ในสายตาของหลินฟู่อินเองก็เห็นว่าเจียงฮูหยินผู้นี้เป็คนง่ายๆ ในเมื่อผู้ขายลดราคาให้เองเช่นนี้แล้ว แม้มันจะเป็เพียงสิบตำลึงเงินและยังสูงกว่าราคาที่นางอยากได้ แต่นางก็ตัดสินใจซื้อ
หลินฟู่อินไม่ใช่ทั้งคนโลภหรือคนขี้งก นางเพียงรู้ว่าอะไรดีไม่ดี และในเมื่อสายตาของเจียงฮูหยินดูซื่อตรงเช่นนี้แล้ว นางก็มิใช่คนเ้าเล่ห์แน่
“ถ้าอย่างนั้นข้าซื้อ เรือนหนึ่งและร้านสอง” หลินฟู่อินคลี่ยิ้มแล้วกล่าวปิดการขาย
แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่นาง้าจริงๆ ไม่ใช่ตัวเรือน แต่เป็ร้านที่มีที่นอนทั้งสองร้านนั้นต่างหาก
เจียงฮูหยินคาดไม่ถึงว่าหลินฟู่อินจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ แม้นางจะไม่เคยคิดลดราคาให้เลย และนางเองก็ยังทำกิจการมานาน แต่นางไม่เคยพบการเจรจามูลค่าหลายร้อยตำลึงเงินที่ลื่นไหลถึงเพียงนี้มาก่อน
คนกลางเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะราบรื่นได้ขนาดนี้ เขาคิดไว้ว่าต่อให้แม่นางหลินผู้นี้ตั้งใจจะซื้อจริงๆ ก็ตาม แต่ก็คงต้องเจรจาทีล่อทีขายกันหลายวันกว่าจะสรุปผลได้แน่นอน…
แต่เมื่อเห็นหลินฟู่อินจบการซื้อขายได้เร็วเช่นนี้ เขาจึงประทับใจในตัวนางมาก
เจียงฮูหยินมองหลินฟู่อินอย่างประทับใจ หลี่ฮูหยินเองเมื่อเห็นว่าปิดการเจรจาแล้ว จึงดีใจกับความสำเร็จของหลินฟู่อิน
นายหน้าสกุลเมิ่งถามหลินฟู่อินต่อว่านางจะพร้อมจ่ายได้เมื่อไร เพราะเรือสินค้าของเขาจะออกในอีกสี่ถึงห้าวัน การโอนย้ายกรรมสิทธิ์และเอกสารต่างๆ จึงควรจัดการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
เจียงฮูหยินบอกหลินฟู่อินว่านางพกโฉนดมาด้วย เพราะนางอยากจะรีบกลับบ้านเกิด
เห็นเช่นนี้ หลินฟู่อินจึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “โชคดีนักที่ข้านำตั๋วแลกเงินมาด้วย”
เจียงฮูหยินได้ยินก็ดีใจมาก นี่เป็วิธีการทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา นางจึงชอบใจหลินฟู่อินมากขึ้นไปอีก
หลี่ฮูหยินมองหลินฟู่อินอย่างประหลาดใจ เพราะนางนึกว่าหลินฟู่อินจะมีเงินไม่พอ จนนางพร้อมที่จะออกปากให้ยืมได้ทุกเมื่อ แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะมีเงินพออยู่แล้ว…
หลินฟู่อินมีตั๋วแลกเงินอยู่ในกระเป๋าแล้วสี่ร้อยตำลึงเงิน และวันนี้ได้มาอีกสองร้อยจากพิธีสรงสามที่ตระกูลวัง เป็หกร้อยตำลึงเงินพอดี
และยังมีค่าคนกลางอีกหกตำลึงเงิน แคว้นต้าเว่ยเก็บค่าคนกลางเท่ากับในปัจจุบัน นั่นก็คือหนึ่งในร้อยส่วนของราคาซื้อขาย
นี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย แต่มันก็เป็เงินที่จำเป็ต้องจ่ายเพื่อซื้อบ้านหรือที่ดิน
ต่อไปคือขั้นตอนการจัดการเื่เอกสารสัญญา ซึ่งก็ต้องใช้อีกหกหรือเจ็ดตำลึง ในส่วนนี้ต้องให้คนกลางเป็คนจัดการให้ อันที่จริงประชาชนทั่วไปก็ทำเองได้ แต่ด้วยความที่ไม่รู้กระบวนการและไม่รู้ว่าต้องไปหาใครอย่างไร นี่เองที่ทำให้ขั้นตอนนี้ยากยิ่งกว่าผจญนรก และหากพวกขุนนางระดับล่างเรียกเก็บใต้โต๊ะด้วย ก็อาจต้องใช้เวลากว่าสิบวันถึงครึ่งเดือน
นี่คือผลดีของการมีคนกลางคอยจัดการให้
หลินฟู่อินนับแล้วยื่นเงินหกร้อยตำลึงเงินให้เจียงฮูหยิน
เจียงฮูหยินเองก็ยื่นโฉนดบ้านและที่ดินให้หลินฟู่อิน รับเงินหกร้อยตำลึงเงินไปแล้วนับอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
หลินฟู่อินเองก็ยื่นโฉนดให้หลี่ฮูหยิน หลี่ฮูหยินจึงตรวจทานให้อย่างจริงจัง ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าให้หลินฟู่อินพร้อมๆ กับตอนที่เจียงฮูหยินนับตั๋วแลกเงินเสร็จ จากนั้นนางจึงดึงออกมาสิบตำลึงเงินแล้วส่งคืนให้หลินฟู่อิน
หลินฟู่อินรับมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงส่งโฉนดบ้านและที่ดินที่หลี่ฮูหยินคืนมาให้นางให้นายหน้าเมิ่ง แล้วนำเงินห้าตำลึงเงินออกมาจากกระเป๋าเพื่อส่งให้เขา พร้อมกล่าวว่า “จากที่ท่านเมิ่งกล่าวมา การไปจัดการเื่ต่อจากนี้คงเป็เื่ลำบากสำหรับท่าน ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็ค่าเหนื่อย ค่าภาษีที่ต้องจ่ายให้ทางการ และที่เหลือให้เป็ค่าน้ำชาของท่านเ้าค่ะ”
หลินฟู่อินกล่าวอย่างสุภาพแล้วส่งเงินให้นายหน้าเมิ่งอย่างอารี นายหน้าเมิ่งดีใจมาก มิใช่เพียงการเจรจาไปได้ดี แต่เด็กสาวผู้นี้ยังมีน้ำใจนัก ตอนนี้เขาได้เงินเพิ่มมาหนึ่งตำลึงเงินจากค่ารับมือกับพวกขุนนางแล้ว!
เขาให้สัญญากับหลินฟู่อินไม่หยุดปากว่าเขาจะจัดการเื่ของนางให้เป็อย่างดีแน่ แล้วจึงกล่าวว่าในเมื่อกินอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้วเช่นนี้ เขาก็ขอตัวไปขึ้นรถม้าทันที หากเป็ตอนนี้น่าจะทัน่ครึ่งเช้า ขอให้หลินฟู่อินรออยู่ที่ร้านยาของหมอหลี่ แล้วเขาจะนำสัญญากลับมาให้ใน่เย็น
เจียงฮูหยินเองก็ขอตัว นางกล่าวว่านางต้องรีบกลับไปยังเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเนื่องจากมีธุระอื่นที่ต้องจัดการ เมื่อส่งกุญแจบ้านและร้านให้หลินฟู่อินเรียบร้อยแล้ว นางจึงจากไปทันที
หลินฟู่อินและหลี่ฮูหยินออกไปส่งเจียงฮูหยินที่หน้าประตู
หลี่ฮูหยินมองพวงกุญแจทองแดงในมือหลินฟู่อิน แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เ้าช่างใจกล้าและเที่ยงตรงนัก เจียงฮูหยินถึงได้ยอมขายให้เ้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
หลินฟู่อินคลี่ยิ้ม ที่จริงแล้วนางเองก็ไม่คิดว่านางจะได้ทั้งบ้านและร้านมาเช่นกัน แต่ก็ถือว่าไปได้สวย
คิดย้อนกลับไปแล้ว หัวใจก็ยังเต้นไม่หยุด
“แต่การที่เ้าตัดสินใจซื้อทั้งบ้านและร้านโดยที่ยังไม่เคยไปดูที่เช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากนะ” หลี่ฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเชื่อในสายตาของฮูหยินเ้าค่ะ เพราะท่านอยู่ในเมืองมาหลายปี แต่ข้าไม่เคยเห็นอะไรเลย หากฮูหยินบอกว่าดี เช่นนั้นก็แปลว่ามันต้องดีแน่นอน” หลินฟู่อินกล่าวในสิ่งที่ตนคิดออกไป
หากมิใช่เพราะมีหลี่ฮูหยินคอยหนุนหลัง นางคงไม่กล้าทำตัวสบายๆ เช่นนี้แน่
และต่อให้หลี่ฮูหยินถูกหลอกมา แต่นายหน้าเมิ่งนั่นก็รู้จักกับหลี่ฮูหยิน หากตัวบ้านหรือร้านมีปัญหาอะไรขึ้นมา คนกลางก็คงติดต่อมาเองทันที ด้วยเหตุนี้หลินฟู่อินจึงสบายใจพอที่จะไม่ต้องไปดูบ้านก่อน
แต่หลี่ฮูหยินกลับมีท่าทีสั่นไหวกับคำพูดนี้อย่างชัดเจน จึงยิ้มกว้างให้หลินฟู่อิน “ขอบคุณในความเชื่อใจของเ้านะ ตอนนี้เราได้กุญแจมาแล้ว เราไปดูบ้านใหม่ของเ้ากันเถอะ!”
หลินฟู่อินตกลงทันที ที่จริงนางเองก็อดกลั้นความตื่นเต้นในอกไว้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
หลี่ฮูหยินสั่งการสาวใช้รอบๆ ไม่กี่คำ ก่อนจะออกไปดูบ้านใหม่ที่หลินฟู่อินซื้อมา
เมื่อหลินฟู่อินเปิดประตูเรือนออกแล้วเข้าไปเดินดูข้างใน ทั้งสองก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ฟู่อิน เ้าช่างโชคดีนัก เพราะหากเ้าไม่ซื้อไว้ ข้าก็คงซื้อไปแล้ว…” หลี่ฮูหยินกล่าว “ไม่แปลกใจเลยที่เจียงฮูหยินไม่อยากต่อรอง เรือนหลังนี้ได้รับการตกแต่งไว้อย่างดี พวกเครื่องใช้ต่างก็ยอดเยี่ยม น่าทึ่งทั้งข้าวของเครื่องใช้และเครื่องประดับเลย!”
หลินฟู่อินก็คิดเช่นเดียวกัน นางซื้อบ้านของเจียงฮูหยิน และทำเงินมาได้มหาศาล
ข้าวของเครื่องใช้ในเรือนนี้ต่างก็ทำจากไม้พะยูงเหลือง เมื่อถึงเวลาที่นาง ย่าหลี่และเด็กๆ มาอยู่ ทุกคนคงตะลึงไปกับความโอ่อ่านี้เป็แน่
นางหยีตายิ้มหวานกว่าเดิม ทั้งชั้นไม้เก่าแก่ตัวนี้ โต๊ะสามขาตัวนั้น หรือชั้นติดกำแพงต่างก็ประดับไว้ด้วยเครื่องกระเบื้องที่ทั้งละเอียดลออและหรูหรา
แม้จะมิใช่งานมีชื่อ แต่งานกระเบื้องก็มีราคาสูงมาก มันทั้งดูสะอาดตาชวนให้สดชื่น และดึงดูดสายตา
“ขอบคุณฮูหยินที่ช่วยให้ข้าได้ซื้อเรือนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เ้าค่ะ” มองดูรอบๆ เสร็จแล้ว หลินฟู่อินจึงกล่าวขอบคุณหลี่ฮูหยินอย่างจริงใจ
นางพอใจมาก และคิดว่านางโชคดีมากจริงๆ
หลี่ฮูหยินโบกมือแล้วกล่าว “นี่เป็โชคของเ้า บ้านหลังนี้เป็ของเ้าแล้ว” จากนั้นนางจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวต่อ “ข้อเสียคือการที่มีเตียงอยู่ในโถงหลัก และห้องอื่นว่างเปล่า เ้าไม่นอนในโถงหลักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงจำเป็ต้องซื้อเตียงใหม่อีก”
“ไม่เป็ปัญหาเ้าค่ะ ท้ายหมู่บ้านข้ามีต้นไม้ดีๆ อยู่ ขอให้ช่างไม้มีประสบการณ์ทำเตียงให้ได้ไม่ยาก” หลินฟู่อินคิดแล้วกล่าวออกมา
หลี่ฮูหยินนึกได้ว่านางมาจากหมู่บ้านหูลู่ที่ล้อมรอบไปด้วยป่าและเขา จึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวเสริม “หากไม่มีเวลา ก็ไปซื้อเตียงจากร้านช่างไม้ในเมืองเอาเสีย”
หลินฟู่อินยังไม่ได้คิดถึงเื่การอาศัยอยู่ในเมือง จึงหัวเราะออกมาแล้วกล่าว “ไปตอนนี้เลยก็คงยังไม่สาย”
เมื่อเห็นว่านางดูมีแผนแล้ว หลี่ฮูหยินจึงถามต่อ “อยากให้ข้าตามไปดูร้านทั้งสองด้วยหรือไม่?”