หลังจากที่หลินหร่านคารวะซูชิงเฟิงในฐานะท่านอาจารย์เป็ที่เรียบร้อย ก็ได้เริ่มเข้าสู่การศึกษาด้านการแพทย์ในทันที
ห้องเรียนใช้พื้นที่ในโรงยาของซูชิงเฟิง
หลินหร่านไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลย เื่เกี่ยวกับอวัยวะและร่างกายของมนุษย์ เขาได้ศึกษาจนชำนาญมาจากตำราของผู้เป็มารดาแล้ว ก่อนที่ซูชิงเฟิงจะกลับมา เขาก็ได้ศึกษาไปจนถึงจุดฝังเข็มบนร่างกายของมนุษย์
การตรวจโรคในสมัยโบราณจะใช้วิธีตรวจสอบพื้นฐานโดยการสอบถาม สังเกตอาการ ฝังเข็มและกินยา
“เ้าจดจำสิ่งนี้ไว้” ซูชิงเฟิงอุ้มรูปปั้นสำริด แสดงจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์ที่สูงเท่าครึ่งตัวคนเข้ามาในห้อง “หุ่นจำลองคนอันนี้สามารถเปิดออกได้ ข้างในนี้มีการจำลองอวัยวะของมนุษย์ เ้าต้องจดจำทั้งหมด”
หลินหร่านมองไปทางหุ่นจำลองที่มีฝุ่นเกาะอยู่ชั้นหนึ่ง คาดว่าคงไม่ได้นำออกมาใช้งานนานแล้วกระมัง
“หุ่นจำลองอันนี้เขียนข้อมูลของจุดฝังเข็มบนร่างกายไว้ชัดเจน เ้าลองดูตำราเล่มนี้สิ จุดฝังเข็มแต่ละจุดมีจุดเชื่อมกับอวัยวะ แม้แต่ผลของการฝังเข็มและการรมยาก็ยังเขียนเอาไว้ชัด” ซูชิงยังเฟิงยื่นตำรา ‘จุดฝังเข็มของอวัยวะโดยละเอียด’ ที่มีความหนาสามนิ้ววางไว้ตรงหน้าหลินหร่านต่อ
หลินหร่านเบิกตากว้างพลางพลิกตำราตรงหน้าดู เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ตาราเล่มนี้ทั้งหนาและใหญ่ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ตัวอักษรในตำรากลับเล็กและมากมายจนตาลายไปหมด
“ข้าไม่เพิ่มภาระให้เ้าหรอก ภายในหนึ่งเดือน เ้าต้องจำจุดฝังเข็มของอวัยวะให้ได้ทั้งหมด สาเหตุและพื้นฐานง่ายๆ ของโรคที่สามารถมองเห็นได้ ่นี้หากมีอะไรที่ไม่เข้าใจก็มาถามข้า หากมีจุดไหนที่จำไม่ได้ก็มาหาข้าได้ ข้าจะช่วยหาวิธีทำให้เ้าจำได้เอง” เอ่ยไปไม่นาน ซูชิงเฟิงก็หยิบเข็มสีเงินออกมาจากไหนไม่รู้
หลินหร่านสะดุ้ง เขารีบหยิบตาราขึ้นมาทันทีพร้อมกล่าว “จำได้ ข้าต้องจำได้ขอรับ”
ซูชิงเฟิงถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ
พระชายาผู้นี้น่าขันยิ่งนัก แล้วยังเป็คนที่น่ารักเสียจริง ท่านอ๋องช่างโชคดีเหลือเกิน
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางฝังเข็มไปที่อีกฝ่ายอยู่แล้ว เพราะหากเขาฝังเข็มผิดพลาด มีหวังท่านอ๋องได้เอาชีวิตเขาเป็แน่
“เหอะ หึๆ ” จวินเชียนโม่ที่ในมือถือสุราชั้นดีมองมาทางซูชิงเฟิงที่ข่มขู่พระชายาตัวน้อย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่เขาก็ต้องรีบเงียบไปทันทีเมื่อเจอสายตาของซูชิงเฟิงที่จ้องมอง
หลังจากมอบหมายสิ่งต่างๆ ที่ควรจะให้หลินหร่านเป็ที่เรียบร้อย ซูชิงเฟิงก็เดินกลับไปประจำที่ของตนเองเพื่อทำการศึกษาโรคระบาดอย่างขะมักเขม้น
หากไม่มีการเทียบยาเพื่อใช้รักษาโรคนี้ วันดีคืนดีถ้าโรคนี้หวนกลับมาระบาดอีกครั้ง เกรงว่าชาวเมืองเขตผิงต้องทนทุกข์ทรมานอีกครา
แต่โรคระบาดในครั้งนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หากดูอย่างผิวเผินก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ติดเชื้อในปอด มีไข้สูงไม่ยอมลดเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่สิ่งที่ผิดปกติคือผู้ป่วยจะมีอาการฝ่ามือและฝ่าเท้าเย็น ิัเน่าเปื่อยอย่างรุนแรง อีกทั้งบริเวณิัที่เป็แผลเน่าเปื่อยก็มีความเสี่ยงในการติดต่อกันสูง
และสิ่งที่แปลกและทำให้รู้สึกขนลุกมากที่สุด นั่นก็คือผู้ที่ป่วยและตายอย่างกะทันหัน ยังไม่ทันได้รอให้ศพเน่าสลายไปทั้งหมด ศพนั้นกลับคลานออกมา แถมยังเดินเหินได้ทั้งๆ ที่หัวใจและชีพจรไม่ทำงานแล้ว
ราวกับซากศพไร้สติปัญญา ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนก็ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายในเมือง
อีกทั้งคนในครอบครัวของพวกเขากลับคิดว่าพวกเขายังไม่ตาย จากนั้นพาพวกเขากลับไปที่บ้าน เื่นี้จึงส่งผลให้มีคนติดโรคระบาดมากขึ้น
ซูชิงเฟิงเคยพบเจออาการคล้ายๆ กันนี้ซึ่งมีอยู่สองกรณี
ในกรณีแรก ตามตำราทางการแพทย์ได้ระบุเอาไว้ว่า ‘การแกล้งตาย’ เมื่อผู้คนอยู่ใน่ที่อ่อนแอ การเต้นของหัวใจและชีพจรจะอ่อนลงและหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ซึ่งคนทั่วไปจะไม่มีทางรู้ได้เลย แต่ในทางการแพทย์นั้นถือว่าเสียชีวิตแล้ว
ทว่าอันที่จริงคนผู้นั้นยังไม่ตาย เหมือนกับตอนที่ได้ยินเื่การฟื้นคืนชีพของหลินหร่าน เขาก็ใช้ทฤษฎีนี้มาอธิบาย
เท่ากับผู้ที่เดินพเนจรอยู่ในเขตเมืองผิงนั้นอาจเป็เพียงการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของร่างกายเท่านั้น
ในกรณีที่สอง ซูชิงเฟิงเคยเห็นอยู่ในบันทึกการเดินทางไปทางภูมิภาคตะวันตก ซึ่งในบันทึกได้เขียนเอาไว้ว่า ‘อยู่ที่แคบ ไร้ซึ่งลมหายใจ ไร้ซึ่งดวงตา ไร้ซึ่งจิติญญา ชีพจรหยุดนิ่ง ดูเหมือนกับมนุษย์ แต่เป็เพียงศพเดินได้’
บันทึกการเดินทางไปทางภูมิภาคตะวันตกอย่างกับหนังสือนิทาน ไม่มีการอธิบายที่ชัดเจน ดังนั้นบักทึกเล่มนี้จึงไม่ได้มีความน่าเชื่อถือนัก
อย่างไรก็ตาม ในบันทึกนั้นก็เป็เพียงการจดบันทึกที่ไม่ได้ระบุถึงสาเหตุหรือเหตุผลใด เพราะอย่างนั้น ซูชิงเฟิงจึงไม่ได้เชื่อในสิ่งที่อ่าน
เขาคงจะอ้างอิงได้ตามกรณีแรกเท่านั้นสินะ
ถ้าเช่นนั้น หากเป็ไปตามกรณีแรก หากว่าเกิดจากการที่คนเ่าั้มีร่างกายอ่อนแอ ทำให้ตรวจไม่พบชีพจร อย่างไรเขาก็ต้องมองออกอย่างแน่นอนว่าคนผู้นั้นตายหรือมีชีวิตอยู่
เขากล้าที่จะยืนยันได้เลยว่าผู้คนเ่าั้ตายไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เื่นี้จึงไม่อาจทำให้ซูชิงเฟิงวางใจลงได้
.........
อีกด้านหนึ่ง หลินหร่านกำลังอ่านตำราอย่างตั้งอกตั้งใจ
สองสิ่งที่ซูชิงเฟิงมอบให้ช่างเป็สิ่งล้ำค่าสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเรียนอย่างเขาเป็อย่างสูง ทั้งหุ่นจำลองมนุษย์และตำราที่เขียนแนะนำทุกอย่างไว้อย่างละเอียด
กระทั่งเวลาที่ซูชิงเฟิงไม่อยู่ หลินหร่านก็ศึกษาตำราไปไม่น้อย นอกจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างศึกษาเื่ราวของจุดฝังเข็มจะไม่ได้รับการไขข้อข้องใจแล้ว เื่อื่นๆ เขาก็ยังทำการจดบันทึกเกี่ยวกับข้อข้องใจไว้อีกด้วย
แต่วันนี้ พอมีตำราที่ซูชิงเฟิงเขียนออกมาด้วยตนเอง ทำให้เขาสามารถไขข้อข้องใจก่อนหน้านี้ไปได้จนหมด
เมื่อตั้งใจศึกษาตำราก็ทำให้่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับมื้อเที่ยง ซูชิงเฟิงได้ให้จวินเชียนโม่ออกไปซื้อมาและรับประทานด้วยกันสามคน
อาหารมื้อนี้ทำให้หลินหร่านเห็นจวินเชียนโม่คอยวอแวท่านอาจารย์ซูชิงเฟิงของเขาอยู่ตลอด
จวินเชียนโม่มีท่าทางดูเป็นักดาบที่แข็งแกร่ง แต่อีกฝ่ายกลับคอยดูแลอาหารการกินให้ซูชิงเฟิงด้วยท่าทีอ่อนโยน
กลัวว่าสิ่งที่ตนเองซื้อมาจะไม่ถูกปากคนงาม กลัวว่าซูชิงเฟิงจะกินไม่อิ่ม
“ชิงเฟิง นี่เป็อาหารทะเลที่ข้าให้คนนำมาให้จากชายฝั่งทางตะวันออกเชียวนะ เ้าลองกินดูสิ ไม่รู้แม่ครัวในเมืองหลวงจะทำอาหารรสชาติดีสู้สำนักเฉียนจวินของข้าได้หรือไม่”
หลังจากนั้น จวินเชียนโม่ก็แย่งถ้วยมาจากในมือของซูชิงเฟิงเพื่อตักซุปให้ “ยังมีอีก เ้าดื่มซุปร้อนนี่เยอะๆ มันช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเืและทำให้อายุยืน”
“พรวด” หลินหร่านที่นั่งกินข้าวไปด้วยแอบมองไปด้วยสำลักน้ำออกมา
อายุยืน? ท่านอาจารย์อาผู้นี้กำลังว่าท่านอาจารย์ของเขาอยู่หรือ?
“เ้าทำอะไรเนี่ย” การกระทำของหลินหร่านทำให้จวินเชียนโม่ละสายตาจากซูชิงเฟิงมาจ้องเขาทันที
อีกฝ่ายมองหลินหร่านเขม็ง เขาคิดมานานแล้วว่าเ้าเด็กน้อยคนนี้กำลังขัดขวาง่เวลาของเขากับซูชิงเฟิงอยู่
“ข้า...ข้าเปล่า ข้าขอโทษขอรับ” หลินหร่านถือชามข้าวพลางรีบเช็ดปากและเช็ดโต๊ะด้วยท่าทีลนลาน
ถึงอย่างนั้นซูชิงเฟิงก็โกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด ท่าทีสุภาพใจดีราวกับเทพบุตรไม่มีอีกแล้ว เวลานี้กลับพบเพียงความโกรธที่แสดงออกมาบนใบหน้าอย่างเด่นชัด
“พอได้หรือยัง?” ซูชิงเฟิงหันไปทางจวินเชียนโม่ที่กำลังดุลูกศิษย์ของตนอยู่
จวินเชียนโม่สงบนิ่งโดยพลัน
“เ้าถือถ้วยของตนเองแล้วไปโน่น” ซูชิงเฟิงบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไปไหน?”
“โน่น!” ซูชิงเฟิงชี้นิ้วออกไป “หน้าประตู นั่งยองกิน!”
“อย่าทำแบบนี้สิชิงเฟิง”
จวินเชียนโม่เข้าใกล้พร้อมเอ่ยกระซิบที่ริมหู “เ้าศิษย์ตัวน้อยของพวกเราอยู่ตรงนี้นะ ไว้หน้าให้ท่านอาจารย์อาเช่นข้าหน่อยไม่ได้หรือ?” จากนั้นก็ร้องขอ
แต่น่าเสียดาย ภายหลังที่สายตาของซูชิงเฟิงหันมาเหลือบมองเขา
“ได้เลย ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ก็เป็เช่นนั้น ประมุขของสำนักเฉียนจวิน ผู้ได้ฉายาว่าเป็ปีศาจเืเย็นแห่งเจียงหู ภายหลังเขาได้ยินคำพูดของภรรยาในอนาคต พลันรีบไปนั่งยองกินข้าวที่หน้าประตูอย่างเชื่อฟัง
ต่อมา หลังซูชิงเฟิงรู้สึกว่าข้างหูของตนเองเงียบลง เขาจึงลงมือรับประทานอาหารกับหลินหร่านต่ออย่างสบายใจ
-----------------------------------------------------
