ความตายควรจะหนาวเหน็บและเงียบสงัด...
นั่นคือสิ่งที่เจาหรงคิด ขณะที่ลมหายใจสุดท้ายของนางขาดห้วงไปในเรือนพักซอมซ่อท้ายจวนอ๋องเฒ่า นางจดจำความเ็ปจากยาพิษที่กรอกปาก ความเย็นเยียบของพื้นไม้ที่ร่างของนางแน่นิ่ง และสายตาเหยียดหยามของผู้คนได้เป็อย่างดี นางหลับตาลงพร้อมกับภาพจำอันโหดร้ายนั้น ยอมรับชะตากรรมที่นางเป็ผู้เลือกเดินเข้ามาหามันด้วยตัวเอง
ทว่าความรู้สึกที่ปลุกนางให้ตื่นขึ้นอีกครั้งกลับไม่ใช่ความหนาวเหน็บ แต่เป็ความอบอุ่น...
แสงแดดสีทองอ่อนๆ ส่องลอดผ่านรอยแตกของหน้าต่างไม้เข้ามา กระทบเปลือกตาของนางจนต้องค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นดินชื้นๆ หลังฝนตกโชยมาพร้อมกับลมเอื่อยๆ ผสมกับกลิ่นไหม้จางๆ ที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
เจาหรงขมวดคิ้ว นี่มันไม่ใช่กลิ่นกำยานราคาถูกในเรือนพักของนาง และยิ่งไม่ใช่กลิ่นบุปผาหอมหวานในสวนของจวนอ๋อง
นางกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง ภาพแรกที่เห็นคือคานไม้สีเข้มเหนือศีรษะ มีใยแมงมุมเกาะอยู่เล็กน้อย พอนางเอียงศีรษะไปด้านข้าง ก็พบกับผนังดินอัดที่แม้จะดูเก่าแต่ก็สะอาดสะอ้าน บนโต๊ะไม้ตัวเล็กข้างเตียงมีถ้วยชาบิ่นๆ วางอยู่หนึ่งใบ
ทุกอย่างดูเรียบง่าย และยากจน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือน ‘บ้าน’ อย่างน่าเหลือเชื่อ
บ้าน... คำที่นางไม่เคยได้ััอย่างแท้จริงมาตลอดชีวิต
"อาหรง เ้าตื่นแล้วหรือ"
เสียงทุ้มที่แหบพร่าเล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความโล่งอกดังขึ้นจากข้างเตียง เจาหรงสะดุ้งสุดตัว นางหันขวับไปมองเ้าของเสียง แล้วหัวใจของนางก็แทบจะหยุดเต้น
บุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดผ้าป่านเนื้อหยาบสีซีดกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างเตียง เขาคือ เว่ยหราน สามีคนแรกที่นางทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ใบหน้าของเขาคมคายตามแบบฉบับชายหนุ่มชาวบ้านที่ทำงานกรำแดดกรำฝน ผิวสีทองแดงของเขาขับให้ดวงตาซื่อตรงคู่นั้นยิ่งดูจริงใจมากขึ้นไปอีก จมูกโด่งเป็สันรับกับริมฝีปากหยักลึกที่มักจะเม้มเข้าหากันเสมอเมื่อประหม่า... เหมือนเช่นในตอนนี้
เขายังดูหนุ่มแน่นเหลือเกิน หนุ่มกว่าภาพสุดท้ายในความทรงจำของนางมากนัก ไม่มีริ้วรอยแห่งความเหนื่อยยากที่นางเป็คนฝากไว้บนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย
"ข้าต้มโจ๊กไว้ให้" เขาพูดเสียงอ่อย ยกถ้วยกระเบื้องร้อนๆ ขึ้นมาเป่าลมใส่เบาๆ "แต่... ข้าอาจจะเผลอไปหน่อย ไฟมันแรงเกินไป ก้นหม้อมันเลยไหม้ไปนิด"
เจาหรงมองตามมือใหญ่ๆ ที่ประคองถ้วยโจ๊กอย่างทุลักทุเล นิ้วมือของเขาหยาบกร้านและมีรอยด้านจากการทำงานหนัก แต่กลับอ่อนโยนเหลือแสนเมื่อัักับถ้วยกระเบื้องใบนั้น ในถ้วยคือโจ๊กขาวข้นที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเละเกินไป แถมยังมีจุดสีน้ำตาลไหม้ลอยอยู่ประปราย มันคืออาหารที่หากเป็นางในชาติก่อนคงจะปัดทิ้งอย่างไม่แยแส
แต่นางในตอนนี้กลับรู้สึกว่าจมูกของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
นี่มันเื่อะไรกัน ์กำลังเล่นตลกอะไรกับนาง หรือว่านี่คือการลงทัณฑ์รูปแบบใหม่ ให้นางต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความผิดบาปของตัวเองอีกครั้ง?
นางค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง ความเ็ปรวดร้าวจากยาพิษไม่มีอีกแล้ว มีเพียงความรู้สึกเมื่อยขบเล็กน้อยเท่านั้น นางยกมือขึ้นมาดู ก็พบเป็มือเรียวบางของหญิงสาววัยสิบแปดปี ผิวพรรณอาจไม่ขาวผ่องเหมือนคุณหนูในห้องหอ แต่ก็ยังนุ่มนวล ไม่ได้หยาบกร้านเหมือนมือของนางตอนอายุยี่สิบห้าที่ต้องทำงานหนักราวกับทาสในจวนอ๋อง
"เ้าค่อยๆ ลุก" เว่ยหรานรีบวางถ้วยโจ๊กลงบนโต๊ะ แล้วเอื้อมมือมาจะช่วยประคองนาง แต่แล้วก็ชะงักมือกลับไปราวกับกลัวว่านางจะรังเกียจััของเขา "เดี๋ยวจะหน้ามืดเอาได้"
แววตาที่เขามองนางเต็มไปด้วยความห่วงใยเจือด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย ใช่แล้ว... เขาหวาดหวั่นนางเสมอมา เพราะนางในอดีตไม่เคยให้สีหน้าดีๆ กับเขาสักครั้ง มีแต่ความเ็า ผลักไส และคำพูดเชือดเฉือนหัวใจ
"ท่านพี่..."
เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของนางแหบพร่าและแ่เบา แต่ก็ดังพอที่จะทำให้บุรุษร่างสูงใหญ่ตรงหน้าสะดุ้งโหยง เขายืนตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
"มะ... เมื่อครู่ เ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ"
"ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่" เจาหรงตอบ พลางสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนเล็กๆ ที่มีเพียงเตียงไม้ ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ หนึ่งใบ และโต๊ะเครื่องแป้งที่ไม่มีแม้แต่คันฉ่องทองเหลือง มีเพียงหวีไม้สลักลายธรรมดาๆ วางอยู่เท่านั้น นี่คือห้องของนางกับเขา ห้องที่นางเคยรังเกียจนักหนา
"อาหรง เ้า... เ้าไม่สบายหนักหรือไร" เว่ยหรานขมวดคิ้วมุ่น เดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วยื่นหลังมือใหญ่ๆ มาอังที่หน้าผากของนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ "ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา"
ััอุ่นๆ บนหน้าผากทำให้น้ำตาที่เจาหรงพยายามกลั้นไว้คลอหน่วยขึ้นมา นางไม่ได้รู้สึกถึงความห่วงใยที่จริงใจเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ นานจนเกือบจะลืมไปแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร
ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องที่แง้มอยู่ก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับเสียงเล็กๆ ที่ดังเจี๊ยวจ๊าวราวกับนกกระจอกแตกรัง
"ท่านพ่อ! ท่านแม่ตื่นแล้วหรือยัง! ข้าหิวแล้ว!"
"พี่รองอย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวท่านแม่ก็ดุเอาหรอก!"
"ข้าหิว... ท่านพ่อ ขนม... ข้าอยากกินขนม"
เด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มสามคนในชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ที่มีรอยปะชุนอยู่ประปรายกรูเข้ามาในห้อง คนหนึ่งเกาะขากางเกงของเว่ยหรานไว้แน่น อีกคนชะโงกหน้ามองนางจากข้างเสาเตียง ส่วนคนสุดท้ายตัวอ้วนกลมที่สุดวิ่งเตาะแตะเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วเงยหน้าขึ้นมองนางตาแป๋ว
เว่ยหลง เว่ยเฟย เว่ยหู่...
ลูกชายฝาแฝดทั้งสามของนาง เด็กน้อยที่นางไม่เคยอุ้มชู ไม่เคยกอด ไม่เคยหอมแก้ม มีแต่ผลักไสและมองพวกเขาเป็ภาระมาตลอด บัดนี้พวกเขายืนอยู่ตรงหน้าด้วยวัยเพียงสามสี่ขวบ มอมแมมเล็กน้อย แต่ดวงตากลมโตใสแป๋วที่จ้องมองมานั้นช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน
เว่ยหลง พี่คนโต มีใบหน้าถอดแบบมาจากเว่ยหรานมากที่สุด เขายืนนิ่งๆ อยู่หลังเสา มองนางด้วยแววตาใคร่รู้แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้
เว่ยเฟย พี่คนรอง มีเค้าความงามของนางอยู่บนใบหน้า ดวงตาเรียวรีเหมือนเมล็ดซิ่ง ฉายแววฉลาดและซุกซน เขากำลังเกาะขาพ่อแน่น แต่มืออีกข้างก็ยกขึ้นมาเกาแก้มแก้เก้อ
ส่วนเว่ยหู่ น้องคนเล็กที่ตัวอ้วนที่สุด มีแก้มยุ้ยๆ เหมือนซาลาเปาสองลูกแปะอยู่บนใบหน้า ดวงตากลมโตและฉ่ำน้ำอยู่เสมอ เขามองนางสลับกับมองถ้วยโจ๊กบนโต๊ะด้วยความสนใจ
"พวกเ้าเข้ามาทำไม ออกไปเล่นข้างนอกก่อน แม่ของเ้าเพิ่งฟื้นไข้" เว่ยหรานรีบหันไปดุลูกๆ เสียงเบา แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน
"ก็ข้าหิว..." เว่ยหู่เบะปาก น้ำตาเริ่มคลอหน่วย
ภาพนั้นทำเอาเจาหรงเจ็บแปลบในอก นางทำอะไรลงไป นางทอดทิ้งเด็กน้อยที่น่ารักเหล่านี้ไปได้อย่างไร นางปล่อยให้สามีผู้แสนดีคนนี้ต้องเลี้ยงดูลูกตามลำพังได้อย่างไร เพียงเพื่อไล่ตามความรักจอมปลอมและคำสัญญาที่เป็เพียงลมปากของบุรุษสารเลวคนนั้น
นางได้ย้อนกลับมาจริงๆ ์ไม่ได้ลงทัณฑ์นาง แต่กำลังมอบโอกาสให้นางได้แก้ไขทุกอย่าง!
"ไม่เป็ไรท่านพี่" เจาหรงสูดหายใจลึก พยายามปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่น "ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ"
คำพูดของนางทำให้ทั้งสี่พ่อลูกชะงักงันอีกครั้ง เว่ยหรานมองนางอย่างงุนงง ส่วนเ้าสามแสบก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากของมารดาใจร้ายของตน
เจาหรงฝืนยิ้มออกมาเป็ครั้งแรก ยิ้มที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเหมือนตอนอยู่ในจวนอ๋อง แต่เป็รอยยิ้มที่มาจากข้างในจริงๆ นางกวักมือเรียกเว่ยหู่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด "มาสิ มาหาแม่มา"
เ้าตัวน้อยสะดุ้งเล็กน้อย มองหน้านางสลับกับหน้าบิดาอย่างไม่แน่ใจ
"ไปสิอาหู่ แม่เ้าเรียกแล้ว" เว่ยหรานกระซิบให้กำลังใจลูกชายเบาๆ
เว่ยหู่จึงค่อยๆ เดินเตาะแตะเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้น เจาหรงเอื้อมมือที่เคยผลักไสเด็กคนนี้ออกไปอย่างช้าๆ แล้วลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่มของเขาอย่างแ่เบา เ้าตัวเล็กสะดุ้งอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่านางเพียงแค่ลูบหัวเขาเบาๆ ไม่ได้ตีหรือผลักไสเหมือนเคย ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
"หิวแล้วหรือ" นางถามเสียงอ่อนโยน
เว่ยหู่พยักหน้าหงึกๆ ดวงตากลมแป๋วจ้องมองนางไม่กะพริบ
"เช่นนั้น เ้ารอแม่สักครู่ได้หรือไม่ แม่จะไปทำของอร่อยๆ ให้กิน"
พูดจบนางก็หันไปมองเว่ยหราน "ท่านพี่ ข้าอยากจะเข้าครัวสักหน่อย"
"ไม่ได้!" เว่ยหรานปฏิเสธเสียงดังทันที "เ้าเพิ่งฟื้นไข้ จะไปตากลมในครัวได้อย่างไร นอนพักเถอะ เดี๋ยวข้า... ข้าจะลองต้มโจ๊กหม้อใหม่ดู" เขาพูดประโยคสุดท้ายเสียงอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้ดีว่าฝีมือการทำอาหารของตัวเองนั้นเลวร้ายเพียงใด
"ข้าไม่ได้เป็อะไรแล้วจริงๆ" เจาหรงยืนยัน นางค่อยๆ ขยับตัวลงจากเตียงช้าๆ แม้จะรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แต่ร่างกายนี้ก็ยังแข็งแรงกว่าตอนที่นางใกล้ตายลิบลับ "ให้ข้าทำเถอะนะ หรือท่านอยากให้ข้ากับลูกๆ กินโจ๊กสูตรพิเศษของท่าน?" นางเหลือบไปมองโจ๊กไหม้ในถ้วยแล้วยิ้มขำ
รอยยิ้มของนางราวกับแสงตะวันแรกในยามเช้า ทำให้เว่ยหรานถึงกับยืนตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาไม่เคยเห็นนางยิ้มให้เขาอย่างจริงใจเช่นนี้มาก่อนเลย ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว
"อะ... อืม" เขาตอบรับเสียงอ่อย ได้แต่พยักหน้าแล้วหลีกทางให้นางเดินผ่านไป
เจาหรงเดินตรงไปยังห้องครัว ซึ่งเป็เพียงเพิงเล็กๆ ที่ต่อเติมออกมาจากตัวบ้าน สภาพในครัวเรียกได้ว่าอนาถา มีเตาดินเก่าๆ หนึ่งเตา เขียงไม้ที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักจนเป็รอยบากลึก หม้อดินเผาสองสามใบ และชั้นวางของที่มีเพียงไหน้ำมันใบเล็ก ไหเกลือ และข้าวสารที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งกระสอบ
นางถอนหายใจยาว นี่คือจุดเริ่มต้นของนาง บ้านที่ยากจน สามีที่ซื่อบื้อ และลูกน้อยอีกสามคนที่ต้องเลี้ยงดู แต่น่าแปลกที่นางไม่ได้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเหมือนในชาติก่อน กลับกันนางรู้สึกถึงความหวังที่เอ่อล้นขึ้นมา
นางเหลือบไปเห็นไข่ไก่สดใหม่สองสามฟองวางอยู่ในตะกร้า และต้นหอมเล็กๆ ที่ปลูกไว้ในกระถางแตกๆ ข้างครัว ในหัวพลันนึกถึงเมนูง่ายๆ ขึ้นมาได้
นางลงมือติดไฟในเตาอย่างคล่องแคล่วผิดกับที่เคยเป็ ความทรงจำจากการที่ต้องแอบเข้าไปช่วยงานในครัวของจวนอ๋องเพื่อหาของกินประทังชีวิตในบางครั้งกลับมีประโยชน์ในตอนนี้ นางจัดการซาวข้าว ต้มข้าว ตอกไข่ และซอยต้นหอมอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ชำนาญนัก แต่ก็ดีกว่าไม่เคยทำอะไรเลย
ไม่นานนัก กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อนๆ ผสมกับกลิ่นไข่เจียวก็ลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน
เว่ยหรานและลูกๆ ที่แอบชะโงกหน้ามองอยู่ตรงประตูถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พวกเขาไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมขนาดนี้ออกมาจากครัวของบ้านตัวเองมาก่อน
เจาหรงยกถ้วยข้าวต้มห้าใบและไข่เจียวหอมกรุ่นที่นางพยายามทำให้ฟูสวยที่สุดเท่าที่จะทำได้วางลงบนโต๊ะกินข้าวที่ทำจากไม้ไผ่สานตัวเก่าๆ "มาเถอะ มากินข้าวกัน"
เว่ยหลงและเว่ยเฟยยังคงลังเล แต่เว่ยหู่ผู้พ่ายแพ้ต่อความหิวได้วิ่งนำไปก่อนใครเพื่อนแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ของตัวเองอย่างรู้งาน เว่ยหรานจึงจูงลูกชายอีกสองคนตามมานั่งลงอย่างเสียมิได้
ภาพตรงหน้าคืออาหารมื้อแรกของครอบครัวอย่างแท้จริง ข้าวต้มร้อนๆ กับไข่เจียวธรรมดาๆ แต่สำหรับสี่พ่อลูกแล้วมันราวกับเป็อาหารจากเหลาชั้นเลิศ เว่ยหรานตักข้าวต้มเข้าปากคำแรกแล้วก็เบิกตากว้าง "อร่อย! อาหรง นี่เ้าทำเองจริงๆ หรือ"
เจาหรงพยักหน้ายิ้มๆ "ก็ข้าน่ะสิ หรือท่านคิดว่ามีเทพธิดาองค์ไหนลงมาทำให้"
"อร่อยกว่าที่ท่านพ่อทำตั้งเยอะ!" เว่ยเฟยพูดขึ้นมาเสียงดังฟังชัด ทำให้เว่ยหรานถึงกับหน้าแดงก่ำ
"ข้า... ข้าทำอาหารไม่เก่งนี่นา" เขาเถียงเสียงอ่อย
ส่วนเว่ยหู่ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินด้วยความเร็วแสง แก้มยุ้ยๆ ของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการเคี้ยว ปากเล็กๆ นั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบข้าวและเศษไข่เจียว เจาหรงเห็นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้ นางเอื้อมมือไปใช้หลังนิ้วเช็ดมุมปากให้เขาเบาๆ เ้าตัวเล็กชะงักไปนิดหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองนางแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงไปกินต่อ แต่หูเล็กๆ ของเขากลับแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
มีเพียงเว่ยหลงที่ยังคงกินอย่างเงียบๆ และคอยชำเลืองมองนางเป็ระยะๆ แววตาของเขายังคงมีความระแวงอยู่ แต่ก็เจือปนด้วยความสับสนและความประหลาดใจ
เจาหรงเข้าใจดี นางทำร้ายจิตใจพวกเขามามาก การจะให้เด็กๆ กลับมาเชื่อใจและรักนางในทันทีคงเป็ไปไม่ได้ มันต้องใช้เวลา และนางก็มีเวลาทั้งชีวิตนี้ที่จะชดเชยให้พวกเขา
หลังจากกินอาหารมื้อแรกเสร็จสิ้น เจาหรงก็จัดการเก็บล้างทุกอย่างเรียบร้อย นางมองไปรอบๆ บ้านหลังเล็กที่แม้จะเก่าและมีข้าวของเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ก็ถูกจัดเก็บอย่างเป็ระเบียบเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ เสื้อผ้าของลูกๆ ที่ขาดก็มีรอยปะชุนอย่างตั้งใจ แม้ฝีเข็มจะหยาบไปบ้างก็ตามที ทุกอย่างบ่งบอกว่าเว่ยหรานพยายามทำหน้าที่ของทั้งพ่อและแม่ได้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว
นางเดินออกมาที่หน้าบ้าน เว่ยหรานกำลังนั่งสานตะกร้าอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มไม้ ส่วนเ้าสามแสบก็วิ่งเล่นไล่จับกันอยู่บนลานดินกว้างๆ เสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ดังไปทั่วบริเวณ
เจาหรงยืนมองภาพนั้นนิ่งๆ ภาพของความสุขอันเรียบง่ายที่นางเคยผลักไสและมองว่ามันไร้ค่า
นางก้าวเดินช้าๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเว่ยหราน เขารีบเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตายังคงฉายแววงุนงงไม่หาย "มีอะไรรึเปล่า"
"ท่านพี่..." นางเรียกเขาเสียงเบา "ที่ผ่านมา... ข้าขอโทษ"
ตะกร้าที่อยู่ในมือของเว่ยหรานร่วงหล่นลงบนพื้นดังตุบ เขานั่งนิ่งตัวแข็งยิ่งกว่าตอนที่นางเรียกเขาว่าท่านพี่ครั้งแรกเสียอีก
"ขะ... ขอโทษเื่อะไร"
"ทุกเื่" เจาหรงตอบ น้ำเสียงของนางจริงจังและหนักแน่น "ขอโทษที่ข้าเป็ภรรยาที่ไม่ดี ขอโทษที่ข้าเป็แม่ที่ไม่ได้เื่ แต่นับจากนี้ไป มันจะไม่เป็เช่นนั้นอีกแล้ว ข้าสัญญา"
นางไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ และนางก็ไม่สามารถอธิบายเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ แต่นางอยากให้เขารู้ว่านางกำลังจะเปลี่ยนตัวเองจริงๆ
เว่ยหรานมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง ดวงตาที่เคยเ็าและว่างเปล่า บัดนี้กลับมีประกายบางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็ประกายของความมุ่งมั่น และความอบอุ่น
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาของเขา แต่ลึกๆ แล้วเขากลับรู้สึกดีใจจนอยากจะร้องไห้ ชายหนุ่มผู้ซื่อตรงและไม่เคยมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับช้าๆ "อืม"
คำตอบรับสั้นๆ เพียงพยางค์เดียว แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเจาหรง
นางหันไปมองลูกชายทั้งสามที่หยุดเล่นแล้วหันมามองพวกนางเป็ตาเดียว นางยกยิ้มกว้างส่งไปให้พวกเขา เว่ยหู่โบกมือเล็กๆ กลับมาให้ เว่ยเฟยฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ส่วนเว่ยหลง... แม้จะยังยืนนิ่ง แต่แววตาของเขาก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
นี่แหละ คือโอกาสครั้งที่สองของนาง คือชีวิตใหม่ที่นางจะสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง นางจะไม่ยอมให้ความโง่เขลาและความทะเยอทะยานจอมปลอมมาพรากความสุขนี้ไปจากนางอีกเป็ครั้งที่สอง
นางร้ายเจาหรงได้ตายไปแล้ว นับจากนี้ไป จะมีเพียงเจาหรงผู้เป็ภรรยาของเว่ยหราน และเป็มารดาแสนดีของเ้าสามแสบเท่านั้น!