เฉิงชิงสงบจิตสงบใจอาศัยอยู่ที่เรือนหลังน้อย
ทุกวันได้รับการปฏิบัติให้กินดีอยู่ดี ระยะนี้จึงใช้ชีวิตอย่างไม่เลวเลย
นางนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ ถึงค่อยฟื้นฟูเรี่ยวแรงที่ถูกใช้งานไปได้ ตรวจสอบบัญชีนั้นลำบากมาก ด้านสิ่งของที่จำเป็ต่อการดำรงชีวิตก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างเอาเปรียบ ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่กินๆ นอนๆ เฉิงชิงหยิกแก้มตนเองยังรู้สึกอ้วนขึ้นบ้างเล็กน้อย
ยามเย็นวันที่สามหลังส่งมอบรายการบัญชีทั้งหมดให้กับเมิ่งไหวจิ่นแล้ว ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวที่เรือนหลังน้อย กล่าวว่าอีกฝ่ายยินยอมที่จะพบเฉิงชิงสักครั้ง
“ถามอะไรเ้าไปก็ตอบตามความจริงก็พอแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำไร้สาระให้มากความและไม่ต้องคิดจะลองหลอกลวงเขา”
“จะไม่ทำให้ศิษย์พี่เดือดร้อนแน่ขอรับ”
ยังคงเป็รถม้าคันเดิมที่มาในตอนแรก เมิ่งไหวจิ่นส่งเฉิงชิงที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง บนผิวน้ำที่ต้นอ้อขึ้นเป็กอมีเรือลำใหญ่สีดำทะมึนลอยนิ่งอยู่ ครั้งนี้ไม่มีผู้คุ้มกันถือดาบออกมาโจมตี แต่ยังคงรู้สึกว่าตนเองถูกคนจับตามองอย่างใกล้ชิด
หากนางมีการเคลื่อนไหวที่ไม่เข้าท่า พริบตาเดียวก็คงจะถูกคมดาบต้อนรับแน่
นางเดินขึ้นบนกราบเรือมาถึงท้องเรือ
วันนี้บนเรือไม่ได้มืดสนิทแล้ว ในท้องเรือจุดเขียนไข ทางเข้ามีหญิงรับใช้หน้าตางดงามสองนางยืนอยู่ เปลวเทียนที่สั่นไหวทำให้บรรยากาศอึดอัดเบาบางลง เพิ่มบรรยากาศอบอุ่นให้กับเรือลำนี้อยู่หลายส่วน ทำให้อดคาดเดาไม่ได้ว่าที่อยู่ภายในท้องเรือเป็นายน้อยร่ำรวยโดดเด่นผู้หนึ่งใช่หรือไม่—— โดดเด่นไม่โดดเด่นเฉิงชิงไม่รู้ สิ่งที่นางต้องรับมือคืออำนาจของอีกฝ่าย!
“เชิญคุณชายเฉิงเข้ามา”
หญิงรับใช้ค่อยๆ ผลักประตูของท้องเรือให้เปิดออก ฝีเท้าเบางามสง่า เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเฉิงชิงก้าวเข้าไป ประตูก็ปิดอย่างรวดเร็ว ราวกับเกรงว่าสายลมยามค่ำคืนจะตามฝีเท้าของเฉิงชิงเข้ามายังท้องเรือ
ท้องเรือนี้ช่างปิดสนิทนัก
เดือนเก้าแม้จะยังมิอาจเรียกได้ว่าเป็ปลายฤดูใบไม้ร่วง บนผิวน้ำจะยังไม่เย็นสักเท่าไร แต่ผู้ที่นั่งอยู่ภายในท้องเรือคล้ายว่าจะไม่อาจทนลมหนาวได้แม้แต่น้อย
มีฉากกันลมวางอยู่ แสงเทียนสะท้อนเงาของผู้ที่อยู่ด้านหลังฉากกันลม
“เ้าก็คือบุตรชายของเฉิงจือหย่วน อดีตนายอำเภอเจียงหนิงหรือ?”
เสียงเอ่ยประโยคดังสะท้อนไพเราะและเยียบเย็นราวกับจินสือ[1]
เพียงฟังน้ำเสียงนี้ คนใหญ่คนโตที่อยู่ด้านหลังฉากกันลมอ่อนวัยกว่าในจินตนาการของเฉิงชิง
แต่ในอาณาจักรเว่ย อายุนับเป็อันใด บางคนเพียงถือกำเนิดก็ประสบการณ์ชีวิตเป็ที่เลื่องลือ เพียงมีความคิดตามอำเภอใจก็สามารถตัดสินชะตาชีวิตของคนธรรมดาได้ เฉิงชิงรู้ตัวเองดีว่าการเป็บุตรชายของอดีตนายอำเภอขั้นเจ็ดไม่อาจไปล่วงเกินขุนนางใหญ่ตัวจริงได้
“ข้าน้อยเฉิงชิง บิดาที่ล่วงลับไปคือนายอำเภอเจียงหนิง เฉิงจือหย่วนจริงขอรับ”
นางไม่อาจล่วงเกินขุนนางใหญ่ แต่ไม่ถึงขนาดเพียงพบหน้าก็ประจบราวกับทาสยอมหมอบราบคาบ เมิ่งไหวจิ่นกล่าวไม่ผิด โอกาสในการพบหน้าเป็สิ่งที่เมิ่งไหวจิ่นมอบให้ แต่เฉิงชิงต้องพึ่งพาพละกำลังของตนในการไขว่คว้าไว้ หากนางตรวจสอบบัญชีหนี้สูญห้องนั้นไม่ชัดแจ้ง เกรงว่าบุคคลหลังฉากกันลมก็ไม่คิดจะพบนาง!
ในเมื่อเป็โอกาสชนะที่ได้มาจากการพึ่งพาความสามารถ หากไปประจบประแจงนั่นจึงจะเป็การถูกคนดูถูกไม่ให้ความสำคัญอย่างแท้จริง
บุคคลด้านหลังฉากกันลมก็ไม่ได้รู้สึกว่าท่าทางของนางมีอะไรไม่เหมาะสม เป็ดั่งที่เมิ่งไหวจิ่นกล่าว อีกฝ่ายถามถึงคดีของเฉิงจือหย่วน เฉิงชิงรู้อะไรก็ตอบไปตามนั้นไม่จำเป็ต้องกล่าวอย่างอื่น
คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ทั้งสองคนพูดคุยกันราวหนึ่งก้านธูป บุคคลด้านหลังฉากกันลมก็กล่าวสรุป
“บิดาของเ้าไม่ได้ปลิดชีวิตตนเอง เขาถูกวางยาพิษ หลังจากเสียชีวิตแล้วถูกคนนำไปแขวนไว้ที่คานห้องภายในที่ว่าการอำเภอ อำพรางว่าเป็การฆ่าตัวตาย คนตายไม่อาจเอ่ยปากแก้ตัวให้แก่ตนเอง เขาเป็แพะรับบาปที่ถูกผู้อื่นเลือกในคดียักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเมืองเหอไถ”
การคาดการณ์นี้เฉิงชิงก็เคยคิดมาก่อน!
แต่ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวเห็นด้วยอย่างตรงไปตรงมามาก่อน ทั้งยังกล่าวอย่างมั่นใจเช่นนี้ แม้แต่สาเหตุการตายที่แท้จริงของเฉิงจือหย่วนก็กล่าวออกมาจนหมดสิ้น
“เหตุใดท่านผู้สูงศักดิ์จึงกล้าที่จะมั่นใจ? ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้สงสัยท่าน เพียงแต่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ใหญ่หลวงนัก ข้า้าความมั่นใจเต็มร้อย——“
น้ำเสียงของบุคคลด้านหลังฉากกันลมเ็า ราวกับกำลังเอ่ยเื่เล็กไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง
“โลงศพของบิดาเ้าที่เอาไว้อยู่ที่บ้านโลงศพ ข้าได้สั่งให้คนไปตรวจสอบศพแล้ว”
แม้นั่นจะไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของเฉิงชิง แต่เืในกายของนางก็เดือดพล่านทันที
ได้ชื่อว่าศพขุนนางก็ต้องขอความเห็นชอบจากคนในครอบครัว คนผู้นี้ปฏิบัติตามอำเภอใจกับศพของเฉิงจือหย่วน ถือว่าไม่เห็นคนตระกูลเฉิงอยู่ในสายตา!
อีกฝ่ายััได้ถึงความไม่พอใจของเฉิงชิงแต่ก็ไม่ได้สนใจ
ไม่ตรวจสอบศพแล้วจะรู้สาเหตุการตายที่แท้จริงของเฉิงจือหย่วนได้อย่างไร?
เฉิงชิงคิดอย่างไรไม่สำคัญ หากสามารถพลิกคดีให้เฉิงจือหย่วนได้ การสอบตรวจสอบศพก็ถือเป็เพียงการล่วงเกินเล็กน้อยเท่านั้น คนตระกูลเฉิงย่อมให้อภัย!
เฉิงชิงหดหู่ อีกฝ่ายไม่ได้เห็นว่าเื่นี้สำคัญเลย กลับถามนางว่ามีอะไรที่้าจะเพิ่มเติมหรือไม่?
“หากมีความผิดปกติอะไรก็สามารถบอกข้าได้ เื่นี้กระทำอย่างละเอียดอ่อน ย่อมไม่ใช่ความคิดชั่ววูบแน่”
ภายในความทรงจำของ ‘เฉิงชิง’ คือความวุ่นวาย หลังจากศพของเฉิงจือหย่วนถูกพบ ‘เฉิงชิง’ ก็ล้มป่วยลงทันที ในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด เด็กสาวตัวน้อยวัยสิบสามปีแม้แต่จะประคับประคองสติยังทำไม่ได้ แล้วจะให้ไปตรวจสอบสาเหตุการตายของบิดาหรือ?
เฉิงชิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าไม่รู้ว่าใครให้บิดาที่ล่วงลับของข้าเป็แพะรับบาป แต่ใต้เท้าข้าหลวงใหญ่จางที่ราชสำนักส่งมากลับยากที่จะตัดสินว่าจงรักภักดีหรือทรยศ ในเมื่อการกระทำของเขาราวกับมีเจตนาดีที่จะรักษาพวกเราครอบครัวแม่ม่ายบุตรกำพร้า ให้พวกเรารีบไปจากอำเภอเจียงหนิง ราวกับ้าผลักข้อกล่าวหาทั้งหมดไปไว้ที่บิดาผู้ล่วงลับ วิธีการจัดการที่คลุมเครือนี้ทำให้พวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ตัวได้ หากไม่ใช่ว่ายามนั้นข้าป่วยหนัก ไม่มีทางที่จะอัญเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิดตามคำสั่งของข้าหลวงใหญ่จางเด็ดขาด!”
ด้านหลังของฉากกันลมเงียบสนิท
คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดว่าควรจะพูดอย่างไร หรือไม่ก็กำลังพิจารณา ใคร่ครวญว่านอกจากเป็บุตรชายของเฉิงจือหย่วนแล้ว เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีผู้นี้ยังมีคุณสมบัติที่จะเข้าใจเื่ราวภายในมากกว่านี้หรือไม่?
ในฐานะบุตรแล้ว รีบร้อนจะพลิกคดีให้บิดาเป็ถือเื่ธรรมดา แต่แม้แต่ข้าหลวงใหญ่ที่ถูกราชสำนักส่งมาตรวจสอบคดีเฉิงชิงก็ยังไม่เชื่อถือ ยิ่งปิดบังเท่าไร เฉิงชิงก็จะยิ่งใช้วิธีการที่รุนแรงในการเสาะหาข้อเท็จจริงมากเท่านั้นกระมัง!
บุคคลด้านหลังฉากกันลมลุกขึ้นยืน เงาร่างของเขาที่ถูกแสงเทียนสะท้อนบนฉากกันลมดูสูงใหญ่มาก
หลังจากนี้เขาจะไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว ยกขาขึ้นแล้วหันออกมาจากฉากกันลมทันที
เฉิงชิงประหลาดใจ
เ้าของน้ำเสียงอายุน้อยตามที่นางเดาดังคาด เป็คนหนุ่มที่ร่างกายผอมสูงผู้หนึ่ง คิ้วสองข้างโก่งเข้าจอนผม ดวงตาเรียวยาว ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
อ่อนวัยกว่าเมื่อเทียบกับเมิ่งไหวจิ่น เมื่อมองรูปลักษณ์แล้วอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ทว่าอุปนิสัยนั้นจะกล่าวว่าอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีก็ไม่ผิดนัก
ตัวคนสูงมากและยังผอมมากด้วย เฉิงชิงบอบบางใบหน้าซีดเหลืองตัวผอมซูบ แต่ใบหน้าของคนผู้นี้ขาวมาก ริมฝีปากไร้สีเื สองแก้มตอบ ที่แท้ก็เป็เ้าขี้โรคที่ผมดำดั่งนกกา ผิวขาวดุจหิมะผู้หนึ่ง——
ขนาดป่วยยังมีใบหน้าเช่นนั้น หากร่างกายแข็งแรงย่อมต้องเป็โฉมสะคราญในโลกมนุษย์!
เฉิงชิงตัดสินได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเป็เ้าขี้โรคน่ะหรือ?
ในท้องเรือนี้ปิดแน่นสนิทจนรู้สึกอึดอัด แต่คนผู้นี้ท่าทางเหมือนไม่รู้สึกว่าร้อนแม้แต่น้อย สวมเสื้อคลุมแซมขนสัตว์บริเวณปกคอเสื้อในเดือนเก้า ราวกับเฉิงชิงอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงแต่อีกฝ่ายอยู่ในฤดูหนาว สภาพร่างกายเช่นนี้ไม่มีทางเป็คนปกติ
เฉิงชิงมองให้เต็มตามากขึ้น เ้าขี้โรคยินดีหรือโกรธเกรี้ยวยากที่จะตัดสินได้
“เมิ่งไหวจิ่นกล่าวไม่ผิด ความกล้าของเ้าช่างมากนัก ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋เมื่อเทียบกับทั่วทั้งแคว้นเว่ยแล้วไม่นับว่าเป็อันใด ทุกรอบหลายปีย่อมให้กำเนิดผู้มีความสามารถหนึ่งถึงสองคน”
ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ไม่นับว่าเป็อันใดหรือ?
เฉิงชิงไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “เช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านมีสถานะใด? เื่ที่ท่านผู้สูงศักดิ์ตรวจสอบศพของบิดาข้าในโลงตามอำเภอใจ ข้าไม่เอาความก็ได้ ศิษย์พี่เมิ่งกล่าวว่าทุ่มเทไปจึงจะได้กลับคืนมา ข้าได้จัดแจงรายการบัญชีที่ติดลบสองแสนหกหมื่นตำลึงเงินให้ท่านแล้ว ข้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะรู้สถานะของท่านผู้สูงศักดิ์!”
หากไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็ใคร แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะช่วยนางพลิกคดีให้เฉิงจือหย่วนได้?
ท่าทีของเฉิงชิงเปลี่ยนจากต่อต้านเป็กระตือรือร้น ชีวิตก็เป็เช่นนี้ หากไม่อาจต้านทานได้ นางก็ทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะเพลิดเพลินไปกับการแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด!
“บังอาจ!”
หญิงรับใช้ที่ดูแลประตูท้องเรือตำหนิเฉิงชิง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างมากราวกับ้าจะมาโจมตีควบคุมตัวเฉิงชิงในทันที
—— เฉิงชิงเอ่ยถามสถานะของนายท่านตามอำเภอใจ ถือเป็การล่วงเกินไม่แบ่งแยกนายบ่าว ไหนเลยหญิงรับใช้จะทนได้!
[1] จินสือ คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีเสียงกังวานไพเราะ
