุ่นที่สุดของปี หิมะที่หนาทึบค่อยๆ มลายหายไปจากพื้น พืชพรรณต่างๆ ก็เริ่มฟื้นกลับมา ูเาที่อยู่ห่างไกลก็เริ่มถูกปกคลุมไปด้วยชั้นสีเขียวจางๆ หญ้าแห้งใต้ฝ่าเท้าค่อยๆ งอกขึ้นใหม่ แม่น้ำและลำธารไหลอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น นกกระจอกก็ส่งเสียงร้องและบินไปเหนือทุ่งนา
ชาวนากำลังยุ่งอยู่กับการเกลี่ยปุ๋ย ไถดินและทำสันเขา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพาะปลูกตลอดทั้งหนึ่งปี พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเป็พักๆ ในใจก็ภาวนาให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาล แล้วคาดหวังว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่นั่งอยู่ในพระตำหนักจะทรงพระเมตตาเก็บภาษีพืชผลให้น้อยลงและมีอาหารเก็บไว้ที่บ้านมากขึ้นสักหน่อย จะได้ไม่ต้องกังวลว่าคนแก่และเด็กจะหิวโหย
แม้แต่เหล่าฮูหยินในทุกครอบครัวก็พูดคุยกันเสียงดังขึ้นมาก ทั้งครอบครัวกินแต่โจ๊กมาตลอดทั้งฤดูหนาว เดี๋ยวในไม่ช้าผักป่าก็จะงอกขึ้นมาแล้ว ค่อยกินคู่กับหมั่นโถวที่ทำจากธัญพืชหลายชนิด หรือไม่ก็ลวกน้ำกินกับน้ำจิ้ม ก็จะสามารถทำให้อิ่มท้องได้เช่นกัน
ถนนบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างูเา มีรถม้าม่านสีเขียวคันเล็กๆ ส่งเสียงดังกุบกับกุบกับขับผ่านถนนลูกรังในทุ่งนาไป บางครั้งคนขับรถม้าก็จะพยักหน้าและทักทายชาวนาที่เขารู้จักกัน ส่วนชาวนาที่อยากรู้อยากเห็นก็จะถามเพื่อนบ้านที่กำลังคุยกับเขาว่า “ในรถม้าคันนั้นคือใครกันหรือ?”
ชาวนาที่ถูกถามหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพูดว่า “เ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ จวนสกุลอวิ๋นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้านเราไง สารถีเมื่อครู่ก็คือผู้ดูแลหลิน เขาเป็คนดีคนหนึ่ง เวลาที่เขาไปซื้อไก่ เป็ด และผักในหมู่บ้าน เขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับฮูหยินพวกนั้นเลย”
“โอ้ คนผู้นี้นี่เองผู้ดูแลหลิน ข้าได้ยินแม่ยายข้าพูดถึงเื่นี้ แต่หากเขาขับรถม้าด้วยตนเองเช่นนี้เกรงว่าในรถคงจะเป็ผู้าุโอวิ๋นแน่ๆ เขาเองก็เป็คนดี ครั้งก่อนข้ายังเห็นเขาคุยเล่นอยู่กับท่านผู้าุโอู่จางที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านอยู่เลย”
“ใช่ไหมล่ะ ครอบครัวนี้เป็คนโอบอ้อมอารี ท่านผู้ใหญ่บ้านเคยสั่งการลงมาเมื่อนานแล้วว่าอย่าก่อเื่หรือสร้างปัญหา อันที่จริงผู้ใหญ่บ้านคิดมากเกินไปแล้ว พวกเขาปฏิบัติต่อเราอย่างโอบอ้อมอารี พวกเราจะไปรังแกเขาได้ยังไงกัน”
“นั่นน่ะสิ”
ทั้งสองคนคุยกันไม่กี่ประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไป และรถม้าผ้าม่านสีเขียวคันเล็กๆ ก็ค่อยๆ ห่างไปไกล แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคาดเดาได้ถูกต้อง คนในรถม้าไม่ใช่ท่านลุงอวิ๋น แต่เป็ติงเหว่ยและกงจื้อิ...
……
ติงเหว่ยยกม่านขึ้นอย่างแ่เบา นางมองไปยังูเาที่อยู่ห่างไกลและผืนน้ำสีเขียว รู้สึกมีความสุขเป็อย่างมากที่ได้ออกมาสูดอากาศ และนางก็ยิ่งดีใจที่ได้เข้าเมืองไปดูร้านอาหารที่คอยกังวลมาเดือนกว่าแล้ว แต่เมื่อนางหันกลับไปมองกงจื้อิที่นั่งพิงเบาะอ่านหนังสืออยู่ นางก็แอบแลบลิ้นออกมาอีกครั้ง
“ูเาและป่าไม้ข้างนอกเขียวหมดแล้วใช่หรือไม่?” กงจื้อิเหลือบตามองท่าทางของติงเหว่ย รอยยิ้มฉายขึ้นในดวงตาของเขา ในขณะที่พูดเขาก็มองออกไปที่นอกหน้าต่าง
“เขียวแล้ว เขียวแล้ว!” ติงเหว่ยพูดตอบรับอย่างร่าเริง และเปิดม่านให้กว้างขึ้นอีกสักหน่อย สายลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาในรถม้า ทั้งคู่ก็รู้สึกสบายตัวเป็อย่างมาก
บริเวณทางแยกที่อยู่ไม่ไกลนัก ธงร้านอาหารของสกุลติงปลิวไปมาตามสายลม ติงเหว่ยมองอย่างมีความสุข จากนั้นก็กะพริบตาไปมาและบอกว่า “นายน้อย ท่านตื่นเช้าและกินไปนิดเดียว เหตุใดพวกเราไม่ไปซื้อซาลาเปาสักไม่กี่ลูกที่ด้านในร้าน แล้วกินรองท้องกันสักหน่อยไหม?”
กงจื้อิพยักหน้า “รีบไปรีบกลับ”
“ตกลง” ติงเหว่ยรีบหันกลับมาแล้วะโเรียกหลินลิ่วและเฟิงจิ่ว “ผู้จัดการหลิน เดี๋ยวหยุดที่หน้าร้านอาหารข้างหน้าสักครู่”
หลินลิ่วฉลาดเฉลียวและคาดเดาเอาไว้แล้วว่าติงเหว่ยจะอยากเข้าไปดู เขาชะลอความเร็วไว้แล้ว และเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ก็บังคับรถม้าไปจอดที่ริมถนนข้างร้านอาหารพอดี
ติงเหว่ยะโลงจากรถอย่างว่องไวและปิดประตู ราวกับนกน้อยที่บินเข้าไปในร้านอย่างมีความสุข
แม่นางหลี่ว์และพี่ใหญ่สกุลติงกำลังยุ่งอยู่กันที่ห้องโถง จู่ๆ นางก็เห็นลูกสาวเดินเขามา นางรู้สึกมีความสุขมากจนไม่สนใจลูกค้าและลากลูกสาวมาถามไม่หยุด
“เ้ากลับมาได้ยังไง? อันเกอเอ๋อร์สบายดีไหม ทำไมไม่อุ้มเขามาด้วยล่ะ?”
ติงเหว่ยกวาดตามองดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยสองสามคนในร้าน แล้วนางก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจและพูดว่า “ข้ากำลังเดินทางไปรอบๆ กับเ้าบ้าน และบังเอิญผ่านมาทางนี้ก็เลยเข้ามาซื้อซาลาเปาร้อนๆ เอาไปรองท้องสักหน่อย”
“พี่ใหญ่รีบไปดูในครัวเร็วเข้า มีของกินอะไรอร่อยๆ ก็เอาให้น้องสาวเ้าสักหน่อย”
แม่นางหลี่ว์ส่งลูกชายที่กำลังยิ้มแหยๆ ของนางไปจัดการ จากนั้นก็พูดกระซิบถามว่า “เข้าเมืองแล้วแวะไปที่ร้านค้าได้หรือไม่? ข้าได้ยินจากพี่รองมาว่า กิจการไปได้ดีไม่เลว เ้าไม่ต้องไปดูบ่อยๆ ใช้ให้เฉิงต้าโหยวไปจัดการให้ก็พอแล้ว ระวังจะถูกเขาปิดบังเอาได้”
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ สมาชิกทั้งสี่คนของสกุลเฉิงลงนามในสื่อชี่ [1] แล้ว อีกอย่างข้าเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลา วันนี้เข้าเมืองร้านค้านั้นก็เป็ทางผ่านอยู่แล้วเดี๋ยวจะแวะเข้าไปดูสักหน่อย” พอพูดจบนางก็พูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อยว่า “ตอนนี้ถึงแม้ว่าอากาศจะอบอุ่นขึ้นแล้ว แต่อันเกอเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ ข้าเลยไม่กล้าอุ้มออกมา เ้าเด็กคนนี้กินได้ดื่มได้ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ตอนนี้นั่งเป็แล้ว เดี๋ยวรอให้ผ่านไปอีกสักพักข้าค่อยอุ้มเขากลับไปเดินเล่นที่บ้านสักหน่อย”
แม่นางหลี่ว์พยักหน้าอย่างมีความสุข และบังเอิญเห็นพี่ใหญ่สกุลติงและแม่นางหลิวถือตะกร้าใบเล็กที่มีซาลาเปาร้อนๆ อยู่ข้างในเต็มไปหมด นางจึงรีบเข้าไปรับมาและพูดเร่งว่า “ปล่อยให้เ้าบ้านรอนานจะไม่ดีเอาได้ เ้ารีบกลับไปเถอะ อย่างไรก็บ้านใกล้กัน ถ้าที่บ้านมีเื่อะไรข้าจะให้คนไปส่งข่าวให้เ้าเอง”
ติงเหว่ยกล่าวทักทายแม่นางหลิว แล้วก็ถือตะกร้ากลับไปที่รถม้า
แม่นางหลิวเป็ผู้สืบทอดฝีมือที่แท้จริงของติงเหว่ย ในหนึ่งปีที่ผ่านมานางอยู่ในร้านเกือบทุกวัน ทำให้ฝีมือของนางก็ดีขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยปริยาย ซาลาเปาสิบลูกใหญ่ๆ แบ่งให้หลินลิ่วและเฟิงจิ่วคนละสามลูก และติงเหว่ยเก็บไว้สี่ลูก รอจนเข้ามาในรถแล้วนางก็รีบใช้ผ้าห่อซาลาเปาหนึ่งลูกส่งให้แก่กงจื้อิ จากนั้นก็ค่อยใส่เข้าไปในปากของตนเอง
ผิวแป้งซาลาเปาที่นุ่มลื่น ไส้ที่มีกลิ่นหอมของเนื้อ เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่งเนื้อััทั้งมันและอุ่น เป็อาหารรองท้องที่ดีจริงๆ
กงจื้อิเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามกินอย่างมีความสุข ถึงขนาดที่ว่าส่ายหัวไปมาเล็กน้อยราวกับว่านางได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น เขารู้สึกว่ามันดูน่าขบขันเล็กน้อย และเขาก็กัดซาลาเปาในมือเข้าไปคำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
-----------------------------------------
[1] สื่อชี่ 死契 หมายถึง “สัญญาที่ผูกพันตลอดชีวิต” เป็แิของกฎหมายและวัฒนธรรมในสมัยโบราณ โดยหมายถึงสัญญาระหว่างคนสองคน เมื่อพวกเขาตกลงทำการแลกเปลี่ยนในธุรกรรมที่เฉพาะเจาะจงเอาไว้ ในสัญญานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็สัญญาว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนหรือผิดสัญญา พวกเขาจะต้องรับผลที่ตามมาอย่างร้ายแรง รวมถึงการเสียชีวิตด้วย มีจุดประสงค์หลักเพื่อใช้รับรองความเป็ธรรมและความน่าเชื่อถือ ทั้งยังช่วยเพิ่มภาระผูกพันอันแข็งแกร่งให้กับสัญญาดังกล่าวด้วย