“แม่ แม่จะคุยอะไรกับพ่อหรือคะ?” ซั่งวั่งซูเป็เด็กผู้หญิง โดยธรรมชาติก็จะมีความรู้สึกอ่อนไหวกว่าเด็กผู้ชายอยู่แล้ว เธอไม่รู้ว่าตนเองััได้ว่าบรรยากาศระหว่างพ่อกับแม่มันดูผิดปกติไปจริงหรือเปล่า? ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามมารดาออกมา
หากเป็ชาติก่อนซย่านีจะต้องพูดว่า ‘เป็เด็กอย่ายุ่งเื่ผู้ใหญ่’ แต่ชีวิตในชาตินี้เธอเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับลูกๆ ด้วยความอดทนแล้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เธอก็ตัดสินใจพูดโกหกด้วยเจตนาดีว่า “แม่จะถามพ่อเื่เรียนหน่อยจ้ะ”
“อ่อ” ซ่งวั่งซูวางใจลงเสียที
ซ่งตงซวี่กล่าวอย่างตื่นเต้น “พี่ฮะ พวกเราไปเล่นหมากรุกกันไหมฮะ? เมื่อวานผมเพิ่งลองเรียนหมากรุกประเภทหนึ่งมาจากเพื่อนร่วมชั้น สนุกมากเลย เดี๋ยวผมสอนพี่เอง”
ซั่งวั่งซูตอบรับคำชวน “ได้ เล่นหมากรุกกัน ฉันจะต้องชนะนายแน่”
ซ่งตงซวี่ไม่พอใจ “ผมชนะพี่ต่างหาก!”
“นายไม่เคยเดินหมากชนะฉันได้เลยนะ”
“ก็นั่นมันหมากรุกห้าเม็ด[1] แต่อันที่ผมเพิ่งเรียนมามันเรียกหมากรุกเขต[2] มันไม่เหมือนกับหมากรุกห้าเม็ดหรอกนะ ครั้งนี้ผมต้องชนะแน่”
“…”
ประตูถูกเปิดออกด้วยเสียงดังเอี๊ยดก่อนจะถูกปิดลงในเวลาต่อมา เสียงของเด็กน้อยทั้งสองคนก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เงียบไปในที่สุด
ภายในห้องเหลือเพียงซย่านีกับซ่งหานเจียงและทารกน้อยที่ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
ซ่งหานเจียงดึงเก้าอี้มานั่งข้างตู้ลิ้นชักข้างหัวเตียง ชายหนุ่มนั่งเผชิญหน้ากับซย่านีที่นั่งอยู่บนเตียง เขานั่งตัวตรงวางมือกุมเข่าท่าทางราวกับกำลังจะถกประเด็นทางวิชาการกับซย่านี “ระหว่างเรียนเจอปัญหาอะไรงั้นหรือ? ไม่เป็ไร คุณพูดออกมาเถอะ พวกเราจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยกันยังไงล่ะ”
ซย่านีกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่
ั์ตาของซ่งหานเจียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและแน่วแน่ ซึ่งเหมือนกำลังให้กำลังใจซย่านีอยู่กรายๆ “ไม่เป็ไรหรอก ผมจะไม่หัวเราะคุณแน่”
ซย่านีพูดไม่ออก “…” เมื่อถูกมองด้วยสายตาจดจ่อแบบนี้ จู่ๆ ไม่รู้เป็อะไรเธอก็เหมือนจะพูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ แว็บหนึ่งในหัวพลันเต็มไปด้วยความคิดว่า ‘ผู้ชายคนนี้ช่างหล่อเหลาจริงๆ เลย’
ภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวลอันอบอุ่น เขาสวมเสื้อคอปกสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาบุคลิกหล่อเหลา ั์ตาจดจ่อที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยรัศมีแห่งปัญญา
‘ไม่ๆๆ’ ซย่านีส่ายหัวอย่างแรงพลางคิดว่า ‘นี่มันกับดักชายงามชัดๆ ซย่านีเธอรีบได้สติเดี๋ยวนี้เลย’
“อะแฮ่ม” ซย่านีไอสองครั้งแล้วจึงเริ่มเอ่ยปาก “คืออย่างนี้...”
“แม่!!” จู่ๆ เสียงะโแหลมคมของซ่งวั่งซูก็ดังขัดจังหวะคำพูดของซย่านีขึ้นมา เด็กสาวผลักประตูแล้ววิ่งเข้ามาทันที โดยที่ในมือกำลังถือหนังสือภาษาจีนและหนังสือคณิตศาสตร์พร้อมกับสมุดการบ้านของซย่านีอยู่ด้วย “แม่คะ นี่หนังสือเรียนค่ะ ยังมีการบ้านของแม่ด้วยนะคะ ของพวกนี้ตกอยู่ในห้องของหนูกับหยางหยางหมดเลย!”
ซย่านีรับของเ่าั้มามุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อย “ดี ขอบคุณมากจ้ะสาวน้อยของแม่”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ!” ซ่งวั่งซูส่งของให้มารดาเสร็จก็วิ่งปรู๊ดออกจากห้องไปทันที
ซ่งหานเจียงเอื้อมมือไปหยิบสมุดการบ้านของซย่านีแล้วก็พลิกดู ด้านในสมุดเต็มไปด้วยโจทย์บวกลบและตัวอักษรจีนอย่างง่ายที่สุด แต่ซ่งหานเจียงกลับตั้งใจดูอย่างจริงจังมาก
เขาอ่านสมุดการบ้านอย่างรวดเร็ว พออ่านจบก็ยิ้มให้ซย่านีอย่างพอใจ “ลายมือของคุณพัฒนาขึ้นแล้ว โจทย์คณิตก็ทำได้ดีมาก คืนนี้พวกเรามาเพิ่มความยากกันหน่อยดีไหม ลองฝึกบวกลบเลขสามหลักกันดีกว่าแล้วก็การบวกและการลบแบบผสมกัน เช่นนี้คุณเห็นเป็อย่างไรบ้าง?”
ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ
ในที่สุดซย่านีก็กล่าวออกมา “พวกเราหย่ากันเถอะ”
“เดี๋ยวผมจะให้โจทย์คุณสักสองสามข้อ...” ซ่งหานเจียงหยิบปากกาขึ้นมา แล้วเขียนตัวอักษรจำนวนหนึ่งลงบนสมุดการบ้านของซย่านี ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองซย่านี “คุณว่าอะไรนะ?”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ “ฉันบอกว่า พวกเราหย่ากันเถอะ”
ซ่งหานเจียงพลันมีสีหน้าว่างเปล่าไปชั่วขณะ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เสียศูนย์เช่นนี้ถึงขั้นที่เขาพูดตะกุกตะกักไปเล็กน้อย “ทำ...ทำไมกัน?”
ซย่านีตอบ “ฉันไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งของพวกคุณอีกต่อไปแล้ว ฉันอยากมีชีวิตสงบสุขกับลูกๆ”
ซ่งหานเจียงพยักหน้า เขามองออกว่าซย่านีต่อต้านตระกูลซ่งเป็อย่างยิ่ง “เช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องหย่ากันหรอก ผมสนับสนุนให้คุณกับลูกๆ ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกนะ หากคุณไม่้าติดต่อกับพ่อแม่ของผมก็ไม่เป็ไร ผมเองก็จะสนับสนุนคุณเช่นกัน ส่วนผมจากนี้ไปผมจะอยู่กับคุณและลูกๆ ที่นี่ แล้วใน่วันหยุดผมค่อยพาพวกเด็กๆ กลับไปเยี่ยมปู่กับย่า...”
“แต่ว่าคุณแซ่ซ่ง” ซย่านีพูดตัดบทซ่งหานเจียงด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันพูดไปแล้วว่าฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งอีกแม้แต่นิดเดียว”
ซ่งหานเจียงพลันพูดไม่ออก “ซย่านี ตอนนี้คุณกำลังโกรธ...”
“ฉันไม่ได้หุนหันพลันแล่น” ซย่านีสบตาซ่งหานเจียงพร้อมกล่าวว่า “ฉันครุ่นคิดเื่นี้มานานมากแล้ว”
ซ่งหานเจียงมองเห็นความแน่วแน่ในสายของซย่านี เขาอยากจะรั้งภรรยาไว้และอยากเปลี่ยนความคิดของเธอ แต่พอเขาอ้าปากพูดกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในหัวของชายหนุ่มตอนนี้สับสนยุ่งเหยิงไปหมด เขารู้สึกว่าเวลานี้ตนเองคงประสบกับปัญหาที่ยากที่สุดในชีวิตแล้ว
สุดท้ายเขาก็เอ่ยคำพูดที่ชัดเจนที่สุดในใจออกมา “ผมไม่อยากหย่า”
กล่าวได้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาการหย่าร้างไม่เคยเป็หนึ่งในทางเลือกของแผนการใช้ชีวิตของเขาเลย เขาคิดว่าการแต่งงานเป็เื่ที่จะคงอยู่ชั่วชีวิต ทันทีที่ชื่อของเขากับซย่านีถูกเขียนลงในใบทะเบียนสมรสนั่นก็หมายความว่าเขาเต็มใจและพร้อมที่จะร่วมทางกับซย่านีไปชั่วชีวิต
ซย่านีคาดเดาไว้นานแล้วว่าซ่งหานเจียงจะต้องปฏิเสธ เธอกวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วถามเขาว่า “คุณรู้ไหมว่าฉันเพิ่งตกลงทำสัญญาเช่าบ้านไปวันนี้เอง?”
ซ่งหานเจียงตอบ “รู้ พี่เฝิงหย่งบอกผมแล้ว”
“แล้วเขาได้บอกคุณไหมว่าทำไมจู่ๆ ฉันถึงตัดสินใจหอบลูกย้ายมาอยู่ที่นี่ในวันนี้เลย?”
ซ่งหานเจียงตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่”
ซย่านีหัวเราะเย้ยหยันเขาแล้วกล่าวว่า “เพราะแม่กับน้องสาวของคุณไง พวกเธอเห็นฉันไปที่บ้านของพี่เฝิงหย่งทุกวัน แล้ววันนี้ยังออกมาข้างนอกกับพี่เฝิงหย่งตามลำพังอีก พวกเขาก็เลยกล่าวหาว่าฉันคบชู้กับพี่เฝิงหย่งต่อหน้าเพื่อนบ้านหลายคน” หญิงสาวเอียงศีรษะแล้วมองไปทางซ่งหานเจียง “คุณรู้ไหม สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วนี่เป็เื่ที่น่าอับอายมากขนาดไหน?”
ซ่งหานเจียงพูดตะกุกตะกัก “ผม...ผมรู้...”
“ไม่ คุณไม่รู้ ไม่ว่าเื่นี้จะจริงหรือไม่จริงพวกเพื่อนบ้านก็จะเอามันมาเป็หัวข้อซุบซิบอยู่ดี นับจากนี้ไป ฉันจะไม่ได้ถูกเรียกว่าซย่านีอีกต่อไปแต่จะกลายเป็หญิงที่พวกเพื่อนบ้านพูดว่าเพราะยัยคนนั้น ‘ประพฤติชั่ว’ ก็เลยถูกแม่สามีสงสัยว่าเป็ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[3] แทนอย่างไรเล่า!”
ซ่งหานเจียงกุมมือซย่านีไว้ ฝ่ามือของเขาอบอุ่นมาก สายตาก็เจือแววอ่อนโยน เขากล่าวกับหญิงสาวว่า “ซย่านี เื่นี้เป็ความผิดของแม่กับน้องสาวของผม คุณไม่ได้ผิดอะไรเลย ดังนั้นอย่ากลัวคำนินทาที่คนอื่นพากันซุบซิบเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้นคุณไม่จำเป็ต้องเก็บคำพูดของพวกเขามาใส่ใจเลย”
ซย่านีส่ายหน้าแล้วดึงมือออกมาพลางกล่าวว่า “คุณไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรที่เรียกว่าคำพูดคนเป็สิ่งน่ากลัว”
“ผม...”
“คุณไม่คิดจะถามฉันเลยหรือว่าทำไมฉันถึงไปบ้านพี่เฝิงหย่งทุกวัน?”
“ทำ...ทำไม?” ซ่งหานเจียงฉลาดมาก เพิ่งจะถามจบเขาก็ตอบคำถามเองเสร็จสรรพแล้ว เขาพึมพำว่า “เพราะ...เพราะไปทำยางรัดผมสินะ”
ซย่านีพยักหน้า “ใช่ เพื่อหาเงินอย่างไรเล่า” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยกล่าวว่า “่นั้น ฉันกับแม่คุณมีเื่ขัดแย้งกัน เธอไม่ยอมทำอาหารให้ฉันกับลูกแล้วก็ไม่ยอมให้ฉันใช้ห้องครัวเลย แม่ของคุณจงใจทำให้พวกเราต้องหิวโหย ฉันเองก็จนปัญญาจึงได้แต่ปล่อยให้พวกเด็กๆ กินแต่พออิ่ม...มีอีกหลายเื่ที่คล้ายกับที่ว่ามา คุณลองกลับไปถามแม่ของคุณดูก็ได้”
“ซ่งหานเจียง ฉันทนมามากพอแล้ว”
[1] หมากรุกห้าเม็ด 五子棋 คือ เกมหมากรุกเล่นบนกระดานโดยแบ่งเป็สองฝั่ง (ขาวกับดำ) เดินได้ทีละหนึ่งครั้ง และตัวเดินไม่สามารถย้ายที่หรือออกจากกระดานได้ ตัวดำเดินก่อนผู้เล่นวางตัวเดินบนตำแหน่งกระดานที่มีเส้นตัดกัน ผู้ชนะคือผู้ที่สามารถเรียงตัวเดินได้ 5 ตัวในแนวตั้ง แนวนอนหรือแนวทแยงมุม
[2] หมากรุกเขต 区字棋 คือ เป็เกมกระดานที่มีผู้เล่น 2 คน แต่ละฝ่ายมีตัวหมากรุก 2 ตัว ฝ่ายหนึ่งต้องจับอีกฝ่ายเท่านั้นจึงจะชนะ โดยวิธีการเล่นคือฝ่ายหนึ่งจะล้อมตัวหมากของฝ่ายตรงข้ามไว้ที่ "มุมตาย" ของกางเกง ซึ่งเรียกว่า "หมากรุกที่ตายแล้ว" ตัวหมากรุกที่ตายแล้วจะถูกเอาออกจนกว่าอีกฝ่ายจะไม่มีตัวหมากให้ขยับอีก
[3] ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง 红杏出墙 เป็สำนวนจีนหมายถึง หญิงที่มีสามีแล้วแต่มีชู้หรือหญิงที่คอยหว่านเสน่ห์แก่ชายอื่น
