ดังนั้นแม้ว่าฮองเฮาจะโกรธเคือง และยามนี้นางก็แทบะเิความโกรธออกมาแล้ว แต่ ณ เวลานี้นางกลับระงับความโกรธของตนได้เป็อย่างดี
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้กล้าท้าทายอำนาจอันยิ่งใหญ่ของนาง ช่างน่าเหลืออดเหลือทนจริงๆ
แต่...ฮองเฮารู้สึกอยู่เสมอว่ามู่จื่อหลิงพยายามยั่วโมโหนางด้วยมีเจตนาแอบแฝง
ดังนั้น หากยามนี้นางโกรธ มู่จื่อหลิงจะไม่มีความสุขหรอกหรือ? นางภูมิใจในความอดทนและความสงบของนางมาโดยตลอด เหตุใดนางจึงถูกยั่วยุได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
กล่าวได้ว่า สิ่งที่ฮองเฮาคิดไว้คือความจริง อย่างไรก็ตามมู่จื่อหลิง้าทำให้นางโกรธจริงๆ และยังทำได้โดยสมบูรณ์อีกด้วย
แต่หากมีเปลวเพลิงแล้วระบายออกไม่ถูกที่ถูกเวลา ยิ่งเก็บมันไว้มากขึ้นเท่าใด ผลที่ตามมาก็จะยิ่ง...ควบคุมไม่ได้
การเยาะเย้ยที่เยือกเย็นและดุร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของฮองเฮา ก่อนที่มันก็หายวับไป ปล่อยให้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ภูมิใจไปก่อน ให้นางได้ใช้ลูกเล่นทุกอย่างที่ตนมี
นางยังจะต้องกลัวสิ่งใดอีก? อีกไม่นานนางก็จะสามารถจัดการยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ได้แล้ว เหตุใดในยามนี้ถึงต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้อีกเล่า?
เมื่อเห็นว่าฮองเฮายังคงหมกมุ่นอยู่กับความเพ้อฝันอันบ้าคลั่ง และไม่สามารถปลดปล่อยตนเองออกมาได้เป็เวลานาน มู่จื่อหลิง จึงรู้สึกขบขันอยู่ในใจ และอดไม่ได้ที่จะเตือนนางอีกครั้งว่า “เสด็จแม่เป็อะไรไปหรือ สิ่งที่หลิงเอ๋อร์พูด ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
สภาวะทางจิตใจของฮองเฮาสับสนไปมาก แต่มันก็จางหายไปในพริบตา หากไม่สังเกตให้ดี จะนึกว่านางยังสามารถนั่งอย่างสงบบนเก้าอี้ได้ในยามนี้ ทั้งยังรักษาความสง่างามและใจกว้างเอาไว้ได้ ยังคงท่าทีสง่างามและเอื้อเฟื้อตามปกติของนาง
นางค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นอย่างช้าๆ ใช้มือขวาจิ้มใบชาก่อนจะปิดฝาชา แล้วเปิดถ้วยก่อนยกขึ้นจิบอย่างสง่างาม [1] ราวกับความทุกข์นั้นได้หายไปพร้อมกับการจิบชาครั้งนี้
อาหารเย็นวันนี้เป็อาหารที่ฮองเฮาทรงจัดเตรียมไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาด ดังนั้นนางจึงไม่แตะต้องมันโดยธรรมชาติ นางทำเพียงดื่มชาเท่านั้น
สำหรับเื่ที่ฮองเฮาทรงดื่มเพียงชาโดยไม่เสวยสิ่งใดนั้น มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อมักจะเมินเฉย ทำเป็ไม่เหลียวแล
ด้วยรู้ว่าเป็งานเลี้ยงหงเหมิน เหตุใดยังต้องถามให้เกิดความรำคาญอีกเล่า?
อยู่ในตำแหน่งสูงส่งจนไม่เคยถูกดูิ่ แต่ในยามนี้กลับถูกทำให้เกรงกลัวได้เช่นนี้ ทั้งยังโดนดูถูกอย่างไร้ซึ่งความสุภาพ และยังเป็การไม่ให้เกียรติอย่างมากอีกด้วย แต่ฮองเฮาผู้สูงส่งผู้นี้กลับยังคงสงบนิ่ง นั่งตัวตรงและฟังอย่างตั้งใจ
มู่จื่อหลิงลอบชื่นชมฮองเฮาอยู่ภายในใจอีกครั้ง ช่างมี ‘ความอดทนที่น่าชื่นชม’
มู่จื่อหลิงยั่วยุต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า และฮองเฮาก็ดูเหมือนจะสามารถจัดการอารมณ์ของนางได้ในทันที นางไม่สนใจ เพียงยิ้มเบาๆ “เปิ่นกงควรเข้าใจอะไร?”
มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ลากยาวว่า “ผู้ที่กระทำความผิด...ย่อมมีชะตากรรมของตนเอง”
‘แปะ แปะ แปะ' ฮองเฮาวางถ้วยน้ำชาลงอย่างสบายๆ แล้วปรบมือจนมีเสียงดังขึ้นในห้องรับประทานอาหาร
“ผู้ที่กระทำความผิดย่อมมีชะตากรรมของตนเองหรือ? นั่นเป็คำพูดที่ดี!” ฮองเฮาดูมีอัธยาศัยดี แต่น้ำเสียงของนางช่างน่ากลัว
นางหยุดไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าการสอนครั้งล่าสุดของเปิ่นกงจะได้ผลจริงๆ ยามนี้หลิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่พูดจาไพเราะเท่านั้น แต่ยังพูดส่งต่อออกมาได้เป็ประโยคอีกด้วย"
ครั้งล่าสุดเท่านั้นหรือ? มู่จื่อหลิงยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “สิ่งนี้ไม่จำเป็ต้องอาศัยบารมีของเสด็จแม่!”
ฮองเฮาหรี่ตาลงเล็กน้อย อาการเยาะเย้ยค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ก่อนที่นางจะยกฝาชาขึ้น คลี่ใบชาในถ้วยชาอย่างสง่างามด้วยเล็บที่เรียวยาวของนาง
“เช่นนั้นหลิงเอ๋อร์ เ้าคิดว่า หากเปิ่นกงกระทำความผิด ์จะกล้าลงทัณฑ์หรือไม่” ฮองเฮาหลับตาโดยที่ยังคงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เสียงของนางสงบราวกับหุบเขาอันเงียบสงบ คงอยู่ยาวนาน ก่อนจะผ่านไปราวกับหมอกในสายลม
“เสด็จแม่ ท่านคือมารดาของแผ่นดิน และรักประชาชนดุจบุตรในอุทร เช่นนั้นท่านจะเป็ผู้ที่กระทำความผิดได้อย่างไร?” มู่จื่อหลิงกะพริบตาคู่งามที่ใสราวกับน้ำของนาง ใบหน้ายังคงไร้เดียงสา
หลังจากนั้น นางลูบคางของตนด้วยท่าทางครุ่นคิดอีกครั้ง “แต่หากเสด็จแม่เป็ผู้ที่กระทำความผิดจริง ์คงไม่กล้าลงทัณฑ์ท่าน! แต่...”
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้หูของฮองเฮาและพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “แต่ถึง์จะไม่กล้าลงทัณฑ์ แต่หลิงเอ๋อร์กล้าที่จะลงทัณฑ์”
ฮองเฮาทำท่าทางราวกับได้ฟังเื่ตลกที่ดีที่สุดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของนางเผยรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ ก่อนเยาะเย้ยออกมาว่า “คุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายทั้งยังหยิ่งผยอง!”
มู่จื่อหลิงยอมรับการประเมินเ่าั้ของฮองเฮาด้วยความเต็มใจ
มู่จื่อหลิงยังกระซิบข้างหูของฮองเฮาอีกว่า “อย่างนั้นหรือ เมื่อถึงยามที่หลิงเอ๋อร์ตอบแทนความเมตตา ท่านก็จะรู้เอง”
หลงเซี่ยวเจ๋อจ้องมองผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างว่างเปล่า
ผู้หญิงสองคนนี้กำลังทะเลาะกัน...ด้วยสีหน้าอบอุ่นและมีความสุขหรือ? ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างมีอารมณ์ขันกันเสียจริง!
หลงเซี่ยวเจ๋อส่ายหัวโดยไม่พูดสิ่งใด ผู้หญิงคือความไม่แน่นอน คนสมัยก่อนกล่าวไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ
ก่อนหน้านี้เพียงแวบเดียวยังหันปลายเข็มเข้าหากันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร [2] ในชั่วพริบตาต่อมาก็ค่อยๆ โน้มน้าวกันอย่างมีลำดับขั้นตอน เ้าสรรเสริญข้า ข้าสรรเสริญเ้ากันคนละคำ ไม่ ควรจะเรียกว่าต่างก่อาวาจาต่อกัน
แต่สิ่งที่พี่สะใภ้สามพูดใส่หูของฮองเฮาเมื่อครู่นี้ มันทำให้สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปทันที? หลงเซี่ยวเจ๋อหรี่ตาลง จ้องมองอย่างสงสัย
เมื่อได้ฟังคำของมู่จื่อหลิงพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า้าตอบแทนความเมตตาของนาง ฮองเฮาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นางรู้ว่าความเมตตานี้ไม่ใช่ความเมตตาอย่างแท้จริง และหากมีเพียงเื่ของตำหนักโซ่วอันในครั้งนั้น ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะแค้นเคืองนางถึงเพียงนี้ได้จริงหรือ
แต่หากไม่ใช่เพียงแค่่เวลานั้นเล่า? ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้รับรู้สิ่งใดมา? ดวงตาที่หรี่ลงของฮองเฮามีร่องรอยของความเยือกเย็น
คิ้วที่เรียวสวยของฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาอันแสนสง่างามและสูงส่งของนางมองตรงไปที่มู่จื่อหลิง แต่นางก็ละสายตาไปในทันที
เพียงเพราะว่า...
เพียงเพราะฮองเฮาไม่สามารถยืนหยัดได้จริงๆ...นางไม่สามารถทนต่อสายตาที่เฉยชา ที่ทั้งสงบและมีอำนาจของมู่จื่อหลิงได้
สมควรตาย! สักวันหนึ่ง ต้องควักดวงตาอันน่าสะอิดสะเอียนของยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ออกไปให้ได้ ประกายแสงชั่วร้ายแวบเข้ามาในดวงตาของฮองเฮา
แต่ยามนี้ต้องยอมให้โถที่แตกแล้วแตกอีกหรือ? เช่นนั้นนางจะกรุณาให้โอกาสมู่จื่อหลิง
ด้วยนางอยากรอดูว่าภายในใจของยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้มีความคิดหรือแผนการอะไรอยู่ จึงได้ทำเื่แผลงๆ เช่นนี้ได้
หลงเซี่ยวเจ๋อไม่เคยเข้าใจว่าดวงตาของมู่จื่อหลิงมีพลังอำนาจที่ไม่ธรรมดาได้อย่างไร
ฮองเฮาหลีกเลี่ยงการจ้องมองของมู่จื่อหลิงหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่ว่าในทุกครั้งเขาจะไม่สังเกตเห็น เขาเห็นมันทุกครั้ง
หากหลบเลี่ยงครั้งแรกยังนับว่าไม่ได้ตั้งใจได้ แต่ในครั้งที่สองและสามเล่า? อีกทั้งมันไม่ใช่แค่สองหรือสามครั้ง นางหลบเกือบตลอดเวลา
นอกจากนี้อำนาจของฮองเฮาถูกยั่วยุเช่นนี้ นางกลับยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างสง่างามและสงบ โดยไม่ขยับบั้นท้ายเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็เื่ที่น่าเหลือเชื่อมาก
ไม่เข้าใจเลย...ช่างน่าสงสัยจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้ สายตาที่อยากรู้อยากเห็นของหลงเซี่ยวเจ๋อจึงตกอยู่ที่ดวงตาคู่งามของมู่จื่อหลิง เขาจ้องมองอย่างแน่วแน่ ดวงตาของเขาเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิง
ในเวลาเพียงไม่นาน...มันจริง! มันมีเสน่ห์ที่รัดตรึงใจ
หลงเซี่ยวเจ๋อตัวสั่นทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว แอบอุทานในใจ ว่าดวงตาคู่งามของพี่สะใภ้สามช่างมหัศจรรย์จริงๆ!
ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็ไม่กล้าที่จะมองมัน แต่เขากลับรู้สึกว่ามองอย่างไรก็ไม่เพียงพอ จนเกือบจะถูกมันดึงดูดลงไป
ราวกับรู้สึกได้ถึงบางอย่าง มู่จื่อหลิงจ้องเขม็งไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อแวบหนึ่ง มีอะไรสกปรกบนใบหน้าของนางหรือ? ชายผู้นี้เอาแต่จ้องมองเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไร?
หลงเซี่ยวเจ๋อแตะที่จมูกของตนอย่างไม่พอใจ ก่อนยิ้มให้มู่จื่อหลิง มันเป็รอยยิ้มเจื่อนๆ เผยให้เห็นเขี้ยวขาวสองซี่ ปกปิดความอับอายของตน
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุก นางก็พึมพำในใจว่า สมองของเด็กโง่คนนี้มีปัญหาหรือเปล่า? จึงจ้องมองนางอย่างโง่เขลาครู่หนึ่งแล้วสักพักก็หัวเราะคิกคักออกมา
พระพักตร์ของฮองเฮาสงบนิ่ง น้ำเสียงของนางไม่อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้า แต่ก็ไม่ได้บูดบึ้งหรือโกรธเคือง กลับเต็มไปด้วยความสง่างามอย่างยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ “ฉีหวางเฟย นี่เป็เื่สำคัญที่เ้า้าจะบอกเปิ่นกงหรือ”
มู่จื่อหลิงย่อมไม่เกรงกลัวต่อท่าทีที่จู่ๆ ก็มีความเคร่งขรึมและสง่างามของฮองเฮา
ตรงกันข้าม...ยิ่งทำก็ยิ่งตื่นเต้น
มู่จื่อหลิงวางมือลงบนโต๊ะ เอนตัวเล็กน้อย เบือนหน้าไปด้านข้าง จ้องไปที่ดวงตาของฮองเฮาที่ฉายแสงประกายที่ดูซับซ้อนออกมาชั่วครู่
“ใช่” มู่จื่อหลิงมองฮองเฮาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของนางเป็ประกายด้วยแสงที่บ่งบอกถึงความเ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอก “หรือว่าฮองเฮาทรงรู้สึกว่าการที่หลิงเอ๋อร์มาเพื่อตอบแทนความเมตตาในการสอนสั่งของท่านมันไม่ใช่เื่สำคัญแต่อย่างใด?”
ฮองเฮาหันหน้าไปด้านข้างอย่างกะทันหัน หลีกเลี่ยงการจ้องมองโดยตรงของมู่จื่อหลิง ก่อนเหลือบไปที่มู่จื่อหลิงด้วยท่าทางที่ไม่พึงพอใจ “เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็หมายความตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้” มู่จื่อหลิงยืนตัวตรง แล้วเหลือบมองไปทางฮองเฮา แววตาของนางราวกับนางกำลังจ้องมองคนโง่เขลา
น่าเสียดายที่ฮองเฮาไม่เห็นท่าทางที่น่ารำคาญนี้ ไม่อย่างนั้น นางคงจะไม่มีวันสงบลงได้อีก
ที่จริงไม่ใช่ว่าใจของฮองเฮาหยุดทำงานไปแล้วในยามนี้ แต่เป็เพราะนางยังไม่เข้าใจถึงจุดสำคัญของปัญหาหรอก นางเพียงแค่มั่นใจเกินไป และความมั่นใจที่มากเกินไปมันได้กลายเป็ความอวดดี
แต่เมื่อสามารถดับความกระหายอยากของฮองเฮาได้เช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็แสดงความโล่งใจออกมา
ฮองเฮามองมู่จื่อหลิงอย่างเ็า “ไทเฮาทรงสอนเ้าเพียงเล็กน้อย แต่เ้ากลับไม่ยอมจบสิ้น ยังคงหาเื่ไม่หยุด”
“ไทเฮาหรือ? เื่นี้เกี่ยวอะไรกับไทเฮา? ดูเหมือนว่าเสด็จแม่จะยังไม่เข้าใจความหมายของหลิงเอ๋อร์!” มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็เศร้าใจ แต่ใบหน้ากลับดูเฉยชา มีร่องรอยของความเยือกเย็นอยู่บนกายของนาง
ฮองเฮาผู้นี้โง่จริงหรือกำลังเสแสร้งกันแน่ ยามนี้นางยัง้าทำตนให้บริสุทธิ์ อย่ามาร้องไห้ทีหลังก็แล้วกัน
ฮองเฮาเยาะเย้ยและโบกมืออย่างสบายๆ กล่าวโดยไม่สนใจว่า “มาคุยกันให้รู้เื่เถอะ”
สำหรับท่าทีที่เย่อหยิ่งของฮองเฮา มู่จื่อหลิงไม่ได้จริงจังกับมันเลย
“ได้ เช่นนั้นเรามากล่าวถึงมันไปทีละข้อเถิด” มู่จื่อหลิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วนั่งลงข้างๆ ฮองเฮา
จุดนี้คาดว่าคงต้องคุยกันยาวแล้ว!
ใน่เวลานี้ หลงเซี่ยวเจ๋อต้องออกไปด้านนอกเป็ระยะ เพื่อยืดกล้ามเนื้อและกระดูกของเขา
ทุกๆ จังหวะในการบอกเล่า มู่จื่อหลิงทำราวกับกำลังหากระดูกในไข่ [3] แล้วหยิบมันออกมาทีละชิ้น
ั้แ่เื่งานเลี้ยงในวังของฮองเฮาที่เดิมทีไม่มีอะไรจะพูด แต่กลับจงใจหาเื่ขึ้นมาพูดได้ กล่าวว่านางยั่วยุทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะตน ไปจนถึงเื่ที่ฮองเฮาแสร้งทำเป็คนดีต่อหน้าไทเฮา คอยสุมไฟให้กับแต่ละคนอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับสิ่งสำคัญเ่าั้ นางปล่อยมันไปจนสุดทาง แล้วจู่โจมฮองเฮาอย่างรุนแรง
ฮองเฮาแอบใกับการสังเกตของมู่จื่อหลิง หากมู่จื่อหลิง เป็หญิงสาวในวังหลังเช่นกัน นางจะเป็คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะแข็งแกร่งเพียงใด ในยามนี้ไม่ใช่ว่านางได้กลายเป็หนึ่งในคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตนแล้วหรือ
หลงเซี่ยวเจ๋อฟังสิ่งที่มู่จื่อหลิงพูด แม้แต่เื่เล็กน้อยก็ถูกหยิบออกมา
ทุกคำพูดล้วนให้ความรู้สึกว่ามันเป็เื่จริง หลงเซี่ยวเจ๋อ รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยในใจ ผู้หญิงเป็สิ่งที่ไม่ควรยั่วยุอย่างแท้จริง!
สำหรับเื่เ่าั้เป็สิ่งที่ยังไม่เพียงพอต่อการกล่าวถึง ฮองเฮาจึงดูถูกเหยียดหยามและมีแววของการเยาะเย้ยที่มุมปากของนาง “ในฐานะฉีหวางเฟย เ้ากลับมีนิสัยเช่นนี้ มันจะเป็การยากที่จะโน้มน้าวใจประชาชนในวันหน้า”
ฮองเฮาคาดไม่ถึงว่ามู่จื่อหลิงจะเลือกขนไก่แก่ที่เกาะติดกระดูก [4] ขึ้นมาในวันนี้ และมันก็ไร้สาระเกินกว่าที่จะนำมาพูดกับนางอย่างกล้าหาญ
สำหรับเื่เล็กน้อยเช่นนี้ ฮองเฮาไม่เพียงแต่เยาะเย้ยเท่านั้น แต่ยังเย้ยหยันอีกด้วย
นางคิดว่านางชอบที่จะได้รับฟังยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้มองหาปัญหา
มู่จื่อหลิงส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร
ฮองเฮาทรงตรัสว่านางใจแคบหรือ? จู้จี้จุกจิกกับทุกสิ่ง ดังนั้น นางจึงไม่คู่ควรกับสถานะของหวางเฟยหรือ?
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ใช้มือขวาจิ้มใบชาก่อนจะปิดฝาชา แล้วเปิดถ้วยก่อนยกขึ้นจิบอย่างสง่างาม เป็วัฒนธรรมการชงชาแบบหนึ่งในสมัยจีนโบราณ การชงชาแบบนี้เรียกว่า การชงชาแบบก้ายหว่าน โดยถ้วยชามีลักษณะเป็ถ้วยชาสามชิ้น ประกอบด้วย ถ้วยชา ฝาปิด และจานรอง สำหรับการชงชาแบบรวดเร็ว จะใส่ใบชาลงไป เติมน้ำร้อน รอสักพักก็สามารถยกดื่มได้เลย
[2] หันปลายเข็มเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร (针尖对麦芒) เป็วลี มีความหมายว่า ทั้งสองฝ่ายต่างมีอำนาจมาก จึงเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ใกล้เคียงกับสำนวนไทยที่ว่า ขิงก็รา ข่าก็แรง
[3] หากระดูกในไข่ (鸡蛋里挑骨头) เป็สำนวน มีความหมายว่า พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ เสมือนการหากระดูกในไข่ หายังไงก็ไม่มี
[4] ขนไก่แก่ที่เกาะติดกระดูก (陈年鸡毛栓骨子的事) เป็วลี มีความหมายว่า เื่เก่าหรือสิ่งที่ล้าสมัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้