“สหายน้อยมู่เฟิง เช่นนั้นเราคงจะไม่รบกวนเวลาของเ้าแล้ว หากมีเวลาว่างก็เชิญเ้าแวะเวียนไปที่ร้านว่านเป่าได้ตลอดเลยนะ ส่วนเื่จดหมายแนะนำ หากข้าเขียนเสร็จแล้วหลังจากนี้จะให้คนนำมาส่งให้เ้าในภายหลัง”
ผู้าุโเฉียนส่งยิ้มให้กับมู่เฟิงอย่างอ่อนโยน
“ท่านผู้าุโเฉียน เชิญเถิด”
มู่เฟิงเดินไปส่งผู้าุโเฉียนและเถ้าแก่หลี่ด้วยตัวเอง
หลังจากเด็กหนุ่มเดินกลับเข้ามาแล้ว มู่ไห่ก็ชำเลืองมองไปทางหวังปิน โจวอู่และหวังเยว่ด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ผู้นำตระกูลหวัง เื่ส่วนแบ่งกิจการทางการค้า เมื่อครู่ท่านว่าอย่างไรนะ?”
เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ใบหน้าของหวังปินพลันดูขมขื่นขึ้นมาทันที เดิมทีเขายังคิดว่าตัวเองนั้นถือไพ่เหนือกว่า จึงหวังจะใช้ประโยชน์จากเื่ที่หวังเยว่บุตรชายของเขากำลังจะเข้าร่วมกับทางวิหารสลักลายมากดดันตระกูลมู่ แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลมู่ตอกหน้ากลับมาด้วยไพ่ที่เหนือยิ่งกว่า
เวลานี้ความริษยากำลังกัดกินจิตใจ ทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานจนยากที่จะกล่าวออกมาได้
“ผู้นำตระกูลมู่กล่าวล้อเล่นแล้ว พวกท่านเป็คนทำลายตระกูลหวง ดังนั้นเื่กิจการทางการค้าของตระกูลหวงก็ควรให้พวกท่านเป็ผู้ตัดสินจึงจะถูก”
หวังปินกล่าวขึ้นอย่างขมขื่น ส่วนหวังเยว่และโจวอู่ต่างก็มีใบหน้าที่ดูทุกข์ระทมเป็อย่างยิ่ง
เวลานี้โจวอู่กำลังลอบด่าหวังเยว่อยู่ภายในใจ ครั้งนี้เพราะเขา้าจะผูกมิตรกับหวังเยว่ ทำให้เขากระทำตัวล่วงเกินต่อมู่เฟิงซึ่งเป็ยอดอัจฉริยะตัวจริงเข้า
หากในอนาคตมู่เฟิงเกิดสร้างฐานอำนาจภายในวิหารสลักลายขึ้นมาได้ ต่อไปเขาจะยังมีชีวิตที่ดีได้อีกหรือ?
“ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นตระกูลมู่ของข้าก็ไม่ขอเกรงใจแล้ว พวกข้าแปดส่วน พวกท่านสองส่วน แบบนี้เป็อย่างไร?”
มู่ไห่กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าที่ราวกับถูกบีบให้กินแมลงวันของอีกฝ่าย ภายในใจของเขาก็ยิ่งเปี่ยมล้นด้วยความสุข
ในเมื่อสถานการณ์กลายเป็เช่นนี้หวังปินจะยังสามารถกล่าวอะไรได้อีก สองส่วนก็คือสองส่วน พวกเขาจะทำอะไรได้
นับจากนี้ในเมืองอันหนานจะไม่มีสามตระกูลใหญ่อีกต่อไป หลังจากตระกูลมู่ได้รับกิจการทางการค้าส่วนใหญ่ของตระกูลหวงไปแล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็คงจะกลายเป็กองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอันหนาน
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไม่ขอรั้งอยู่ต่อแล้ว ขอตัวก่อน”
ตอนนี้หวังปินไม่้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อแม้เพียงหนึ่งเค่อ* ดังนั้นเขาจึงขอตัวลาอย่างรวดเร็ว
(*หนึ่งเค่อคือเวลาสิบห้านาที)
“ไม่ส่งนะ”
มู่ไห่สะบัดแขนเสื้อออกมาขณะกล่าว
“ช้าก่อน”
ทันใดนั้นเองเสียงของมู่เฟิงก็ดังขึ้น จากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินไปหยุดลงตรงหน้าของหวังเยว่ก่อนจะยกมือขึ้น หวังเยว่หวาดกลัวมากจึงรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้า
“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ข้าไม่ได้จะตีเ้าหรอก”
มือของมู่เฟิงบีบไปยังใบหน้าของหวังเยว่ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงกล่าวขึ้นอย่างหยอกล้อว่า “ข้าเพียงจะบอกเ้าว่า ชีวิตคนเราอย่าได้ประมาทเลินเล่อจนเกินไปนัก ต่อให้วันนี้เ้าประสบความสำเร็จ แต่วันพรุ่งข้าอาจจะกลายเป็าาก็ได้ หนทางชีวิตยังอีกยาวไกล คนที่หัวเราะเป็คนสุดท้ายคือผู้ชนะอย่างแท้จริง ใบหน้าเล็กๆ นี้ของเ้ามีความยืดหยุ่นดีนี่ ฮ่าๆ”
สีหน้าของหวังเยว่พลันเปลี่ยนเป็แดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงปล่อยให้มู่เฟิงหัวเราะเยาะต่อไป จากนั้นสองพ่อลูกและโจวอู่ก็ระเห็จออกจากจวนตระกูลมู่ไปอย่างอับจนหนทาง
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…”
เมื่อได้เห็นฉากนี้ สมาชิกในตระกูลมู่ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“จริงสิเสี่ยวเฟิง เ้าไม่มีความคิดที่จะเข้าไปยังวิหารสลักลายเพื่อฝึกฝนการสลักลายเส้นจริงหรือ?”
หลังตระกูลหวังจากไป มู่ไห่ก็เอ่ยถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“คุณชาย นั่นเป็โอกาสที่ดีนะขอรับ”
ลุงฝูกล่าวเสริม
มู่เฟิงส่ายหน้าก่อนจะเหม่อมองออกไปไกล และกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปยังสำนักศึกษาราชวงศ์ ที่แห่งนั้นยังมีคนรอข้าอยู่ขอรับ”
เมื่อนึกถึงคนผู้นั้น แววตาของมู่เฟิงก็ดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด
ในชีวิตนี้นางเป็คนที่เขาไม่อาจปล่อยวางได้
คนรักที่มีใจให้กันมาั้แ่เด็ก ต่างคนต่างก็ทำให้อีกฝ่ายได้รู้จักถึงความรู้สึกในยามที่มีรักแรกผลิบาน จนถึงตอนนี้นางก็มักจะคอยเป็ห่วงเป็ใยเขาอยู่เงียบๆ เสมอ
เขาอาจจะสามารถผิดต่อคนทั้งโลกได้ แต่เขาไม่อาจผิดต่อนางได้
“ไอหยา เอาละ ในเมื่อตัวเ้าเองก็มีความคิดของเ้า เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่โน้มน้าวเ้าแล้ว ทางตระกูลรองจะสนับสนุนการฝึกของเ้าอย่างเต็มที่ หากว่าเ้า้าสิ่งใด สามารถบอกออกมาได้ตามตรงเลยนะ”
มู่ไห่ถอนหายใจก่อนจะเลิกคิดมากในเื่นี้
หลังจากนั้นมู่เฟิงก็ออกจากโถงรับรอง เขามุ่งหน้าไปพบไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงเพื่อมอบเม็ดยาโลหิตให้กับท้องสองจำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็นำมันไปมอบให้กับเสี่ยวหลานอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากเสร็จธุระเด็กหนุ่มก็ทำการปิดด่านเพื่อฝึกฝนอีกครั้ง
เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนกระทั่งมาถึง่เวลาส่งท้ายปีแล้ว
ภายในห้องฝึก
มู่เฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิ หลังจากกลั่นเม็ดยาโลหิตขั้นสองให้กลายเป็พลังปราณได้แล้ว มวลคลื่นพลังลูกที่สามก็ควบแน่นขึ้นภายในจุดตันเถียนจื่อฝู่อย่างช้าๆ
มู่เฟิงลืมตาขึ้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา ในที่สุดวรยุทธ์ของเขาก็ก้าวขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่ขั้นสามแล้ว
ระดับจื่อฝู่ขั้นสามนี้อยู่ในขอบเขตของเทียนเว่ย โดยในสามขั้นแรกคือเทียนเว่ยระดับเล็ก ถัดจากสามขั้นแรกคือเทียนเว่ยระดับกลาง ส่วนอีกสามขั้นที่อยู่จุดสูงสุดคือเทียนเว่ยระดับสูง
ก่อนที่วรยุทธ์ของมู่เฟิงจะถูกทำลาย วรยุทธ์ของเขาคือวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ในขอบเขตของเทียนเว่ยระดับเล็ก และในตอนนี้วรยุทธ์ของเขาก็ได้ฟื้นคืนกลับมาขึ้นแล้ว ทั้งยังสูงขึ้นกว่าเดิมเสียด้วย ซึ่งมันยังส่งผลให้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
ข้างกายมู่เฟิงยังคงมีเ้าตัวเกียจคร้านขนาดใหญ่กำลังนอนขนาบอยู่ด้านข้าง ตอนนี้ร่างของมันมีความยาวมากกว่าเจ็ดเมตรแล้ว ซึ่งเ้าัขาวตัวนี้ยังคงคอยเกาะเกี่ยวรัดพันอยู่ข้างๆ มู่เฟิงไม่เคยห่าง
ในตอนนี้บนหัวของมันมีเขาสีเืขนาดเล็กงอกขึ้นมาแล้ว ทั่วทั้งตัวล้วนถูกปกไปคลุมด้วยเกล็ดสีขาวเท่าเล็บมือมันส่องประกายแวววาวราวกับหยก โดยสีของมันดูงดงามเป็อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเส้นโลหิตยาวเชื่อมต่อระหว่างหัวผ่านสันหลังไปยังปลายหางของมันอีกด้วย
หลังจากได้กลืนกินเม็ดยาโลหิตลงไปเป็จำนวนมาก ขนาดของเสี่ยวเทียนก็เติบโตขยายใหญ่ขึ้นมากเช่นนั้น ตอนนี้สามารถกล่าวได้ว่ามันเป็งูเหลือมขนาดใหญ่ตัวหนึ่งแล้ว
ขณะนี้เสี่ยวเทียนคืออสูรร้ายระดับจื่อฝู่ ความแข็งแกร่งของมันสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นสามถึงขั้นสี่เลยทีเดียว
“เสี่ยวเทียน ตื่นได้แล้ว ออกไปสูดอากาศกันเถอะ”
มู่เฟิงหัวเราะ
“ฟ่อ”
เสี่ยวเทียนเปิดดวงตาสีทองเข้มของมันขึ้นมาก่อนจะส่งเสียงเล็กน้อย จากนั้นร่างขนาดใหญ่ของมันก็ได้เลื้อยเข้าไปกอดรัดร่างของมู่เฟิงเอาไว้ หากมีผู้คนผ่านมาเห็นภาพนี้เข้าคงใไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นเสี่ยวเทียนก็เอาหัวของมันถูไถไปบนแก้มของมู่เฟิง ดวงตาของมันไม่มีร่องรอยของดุร้ายเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกรักใคร่และผูกพันเท่านั้น
ก่อนที่เสี่ยวเทียนจะลืมตาดูโลก ซีเยว่ได้ทำการใช้เืของมู่เฟิงสลักลายเส้นพันธสัญญานายบ่าวลงบนร่างของมัน ทำให้เสี่ยวเทียนกลายเป็สัตว์าของมู่เฟิงโดยสมบูรณ์
“คิกๆ เอาละ เ้ารีบหดตัวกลับไปได้แล้ว หากเ้าออกไปทั้งสภาพนี้ผู้คนคงได้ใกลัวกันพอดี”
มู่เฟิงลูบหัวของเสี่ยวเทียนพลางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นร่างของเสี่ยวเทียนก็หดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงความยาวแค่สามฟุตเท่านั้น จากนั้นมันก็มุดเข้าไปในอ้อมแขนของมู่เฟิงซึ่งเปรียบเสมือนรังอันแสนอบอุ่นของมันทันที
ส่วนมู่เฟิงก็พาเสี่ยวเทียนเดินออกไปข้างนอก ในเวลานี้พื้นที่ด้านนอกกำลังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวปุย ภายในลานบ้าน บนต้นไม้ใหญ่ รวมถึงพื้นหญ้าต่างก็ขาวโพลนราวกับถูกคลุมทับด้วยผ้านวมสีขาว
เกร็ดหิมะขนาดเล็กยังคงโปรยปรายลงมาไม่หยุด
เนื่องจากวันพรุ่งเป็วันปีใหม่ ดังนั้นทุกครัวเรือนภายในเมืองอันหนานจึงประดับประดาบ้านเรือนด้วยธงสีแดงเพื่อเป็การเฉลิมฉลอง
“คุณชาย”
ในขณะนั้นเอง เสียงของศิษย์ตระกูลมู่ผู้หนึ่งก็ดังขึ้น เขากำลังเดินเข้ามายังลานบ้านของมู่เฟิงพร้อมกับกล่องไม้ในมือ
“คุณชาย นี่คือกล่องพัสดุของท่าน มันถูกส่งมาจากสำนักศึกษาราชวงศ์ขอรับ”
เมื่อศิษย์ตระกูลมู่ผู้นั้นกล่าวจบ มู่เฟิงก็ชะงักไปทันที ถูกส่งมาจากสำนักศึกษาราชวงษ์ หรือนี่อาจจะเป็จดหมายจากว่านเอ๋อร์?
มู่เฟิงกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะรับของมา เขาเปิดกล่องไม้ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่าภายในมีขวดยาอยู่ในนั้น
ภายในขวดหยกสีขาวมียาอายุวัฒนะสีเขียวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือบรรจุอยู่ บนตัวยามีลายเส้นทั้งหมดหกขีด และยังส่งกลิ่นหอมแปลกประหลาดออกมา
“ยาครอบจักรวาลขั้นหก!”
หลังจากมู่เฟิงพินิจพิจารณามองดูเม็ดยานี้แล้ว ใบหน้าของเขาก็เผยถึงร่องรอยของความใออกมาทันที
ยาครอบจักรวาลขั้นหก ของสิ่งนี้มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านเหรียญตำลึงทองเสียอีก!
ผู้ใดเป็คนส่งมากัน?
นอกจากขวดหยกสีขาวแล้ว ด้านข้างยังมีจดหมายอยู่อีกหนึ่งฉบับ หลังจากมู่เฟิงได้เปิดอ่าน ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย
“เสี่ยวเฟิง
ของสิ่งนี้คือยาครอบจักรวาลขั้นหก มันสามารถช่วยรักษาเส้นลมปราณของเ้าได้ ตอนนี้เ้าเป็อย่างไรบ้างสบายดีหรือไม่? คิดถึงพี่หญิงคนนี้ของเ้าบ้างหรือไม่? เ้าเด็กโง่ ไม่รู้คิดที่จะเขียนจดหมายหาพี่หญิงคนนี้ของเ้าบ้างเลยหรืออย่างไร พี่หญิงจะรอคอยวันที่เ้ามายังสำนักศึกษาราชวงศ์ ว่านเอ๋อร์อยู่ที่นี่มีข้าคอยดูแลและปกป้องเป็อย่างดี เ้าไม่จำเป็ต้องกังวล
มู่หลิงเอ๋อร์”
ตัวอักษรเพียงไม่กี่คำสามารถถ่ายทอดความห่วงใยออกมาได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ จดหมายจากทางไกลหลายพันลี้ฉบับนี้ทำให้หัวใจของมู่เฟิงััได้ถึงความรักและความอบอุ่นอีกครั้ง
“พี่หญิง…”
มู่เฟิงถือจดหมายขณะก้มมองยาอายุวัฒนะในขวดหยก ดวงตาของเขามีน้ำสีใสเอ่อขึ้นมาเล็กน้อย
บนโลกใบนี้มีการเสียสละอยู่รูปแบบหนึ่งที่ไม่้าสิ่งใดตอบแทน และเป็ความรู้สึกจากใจที่จริงใจที่สุด พวกเราเรียกความสัมพันธ์นั้นว่าครอบครัว
ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะสามารถเสียสละให้กันได้ ทว่าก็มีเพียงแค่คนในครอบครัวเท่านั้นที่จะยอมเสียสละให้กันได้ขนาดนี้ และสิ่งที่เหนือกว่าความรักลึกซึ้งทั่วไปก็มีเพียงความรักของคนในครอบครัวเท่านั้นเช่นนั้น...