ฉินมู่เยว่สอดสายตามองเข้าไปในห้อง เห็นมู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังเกล้าผม โดยที่ฉู่ลี่นั่งยิ้มอยู่ด้านข้างนาง
เห็นภาพเบื้องหน้า ใจของฉินมู่เยว่แตกสลายลงในทันตา
มู่อวิ๋นจิ่นรู้ในใจว่าฉินมู่เยว่ยืนอยู่หน้าประตู หลังจากเกล้าผมแล้ว ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมายืนหน้าประตู
“โอ้โห คุณหนูฉินเดินทางมาได้อย่างไรกัน?”
น้ำเสียงสัพยอกทำให้ฉินมู่เยว่ไม่ค่อยพอใจ แต่นางต้องฝืนยิ้มออกมา ด้วยความอดทนอดกลั้น “มู่เยว่มาวันนี้ เพื่อขอโทษพี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นซึ่งหน้า”
“ขอโทษ? คุณหนูฉินทำสิ่งใดผิดกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปาก
ด้านฉู่ลี่เข้าไปจับมือมู่อวิ๋นจิ่นพากันเดินออกจากห้อง
ฉินมู่เยว่นำกล่องมายื่นให้เบื้องหน้ามู่อวิ๋นจิ่น “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น เมื่อวานนี้น้องทำไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดี บุ่มบ่ามทำพลาดไป หลังจากกลับไปพิจารณาตนเองแล้ว พี่ชายก็อบรมสอนสั่งน้องแล้ว หวังว่าพี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นจะยกโทษให้ด้วย”
มู่อวิ๋นจิ่นยืนพิงประตูฟังอยู่เงียบเชียบ ในใจยอมรับจิตใจของฉินมู่เยว่ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้าได้กับสถานการณ์ วันหน้านางจะทำเื่ใหญ่ได้
“ของขอโทษพี่รับไว้ น้องกลับไปได้แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือไปรับ และไม่อยากพูดคุยกับฉินมู่เยว่ให้มากความ
ฉินมู่เยว่ยิ้มจากแววตา พยักหน้ารับ “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นเป็คนใจกว้างเหลือเกิน อีกสองสามวันมู่เยว่ค่อยมาเยี่ยมใหม่แล้วกัน”
มู่อวิ๋นจิ่น “อืม” เป็คำตอบ
ฉินมู่เยว่เดินออกจากเรือนลี่เฉวียนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็โยนกล่องไว้ในห้อง แค่ดูเหมือนจะมีเสียงของเครื่องเคลือบแตก
“จื่อเซียงฝากจัดการให้เียบร้อยด้วย” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปบอก
จื่อเซียงพยักหน้ารับ แล้วรีบเรียกให้บ่าวใช้สองสามคนรีบเก็บกวาด
ไม่นานนัก จื่อเซียงยกอาหารเช้าเข้ามาในห้องมู่อวิ๋นจิ่น ทันทีที่ก้าวเข้ามาจื่อเซียงเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนู วันนี้ต้องเข้าวังอีกไหมเ้าคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าไปมา “ไม่ต้องไปแล้ว ที่เหลือรอแค่รอให้ถึงวันฝังร่างค่อยไป”
“เ้าค่ะ คุณหนูรีบทานอาหารเถอะ เมื่อเช้าคนของจวนอัครเสนาบดีมู่มารายงานว่า คุณหนูสี่และคนอื่นจะเดินทางหาเยี่ยมเ้าค่ะ” จื่อเซียงบอกกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินว่าคุณหนูสี่จะมา ถึงกับยกมือกุมขมับ วางตะเกียบในมือลง “วันนี้เป็วันอะไรกันเนี่ย ทำไมคนที่ไม่ชอบขี้หน้าถึงได้มาหาไม่หยุดไม่หย่อน”
จื่อเซียงยกมือขำคิกคัก “ถึงแม้คุณหนูสี่จะน่ารำคาญ แต่เดี๋ยวนี้นางเป็ลูกไก่ในกำมือของคุณหนู มีหรือที่นาจะกล้าสร้างเื่เ้าค่ะ”
“อืม เ้าพูดมาก็มีเหตุผล” มู่อวิ๋นจิ่นอมยิ้ม จับตะเกียบคีบอาหารเข้าปากต่อ
……
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ห้องด้านข้างที่อยู่ถัดจากห้องโถงใหญ่
“พี่สาว ฉินซูหนิงที่ร้ายกาจ วันนี้ใช้ให้คนมาที่จวนอัครเสนาบดีมู่ อธิบายกฏเข้าร่วมพิธีในงานพิธีฝังร่าง จากนั้นจะให้น้องเดินทางกลับไปอยู่จวนหรงต่อเลย พี่สาวคิดว่าจะทำยังไงดี……”
มู่หลิงจูสีหน้าเปลี่ยนด้วยความกังวลและหนักใจ มองไปทางมู่อวิ๋นจิ่นขอความช่วยเหลือ
มู่อวิ๋นจิ่นยกน้ำชาขึ้นจิบ “อย่างนั้นสิ่งที่เ้า้าคืออะไรกัน?”
“ขืนกลับไปก็เท่ากับลนหาที่ตาย แต่ว่าท่านอ๋องหรงยังไม่ได้เขียนหนังสือหย่าปลดข้ามา การเป็คนของท่านอ๋องหรงจึงยังคงอยู่” มู่หลิงจูมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความรู้สึกว่าชีวิตของนางพังไม่เป็ท่า
ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ กลับคิดหาทางออกไม่เจอ สุดท้ายต้องมาหามู่อวิ๋นจิ่นให้ช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าหากิญญาของท่านแม่ทราบเข้า จะผิดหวังในตัวนางมากน้อยเพียงใด
“ถ้าอย่างนั้นเ้าก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ พิธีฝังร่างของฉินไท่เฟย ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ต้องไปอยู่แล้ว เ้าไปหรือไม่นั้นไม่สลักสำคัญ ส่วนเื่กลับไปอยู่จวนหรง หากเ้ายังยืนกรานจะอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีมู่ นางก็ทำอะไรเ้าไม่ได้” มู่อวิ๋นจิ่นมองไป
มู่หลิงจูเอ่ยอย่างใตะลึง “ถ้าเป็อย่างนั้น หากพระชายาหรงป่าวประกาศว่าข้าไม่ยึดปฏิบัติตามธรรมเนียมจะจัดการยังไง?”
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะเยาะ “เ้าอ่านตำรามาก็นานหลายปี ความคิดความอ่านน่าจะดีกว่าข้าถึงจะถูก เหตุใดถึงถามปัญหาที่สิ้นคิดเช่นนี้?”
“เสียแรงที่ค่าประเมินเ้าสูงไป มาตอนนี้ดูแล้วไม่เอาไหนเลย”
“หมายความว่ายังไง?” มู่หลิงจูยังตั้งสติพิจารณาไม่ทัน
“พระชายาหรงเอาเ้าไปป่าวประกาศเื่ไม่กลับจวนหรง ทำไมเ้าถึงไม่คิดเปล่าประกาศคืนด้วยเล่า? อย่างไรเสียเื่นี้ใช้เงินทองก็สามารถทำได้แล้ว จวนอัครเสนาบดีมู่มีเงินทองมากโขอยู่นี่หน่า” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วมองอย่างใคร่รู้
มู่หลิงจูตกตะลึงอีกครั้ง พร้อมกับมีความสงสัยขึ้นมา “แต่วิธีการของซูหนิงช่างโเี้ นางให้คนมาบอก นั่นหมายถึงกำลังข่มขู่ข้า ข้ากลัวนางต้องมีแผนอื่นซ่อนไว้ด้วย”
“เช่นนั้นข้าช่วยเ้าไม่ได้แล้ว เ้าควรเพิ่มคนคุ้มกันหลายคนหน่อย” มู่อวิ๋นจิ่นนั่งไขว่ห้างตอบ เื่ที่นางต้องรับมือมากมายจนจัดการแทบไม่ทัน ย่อมไม่มีกะจิตกะใจยื่นมือไปยุ่งเื่มู่หลิงจูให้มากหรอก
ที่สำคัญมู่อวิ๋นจิ่นเป็คนเ้าคิดเ้าแค้น เื่ในอดีตที่มู่หลิงจูทำเอาไว้กับนาง นางจำขึ้นใจทุกเื่
“พี่สาว…” มู่หลิงจูทำหน้าทำตาน่าสงสารเห็นใจ ก่อนเอ่ยต่อไปว่า “อย่างนั้นวันฝังร่างในวันพรุ่งนี้ พี่เห็นว่าข้าควรไปหรือไม่?”
“เ้าต้องครุ่นคิดเอาเอง หากเ้าไม่อยากพบหน้าฉินซูหนิง ก็จงหลบอยู่ที่จวนเพื่อเตรียมตัวรับมือกับเื่ที่อาจเกิดไม่คาดฝันเอาไว้” มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากเผยยิ้ม
พอฟังดูแล้วเหมือนเป็การเยาะเย้ย สีหน้าของมู่หลิงจูถึงชักไป ก่อนลุกขึ้นทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น “หลิงจูขอตัวกลับไปคิดให้ละเอียดรอบคอบก่อน”
“ได้” มู่อวิ๋นจิ่นผายมือให้มู่หลิงจูเป็การสื่อว่าถอยกลับไปได้
……
เมื่อรับมือกับฉินมู่เยว่และมู่หลิงจูเป็ที่เรียบร้อย ก็ใกล้เข้าสู่ยามอาทิตย์อัสดง มู่อวิ๋นจิ่นเดินเล่นในสวนดอกไม้ พร้อมกับคิดแต่เื่โองการลับฉบับนั้น
วันพรุ่งนี้เป็วันฝังร่างฉินไท่เฟย องค์การลับนั้นจะปรากฏขึ้นมาหรือไม่ก็มิอาจทราบได้
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ถอนหายใจอยู่อย่างนั้น
“คุณหนูทำไมหลายวันมานี้เอาแต่นั่งถอนหายใจเ้าคะ?” จื่อเซียงยื่นถาดองุ่นให้
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นองุ่นทำให้ย้อนนึกถึงเื่ที่เกิดเมื่อวานนี้ พร้อมยิ้มน้อยๆ “ไม่มีอะไรมากหรอก มีเื่ไม่สบายใจนิดหน่อยแค่นั้นเอง”
“คุณหนูอย่าคิดมากไปเลย ทานองุ่นก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวองค์ชายก็กลับมาแล้วเ้าค่ะ” จื่อเซียงเอ่ย
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้นทันที “เขากลับมาแล้วจะเป็ยังไง?”
“ไม่มีอะไรหรอกเ้าค่ะ เห็นคุณหนูกับองค์ชายเข้ากันได้ดี จึงคิดว่าองค์ชายคงยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขให้เ้าค่ะ” จื่อเซียงกระหยิ่มยิ้มย่อง
มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือไปเขกหัวจื่อเซียง ขมุบขมิบปาก “ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
ก่อนที่อาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า มู่อวิ๋นจิ่นได้ชำระร่างกาย ทานองุ่นเป็อาหารเย็น แล้วค่อยเอนนอนบนเตียงอ่อนนุ่ม
ไม่นานนักก็ผลอยหลับสนิทไป
……
เช้าตรู่วันถัดมา จื่อเซียงมาเคาะประตูปลุกมู่อวิ๋นจิ่น ด้วยวันนี้ถึงวันฝังร่างฉินไท่เฟย ห้ามไปช้ากว่าเวลากำหนด
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นจากเตียง ล้างหน้าล้างตา เกล้าผมเปลี่ยนชุดก้าวออกจากห้อง เหลือบมองไปที่ห้องที่อยู่เยื้องกัน ฉู่ลี่ในชุดขาวเดินออกประตูเช่นกัน
พอนางเห็นฉู่ลี่ก็เบือนปาก
ในห้องอาหาร มู่อวิ๋นจิ่นตักโจ๊กถั่วแดงขึ้นทาน ส่วนฉู่ลี่หยิบเหนียนเกาขึ้นมาทานไม่กี่ชิ้น
มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือไปหยิบขนมเหนียนเกาขึ้นมาทาน และเอ่ยถามขึ้น “วันนี้พวกเราต้องไปสุสานฮ่องเต้ด้วยไหม?”
“ต้องไปด้วย” ฉู่ลี่ตอบ
“ทราบแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นรีบทานอาหารเช้าในเสร็จโดยเร็ว
เมื่อเข้าวังหลวง ตำหนักฉินไท่เฟยเต้มไปด้วยเสียงสะอื้น บรรดาสนมน้อยใหญ่ต่างฟูมฟายกันใหญ่ ส่วนฮ่องเต้ซีิสีพระพักตร์เต็มไปด้วยความเศร้าโศกอาดูร
ฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปในตำหนัก กวาดสายตาดูจำนวนคนส่วนใหญ่มาถึงกันหมดแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปรอบๆ เห็นสีหน้าแววตาองค์ชายสี่ฉู่เย่ที่เปลี่ยนไป
องค์ชายสามฉู่ชิงและฉู่เย่ยืนอยู่ด้วยกัน เอ่ยปากถามมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ “น้องหก น้องสะใภ้หก เ้าไปเดินเข้าไปร้องห่มร้องไห้หน่อยหรือ?”
มู่อวิ๋นจิ่นตอบเสียงต่ำ “พวกองค์ชายเป็ลูกเป็หลานยังไม่ร้องไห้ เหตุใดข้าต้องร้องด้วย?”
“ไม่เจอกันตั้งนาน พูดจาฟังแล้วไม่สบายหูเช่นเดิม” ั้แ่ฉู่ลี่รู้จักมู่อวิ๋นจิ่น ก็ไม่เคยพูดอย่างเกรงใจพวกเขา
ฉู่เย่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง พยักหน้าแทนคำทักทายให้ฉู่ลี่ จากนั้นส่งสายตาให้มู่อวิ๋นจิ่นอย่างมีความนัย
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นสายตาที่ส่งมา จึงรีบเม้มริมฝีปาก หันมองไปทางอื่นทันที
“ได้เวลาแล้ว ออกเดินทางไปที่สุสานฮ่องเต้” ขุนนางราชพิธีเอ่ยขึ้น
ทันใดนั้น เสียงร่ำไห้ก็ดังระงมขึ้นในตำหนัก
……
ระหว่างเส้นทางในที่สุสาน วังหลวงได้จัดเตรียมรถม้า ประจวบเหมาะกับที่มู่อวิ๋นจิ่น ฉู่ลี่ ฉู่ชิงและฉู่เย่นั่งไปด้วยกัน
รถม้าไม่ได้หรูหราแข็งแรงเหมือนรถม้าที่จวน เวลาที่เจอหลุมบ่อตามเส้นทาง มักจะโคลงเคลงไปมา มู่อวิ๋นจิ่นที่อาหารเช้ามาแน่นต้องอิงแอบไหล่ฉู่ลี่หลับตาลง
ฉู่ลี่ยกมือเข้าไปโอบนางเข้าอ้อมกอด ให้สบายพักผ่อนมากขึ้น
ฉู่ชิงอมยิ้มที่เห็นภาพนี้ต่อหน้า “เมื่อวานนี้คุณหนูฉินได้สร้างเื่ในตำหนักเสด็จแม่ เปิ่นหวงจื่อได้ฟังมาบ้าง แต่เห็นเ้าทั้งสองรักใคร่กันเช่นนี้ แสดงว่าเื่เมื่อวานไม่ได้ส่งผล”
“อืม” ฉู่ลี่พยักหน้าตอบเสียงเรียบ
ฉู่ชิงคุ้นชินกับนิสัยฉู่ลี่เช่นนี้มานานแล้ว จึงเอ่ยเพียงว่า “ดูเหมือนแม่ทัพฉินจะได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย เดิมทีเขาจะมานำขบวนไปที่สุสาน แต่ดันมาเปลี่ยนเป็รองแม่ทัพแทน ดูแล้วเขาอาจมีใจให้กันน้องสะใภ้หกเข้าจริงๆ”
“เื่นี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย?” มู่อวิ๋นจิ่นที่หลับตาอยู่เอ่ยถามขึ้น
ฉู่ชิงหัวเราะชอบใจ มองไปทางฉู่ลี่ “การตอบโต้ที่รวดเร็วเช่นนี้ แสดงว่าฉินมู่หนานไม่รู้เื่ที่จะเกิดขึ้นเมื่อวาน”
มู่อวิ๋นจิ่นมีวิธีมากมายที่จะสวนกลับให้ปากของฉู่ชิงปิดสนิท แต่ฉู่ลี่บีบไหล่นางเอาไว้ จึงทำเป็หูทวนลมไป
ทางด้านฉู่เย่ที่ไม่เอ่ยคำใดมาตลอดทาง ได้ฟังบทสนทนาตลอดทาง เอ่ยยิ้มๆ “พี่สามอธิบายผิดพลาดไปแล้ว อย่าเอ่ยถึงมันอีกเลย”
“อืม อย่างนั้นก็พอไว้แค่นี้แล้วกัน” ฉู่ชิงตอบ
ฉู่เย่มองไปที่ฉุ่ชิง ตมด้วยฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นตามลำดับ ก่อนจะดูทิวทัศน์ข้างทางนอกหน้าต่าง
ไม่นานนัก รถม้าก็หยุดลง
มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมองเห็นสุสานฮ่องเต้ที่เคยเรียนมา นางมองโลงศพที่บรรจุฉินไท่เฟยค่อยๆ หย่อนลงไปในหลุมที่ขุดไว้เป็อย่างดี
มู่อวิ๋นจิ่นย้อนหวนระลึกถึงครั้งแรกที่ย้อนเวลามายุคโบราณ ได้พบหน้าฉินไท่เฟยที่รักใคร่เอ็นดูนางอย่างมาก โดยนึกไม่ถึงว่าทั้งหมดเป็แผนที่ฉินไท่เฟยวางไว้
ถึงแม้นางสิ้นใจไปแล้ว กลับไม่นึกถึงความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน เลือกทิ้งโองการลับไว้เป็แผนการที่ใช้ปลิดชีพนางส่งท้าย
โองการลับ… คำนวณเวลาแล้ว น่าจะปรากฏแล้วสิท่า!