“เมื่อคืนวานบ่าวบอกคุณหนูแล้วว่าไม่ต้องคัด เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหว คุณหนูก็เพียรแต่ไม่ฟังคำ สุขภาพดีขึ้นไม่ทันไรก็แย่ลงอีกแล้ว ก่อนกลับเหล่าไท่จวินกำชับกับว่าอย่าให้คุณหนูต้องเหน็ดเหนื่อยอีก มิเช่นนั้นจะมาเอาเื่กับบ่าว คุณหนูก็เห็นว่าบ่าวตั้งใจปรนนิบัติดูแลขนาดไหน ดังนั้นเชื่อบ่าวเถิดนะเ้าคะ พักผ่อนให้มากๆ อย่าเหนื่อยเกินไป การรักษาสุขภาพให้ดีเป็สิ่งสำคัญที่สุด”
โม่อวี้หน้ามุ่ย ปากขมุบขมิบบ่นจู้จี้ยาวเหยียดเสียยิ่งกว่าแม่นมสวี่ โม่เสวี่ยถงเห็นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“สาวใช้ที่มีฝีปากเช่นเ้า จะให้คุณหนูเรียกว่ากระไรดี รีบยกน้ำล้างหน้าให้คุณหนูก่อน โจ๊กเสร็จเรียบร้อยพร้อมตั้งโต๊ะ จนป่านนี้คุณหนูยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย คงจะหิวแย่แล้ว” ม่านประตูถูกยกขึ้น ครานี้โม่หลันเดินเข้ามาพร้อมกับโจ๊กกลิ่นหอมฉุย หลังจากเข้ามาแล้วก็วางโจ๊กไว้บนโต๊ะอย่างพิถีพิถัน จัดชามและตะเกียบให้เรียบร้อย
“คุณหนูลุกขึ้นมาดื่มโจ๊กสักหน่อยเถิด นางจะได้ไม่ต้องบ่นว่าบ่าวไม่รู้ความอีก โจ๊กของวันนี้โม่หลันเคี่ยวเองกับมือเชียวนะเ้าคะ นางไม่ได้ลงครัวทำอาหารมานานแล้ว บ่าวยังนึกอยากกินโจ๊กฝีมือนางเลยเ้าค่ะ” โม่อวี้ประคองโม่เสวี่ยถงลงจากเตียง ปรนนิบัติล้างหน้าไปก็ชวนคุยหัวเราะไป ซ้ำยังทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่น “อา... หอมจริงๆ”
โจ๊กที่โม่หลันทำอร่อยเป็ที่สุด ยามที่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิง โม่หลันลงครัวทำอาหารอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นคนที่เอาใจใส่โม่เสวี่ยถงในจวนฉินมีไม่มาก อยากกินของดีหน่อยก็ต้องทำเอง เพื่อบำรุงฟื้นฟูร่างกายให้โม่เสวี่ยถง โม่หลันกับแม่นมสวี่จึงต้องหาซื้ออาหารสดใหม่จากด้านนอกมาลงครัวทำอาหารด้วยตนเอง
โจ๊กสีขาวนุ่มเนื้อเนียนละเอียดทำออกมาได้ดูน่ากินยิ่ง เมื่อวางคู่กับแตงกวาที่สดกรอบก็ยิ่งชวนให้น้ำลายสอ ยามนี้โม่เสวี่ยถงรู้สึกหิวแล้วจริงๆ ั้แ่เมื่อวานจนถึงบัดนี้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง กินถึงสองถ้วยพูนจึงหยุดวางตะเกียบลง หลังจากกลั้วปากเสร็จแล้ว ก็เอนกายพิงหมอนใบใหญ่ตบท้องอิ่มแปล้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนเรียกโม่หลันให้เข้ามาเก็บถ้วยชาม
“หลังจากท่านพ่อกลับมาแล้ว ไปหาท่านย่าหรือยัง”
“ได้ยินว่านายท่านเพิ่งมาคารวะเหล่าไท่ไท่ที่เรือนหลัง ราชโองการก็มาถึงพอดี ยามนี้คงยังไม่ทราบเื่คุณหนูใหญ่หรอกเ้าค่ะ” โม่หลันรู้ใจคุณหนูของตนเอง ช้อนตาขึ้นมอง ขบคิดชั่วครู่ก่อนยิ้มกล่าวออกมา
“น่าแปลก พี่หญิงใหญ่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลยหรือ” โม่เสวี่ยถงเลิกคิ้วขึ้น กะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ทางคุณหนูใหญ่ยามนี้ยังนิ่งอยู่เ้าค่ะ เรือนฝูฉิงก็ปิดประตูเงียบเชียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงโม่ซิ่วที่ออกมาครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าเมื่อคืนเพื่อช่วยคุณหนูใหญ่ไม่รู้ว่านางไปโดนอะไรมา ทั้งมือและเท้ามีาแเต็มไปหมด เพิ่งเดินออกมาจากห้องเมื่อเช้านี้เองเ้าค่ะ”
โม่ซิ่วเป็สาวใช้ที่มีความสามารถที่สุดคนหนึ่งที่รับใช้อยู่ข้างกายโม่เสวี่ยิ่ เมื่อก่อนมีโม่จิ่นอีกคน นับั้แ่โม่จิ่นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โม่ซิ่วจึงกลายมาเป็แขนขาเพียงหนึ่งเดียวของโม่เสวี่ยิ่
“โม่อวี้ เ้ากับโม่ซิ่วเป็คนหมู่บ้านเดียวกันใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยถงนอนคว่ำก่ายอยู่บนหมอนหนุนใบใหญ่ด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน หันไปหาโม่อวี้ที่กำลังเตรียมอุปกรณ์ปักผ้าอยู่อีกด้านหนึ่ง
โม่อวี้ได้ยินโม่เสวี่ยถงเอ่ยถึงตนเอง ทำท่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูยังจำเื่นี้ได้ด้วย แต่จะว่าไปแล้วโม่ซิ่วไม่เพียงแต่เป็คนหมู่บ้านเดียวกัน แม่ของนางยังเป็ญาติผู้น้องของแม่บ่าวด้วย หากจะนับญาติกันจริงๆ ก็ถือว่าเป็พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของบ่าวเองเ้าค่ะ”
“เมื่อนับว่าเป็ญาติกัน เ้าไม่คิดจะไปดูญาติผู้พี่ที่ได้รับาเ็ของตนเองหน่อยหรือ” โม่เสวี่ยถงกล่าวพลางชำเลืองมองโม่อวี้
“คุณหนูหมายความว่า...” โม่อวี้มีท่าทางลังเลเล็กน้อย
“คุณหนูไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น ก็แค่ให้เ้าไปเยี่ยมญาติผู้พี่และดูแลเอาใจใส่นางหน่อยก็เท่านั้นแหละ ในจวนนี้นางก็มีแต่เ้าที่เป็ญาติสนิท ไฉนจึงไม่ไปดูหน่อยเล่า คนเขาาเ็อยู่ หากไม่มีใครสนใจไยดีสักคนก็คงไม่ดีเท่าไร” โม่หลันเข้าใจความหมายของโม่เสวี่ยถงก็ยิ้มกล่าวชี้นำให้
“อ้อ... บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ” โม่อวี้ก็เป็เด็กฉลาดคนหนึ่ง ได้โม่หลันชี้นำเล็กน้อยก็เข้าใจกระจ่างทันที วางเข็มกับด้ายในมือลงและลุกขึ้นยิ้ม “คุณหนู ยามนี้บ่าวเริ่มรู้สึกเป็ห่วงญาติผู้พี่ขึ้นมาจริงๆ แล้วเ้าค่ะ คิดๆ ดูแล้วนางคงลำบากไม่น้อย ได้รับาเ็หนักขนาดนั้น ป่านนี้เพิ่งจะมีเวลาออกมาได้ ไม่ว่าอย่างไรบ่าวต้องไปดูแลเอาใจใส่นางหน่อย จะได้คุยกับนางเื่ของโม่จิ่นด้วย”
“สาวใช้น่าตาย ร้ายนักนะ” โม่เสวี่ยถงแสร้งด่าทอ ดวงตาเป็ประกายฉายแววขบขัน
“บ่าวเป็คนดี ยามนี้ต้องไปแสดงความห่วงใยต่อพี่สาว แล้วจะกลายเป็คนร้ายไปได้อย่างไร คุณหนูก็พักผ่อนสักครู่เถิด เดี๋ยวบ่าวขอตัวไปเที่ยวนั่งเล่นพูดคุยที่บ้านผู้อื่นสักครู่นะเ้าคะ” บัดนี้โม่อวี้เข้าใจลึกซึ้งถึงแก่น ริมฝีปากยิ้มพราย พูดติดตลกแล้วปลดม่านลงก่อนเดินออกไป
เมื่อเห็นโม่อวี้ออกไปแล้ว สายตาของโม่เสวี่ยถงยังคงจับนิ่งอยู่ที่ผ้าม่านไม่ขยับ อารมณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ ใจลอยเล็กน้อย เมื่อคิดว่าโม่เสวี่ยิ่ได้รับผลกรรมแล้วก็ค่อยสงบใจลงมาได้หน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมอยู่เฉย เพียงแค่ยังไม่อาจคาดเดาแผนการต่อไปของนางได้เท่านั้น
ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวไม่มีทางยอมแต่งโม่เสวี่ยิ่เข้าจวนในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ แม้ว่าตอนนี้ท่านพ่อจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่บุตรอนุย่อมเป็บุตรอนุวันยังค่ำ คนเ้ายศเ้าอย่างเช่นฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวไม่มีทางยอมผ่อนปรนให้แน่ ดังนั้นซือหม่าหลิงอวิ๋นย่อมไม่กล้าขัดใจมารดาเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีใจทะเยอทะยานอยู่ การแต่งโม่เสวี่ยิ่เข้าจวนก็เป็เพียงบุตรสาวอนุภรรยาไร้อำนาจบารมี แม้นางจะมีสกุลอวี้สนับสนุนอยู่เื้ั แต่ถึงสกุลอวี้จะมือยาวอย่างไรก็เป็เพียงขุนนางนอกสายตา ยังต้องกระเสือกกระสนหาช่องทางอื่นจึงจะรั้งอยู่ในเมืองหลวงได้ ไหนเลยจะมีปัญญาช่วยตนเองได้สักเท่าไร ฮูหยินซื่อจื่อทั้งคน หากเพียงช่วยสนับสนุนเขายังทำไม่ได้ ซ้ำยังเป็ภาระให้เหนื่อย คนอย่างซือหม่าหลิงอวิ๋นหรือจะยอมรับ
ชาติที่แล้วโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นวางอุบายกำจัดนางอย่างโหดร้าย เพื่อตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อแล้ว แม้แต่ทารกน้อยในห่อผ้าพี่สาวผู้ชั่วร้ายของนางยังไม่ยอมละเว้น คิดถึงตรงนี้ โม่เสวี่ยถงก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเยี่ยงคืนที่ถูกเพลิงแผดเผา หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยำเป็ก้อนกลม
เบื้องลึกในดวงตาทอประกายเป็สีก่ำโลหิต
ชาตินี้นางจะต้องทำให้คนสารเลวสองคนนั้นต้องพบกับความวิบัติฉิบหาย สุดท้ายก็บดขยี้ให้แหลกคามือของตนเอง เืต้องชดใช้ด้วยเื นางไม่มีวันลืมััร่างกายอ่อนนุ่มที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็แข็งทื่อของบุตรชายในอ้อมอก ไม่มีวันลืมโม่เสวี่ยิ่ที่บีบคางของนางให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นกรอกสุราพิษเข้าปาก ภายใต้แสงสว่าง นางเกลือกกลิ้งเ็ปแสนสาหัส แต่พวกเขากลับยืนยิ้มเยาะอย่างลำพองใจอยู่ด้านนอก
ไม่ว่าโม่เสวี่ยิ่จะมาไม้ไหน นางก็จะกัดไม่ปล่อย!
เบื้องลึกดวงตาฉายแววเ็าล้ำลึก สายตาที่จ้องไปบนผ้าม่านหาได้มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย นางเชื่อว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฟางอี๋เหนียงไม่มีทางนั่งมองอยู่เฉยๆ เมื่อเื่เกิดการพลิกผัน นางเฝ้ารอให้ฟางอี๋เหนียงดิ้นพล่านออกมา แล้วค่อยให้พวกนางลงหลุมจบเห่ไปพร้อมกัน
และแล้วฟางอี๋เหนียงก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาตามคาดหมาย
หลังจากโม่ฮว่าเหวินส่งแขกกลับไปหมดแล้ว จึงเข้ามาในเรือนชั้นใน พอเข้าเรือนหลีหวาไปได้ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่าฟางอี๋เหนียงตั้งครรภ์
ข่าวนี้แม้ไม่อาจเทียบได้กับข่าวที่โม่ฮว่าเหวินได้เลื่อนตำแหน่ง แต่สำหรับคนในเรือนชั้นในถือเป็เื่ใหญ่และสั่นะเืยิ่งกว่าโม่ฮว่าเหวินได้เป็ขุนนางชั้นสูง เริ่มต้นจากฉิงอี๋เหนียงและโม่อี๋เหนียงหลังจากทราบข่าวแล้ว ต่างก็รีบหอบของพะรุงพะรังมากำนัลให้ถึงเรือนหลีหวา ต่อจากนั้นเมื่อเหล่าไท่ไท่ทราบข่าวก็สั่งคนส่งยาบำรุงมาให้ไม่น้อย
โม่ฮว่าเหวินนับว่ามีปัญหาขาดแคลนบุตรผู้สืบสกุล จนถึงบัดนี้ก็มีบุตรชายเพียงคนเดียวที่เกิดจากอนุภรรยา ยามนี้เมื่อมีเื่มงคลย่อมดีใจจนออกนอกหน้า กำชับกับบ่าวไพร่หากมีของกินของใช้อะไรดีๆ ให้นำมาให้เรือนหลีหวาก่อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมนึกถึงบุตรสาวคนที่สามผู้น่าสงสารของตนเอง เมื่อกล่าวจบก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อไปว่า “แต่ก็ห้ามเพิกเฉยต่อเรือนชิงเวย”
ฟางอี๋เหนียงที่ฟังอยู่ด้านข้างแอบเข่นเขี้ยวในใจ แต่ก็พยายามปิดบังความเกลียดชังไว้ไม่ให้ปรากฏออกมา
ที่นางเลือกประกาศว่าตนเองตั้งครรภ์เวลานี้ หนึ่งก็เพื่อช่วยโม่เสวี่ยิ่ให้พ้นจากการจับสังเกตของผู้คน สองหวังใช้โอกาสแห่งความยินดีทำให้โม่ฮว่าเหวินลืมเื่ที่ตนเองก่อไว้ในอดีตให้หมดสิ้น ยามนี้โม่ฮว่าเหวินประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หากเพิ่มเื่มงคลของตนเองเข้าไปอีกหนึ่งเื่ โม่ฮว่าเหวินย่อมคิดว่าบุตรคนนี้เกิดมาเป็ดาวนำโชค ตนเองก็ย่อมจะดูสูงส่งขึ้นอีก อาจได้ยกขึ้นเป็ภรรยาเอกในคราวเดียวก็เป็ได้ แต่ไม่คิดว่าเวลานี้หัวใจของโม่ฮว่าเหวินก็ยังคำนึงถึงแต่โม่เสวี่ยถง แล้วจะไม่ให้ฟางอี๋เหนียงนึกขุ่นเคืองใจไม่คลายได้อย่างไร
หลังจากผ่านการถูกลงโทษกักบริเวณมาแล้ว ฟางอี๋เหนียงย่อมรู้ว่ายามนี้ควรจะพูดอะไร จึงรีบแสร้งแสดงบทแม่พระกล่าวกำชับอีกครั้ง “มีอะไรก็นำไปที่เรือนของคุณหนูสามก่อน นางสุขภาพไม่ดี เมื่อเช้านี้ก็ยังเป็ลมไปอีก แม้แต่เหล่าไท่จวินสกุลลั่วยังใจนต้องมาดูถึงที่นี่ หากข่าวแพร่งพรายออกไปว่าพวกเราทารุณโหดร้ายกับบุตรภรรยาเอก... นายท่าน อีกประเดี๋ยวก็ให้ท่านหมอมาดูอาการของนางอีกครั้งเถอะเ้าค่ะ คุณหนูสามอาจเป็โรคบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ก็เป็ได้ ร่างกายจึงได้อ่อนแอมากถึงเพียงนี้”
คำพูดประโยคหลังของฟางอี๋เหนียง้าบอกกับโม่ฮว่าเหวินให้รู้ว่า เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็เพราะโม่เสวี่ยถงอ่อนแอจนเป็ลมไป โม่เสวี่ยิ่เป็ห่วงสุขภาพของน้องสาวจึงกลายเป็พี่สาวแสนดีที่ต้องประสบกับเคราะห์ร้าย
“เห็นทีต้องเชิญท่านหมอมาตรวจรักษาอาการถงเอ๋อร์อย่างจริงจังเสียที สุขภาพแบบนี้จะดีไปได้อย่างไร” ผ่านไปครู่ใหญ่โม่ฮว่าเหวินจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“ร่างกายของคุณหนูสามย่อมต้องพิถีพิถันเอาใจใส่ หญิงสาวแรกรุ่นดั่งบุปผาแรกแย้มไม่อาจละเลยได้ มิเช่นนั้นในภายหน้าหากแต่งออกไปบ้านสามีแล้วจะลำบาก พอดีท่านหมอมาตรวจให้ข้าอนุภรรยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายท่านก็เชิญหมอท่านนี้ไปตรวจให้คุณหนูสามด้วยเลยสิเ้าคะ ได้ยินมาว่าตอนนี้คุณหนูสามยังไม่ลุกจากเตียงเลย มิใช่ว่าเป็อะไรไปจริงๆ” เห็นโม่ฮว่าเหวินไม่แสดงอาการขุ่นเคือง ฟางอี๋เหนียงก็แอบโล่งใจ ยิ่งพูดก็ยิ่งแสดงความมีเมตตาจิต พยายามให้ดูเหมือนมารดาที่เอาใจใส่บุตรสาวสุดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของโม่ฮว่าเหวินจึงทอยิ้มอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน สายตาที่มองนางยิ่งละมุนละไมขึ้นเรื่อยๆ
ท่านหมอที่มาตรวจชีพจรให้ฟางอี๋เหนียงเมื่อครู่เป็หมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง บัดนี้กำลังเก็บของอยู่ด้านนอก ยังไม่ได้กลับไป โม่ฮว่าเหวินพยักหน้า แล้วบอกให้คนพาท่านหมอไปเรือนชิงเวยของโม่เสวี่ยถง
คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องต่างถอยออกไปกันหมดแล้ว แม้แต่สาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายสองคนก็ออกไปเฝ้าอยู่ประตูด้านนอก ฟางอี๋เหนียงจึงค่อยเริ่มเอ่ยถึงเื่ของโม่เสวี่ยิ่อย่างระมัดระวังถ้อยคำ
“นายท่าน เื่ของิ่เอ๋อร์... ท่านมีความเห็นว่าควรจัดการอย่างไรเ้าคะ หากให้ิ่เอ๋อร์ไปเป็อนุภรรยาของเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อจริงๆ ต่อไปผู้คนจะมองท่านอย่างไร แล้วเฟิงเอ๋อร์เล่าจะเป็อย่างไร เื่นี้หากล่าวกันตามจริงแล้ว ก็เป็ความเข้าใจผิดเท่านั้น ิ่เอ๋อร์ทำดีไม่ได้ดี ซ้ำร้ายต้องมารับเคราะห์แบบนี้อีก ต่อไปนางจะใช้ชีวิตอย่างไร...”
กล่าวจบขอบตาก็เริ่มแดง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา มองหน้าโม่ฮว่าเหวินอย่างจนหนทาง ดูน่าสงสารเป็อย่างยิ่ง
บัดนี้โม่ฮว่าเหวินนั่งตำแหน่งเป็ถึงผู้ตรวจการพระนคร นับว่าเป็ขุนนางใหญ่ ทั้งยังเป็ขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดโอรส์ ได้รับเกียรติยศชั้นพิเศษเลื่อนขั้นขึ้นมาถึงระดับสาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็ขุนนางสูงศักดิ์คนใหม่ในราชสำนัก ต่อให้เป็บุตรสาวอนุภรรยาภายในบ้าน ปรกติหากแต่งออกไปให้สกุลขุนนางก็สามารถยกฐานะเป็ภรรยาเอกได้ เกียรติยศชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วโหวตกลงมาแล้ว หากพูดให้ฟังไพเราะก็เป็ตระกูลของผู้มีคุณงามความดีในอดีต หากพูดแบบไม่รักษาน้ำใจ ก็เป็จวนโหวที่ตกต่ำไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ โม่ฮว่าเหวินไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
จะให้บุตรสาวที่ตนเองเลี้ยงดูมาสิบกว่าปีไปเป็อนุภรรยา จวนเจิ้นกั๋วโหวช่างหน้าใหญ่ใจโตเกินไปแล้ว
แต่การสวมกอดกับบุรุษในชุดที่ไม่เรียบร้อยชาวบ้านต่างเห็นกันทั่ว แม้ว่าโม่ฮว่าเหวินคิดจะบิดพลิ้วอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้ เมื่อก่อนโม่ฮว่าเหวินยังปฏิบัติต่อซือหม่าหลิงอวิ๋นอย่างให้เกียรติ แต่เมื่อเกิดเื่แบบนี้ขึ้น จวนเจิ้นกั๋วโหวกลับคิดตีชิงตามไฟ ให้ิ่เอ๋อร์ของตนต้องไปเป็อนุภรรยา สิ่งนี้ทำให้โม่ฮว่าเหวินนึกชิงชังในตัวซือหม่าหลิงอวิ๋นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมาพัวพันกับโม่เสวี่ยฉงอีก คิดจะแต่งบุตรสาวทั้งสองของตนไปเป็อนุภรรยาทั้งคู่เลยหรืออย่างไร
โม่ฮว่าเหวินหรือจะเต็มใจยกให้! สีหน้าพลันนิ่งขรึมขึ้นมาทันที
“นายท่าน วันนั้นยามที่ซือหม่าซื่อจื่ออุ้มบุตรสาวของเราออกมา แต่ไม่เห็นหน้าว่าเป็ิ่เอ๋อร์นะเ้าคะ” ฟางอี๋เหนียงท้วงขึ้นอย่างระมัดระวัง หากกล่าวตามจริง วันนั้นผมเผ้าของโม่เสวี่ยิ่ยุ่งเหยิง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบเขม่าควัน เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ทั้งหวาดกลัวลนลาน คิดว่าตนเองคงไม่มีหน้าไปพบหน้าใครแล้ว จึงซุกหน้าอยู่ในอ้อมอกของซือหม่าหลิงอวิ๋น ย่อมเห็นหน้าไม่ชัด
นี่เป็ข้ออ้างเพียงข้อเดียวที่โม่เสวี่ยิ่คิดออก หากเป็ไปได้นางก็ไม่อยากแต่งให้จวนเจิ้นกั๋วโหว โหวฮูหยินเห็นนางเหมือนผักในตลาด ในใจของนางเองก็ไม่เคยนึกถึงจวนเจิ้นกั๋วโหวอยู่แล้ว คิดแค่จะใช้ประโยชน์จากซือหม่าหลิงอวิ๋นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ เป็แค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งแท้ๆ ยังกล้ามาดูถูกนาง จะให้เป็เพียงอนุภรรยา ช่างหน้าใหญ่ใจโตเกินไปแล้ว จะไม่ให้โม่เสวี่ยิ่คับแค้นใจคิดโต้กลับได้อย่างไร
ยิ่งคิดถึงสีหน้าของซือหม่าหลิงอวิ๋นในวันนั้น โม่เสวี่ยิ่ยิ่งเดือดดาล ปรกติก็เห็นวางมาดสูงส่ง พอเกิดเื่ขึ้นกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับ ยังอาศัยอำนาจบารมีเหยียบย่ำนาง โม่เสวี่ยิ่หรือจะยอมให้ใครมาบดขยี้ตนเองเช่นนั้นได้
หลังจากคิดหน้าคิดหลัง ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ก็เห็นว่ามีเพียงทำให้โม่ฮว่าเหวินรู้สึกะเืใจเท่านั้นจึงจะช่วยตนเองได้ ดังนั้นจึงกำชับให้ฟางอี๋เหนียงกล่าววาจาเช่นนี้
นางไม่ยอมเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหวในฐานะอนุภรรยาอย่างเด็ดขาด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้