ระหว่างทางที่หลี่หยางซื่อกลับจวนนั้น นางได้ใคร่ครวญคำพูดของกั๋วกงฮูหยินอยู่ตลอดเวลา แม่นางิเจี๋ยเอ๋อร์รูปร่างหน้าตางดงาม น้ำเสียงที่ใช้พูดจาอ่อนน้อม ช่างไพเราะน่าฟัง ดูแล้วมิใช่คนที่หย่อนยานมารยาทการอบรม และเมื่อได้ยินจงกั๋วกงฮูหยินพูดถึงอุปนิสัยด้านอื่นของนาง ก็ไม่ใช่แม่นางที่อ่อนแอเปราะบางไปเสียทีเดียว สถานการณ์ในจวนโหวในตอนนี้ใครจะกระจ่างแจ้งเท่าหลี่หยางซื่ออีกเล่า บุตรชายแต่งภรรยา นางไม่ขอความร่ำรวยเงินทอง ทว่าความสามารถและสติปัญญานั้นเป็สิ่งที่จะขาดไปมิได้ หากพูดจากใจจริงของนางแล้ว นางค่อนข้างพอใจกับการพบิเจี๋ยเอ๋อร์ในครั้งแรกนี้
อีกอย่าง หากบุตรชายได้แต่งงานกับนาง เท่ากับว่าครอบครัวของนางมีจงกั๋วกงฮูหยินคอยหนุนหลัง หากหลี่เหล่าไท่ไท่คิดอยากจะทำสิ่งใด ก็ต้องคำนึงถึงจงกั๋วกงฮูหยินผู้ซึ่งเป็สะใภ้ใหญ่ มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ ิเจี๋ยเอ๋อร์มีดวงกินสามี[1] การทาบทามการแต่งงานนั้นเกิดขึ้นมาแล้วถึงสองครั้ง จงกั๋วกงฮูหยินย่อมรู้ดี ดังนั้นจึงพูดจากันจนเป็ที่เข้าใจ ิเจี๋ยเอ๋อร์ยังเป็ถึงคุณหนูจากครอบครัวขุนนางขั้นห้า ครึ่งปีหลังบิดาของนางจะสอบเข้าบัณฑิต ด้วยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจวนจงกั๋วกง เื่กลับบ้านนั้นจึงถือว่าค่อนข้างเป็เื่ที่แน่นอนแล้ว
หลี่หยางซื่อเป็คนที่มองเหตุการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากิเจี๋ยเอ๋อร์ไม่มีดวงกินสามีเป็ตำหนิแล้วไซร้ ไฉนจะมาถึงบุตรชายของนางได้เล่า ตัวนางเองนั้นก็อยากจะกล่าวเหลือเกินว่าบุตรชายของตนคนนี้ประเสริฐเพียงใด ทว่าด้วยเป็คนร่างกายพิการเพียงจุดเดียวเท่านั้น ก็ต้องกล้ำกลืนคำว่าประเสริฐนั้นลงท้องไป ทั้งยังไม่สามารถทำให้ทัดเทียมกันได้
ดังนั้นสำหรับบุตรชายของนาง ิเจี๋ยเอ๋อร์จึงถือว่าเป็คู่ครองที่ดีมากแล้ว หลังจากที่เหล่าโหวเหฺยสิ้นบุญไปจวนโหวก็ไม่มีคุณงามความดีอะไรอีก ครั้งนั้นฮ่องเต้พระราชทานจวนโหวแก่พวกเขา หลังจากพวกเขาย้ายเรือนเข้ามาอยู่ก็เท่ากับเป็การแยกเรือนออกจากกัน มิได้้าทรัพย์สินของกองกลางแม้แต่ตำลึงเดียว ในส่วนของสินเ้าสาวของภรรยาเอกคนแรก หลี่เหล่าไท่เหฺยได้ใช้ไปจนหมดสิ้นั้แ่เมื่อครั้งรับราชการอยู่บ้านนอก ยังมีร้านค้าที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรอีกแห่งหนึ่งซึ่งได้ยกให้เป็สินเ้าสาวแก่พี่สาวของหลี่ซวี่เมื่อครั้งที่นางออกเรือนไป รวมไปถึงสินเ้าสาวอีกสิบแปดหาบนั้นด้วย เมื่อครั้งแยกเรือนออกจากจวนโหว มีเพียงสิ่งเดียวที่หลี่ซวี่้าก็คือเรือกสวนไร่นากว่าสองร้อยหมู่ที่เป็ของมารดาของเขา
หลี่ซวี่ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาสิบกว่าปี กลิ่นอายและรัศมีของชายชาติทหารที่มีอยู่ในตัวของหลี่ซวี่นั้นแม้แต่ตัวหลี่เหล่าไท่เหฺยผู้เป็พ่อเองก็ยังกริ่งเกรง ผนวกกับตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาและการเป็คนโปรดของฮ่องเต้แล้ว ลูกหลานรุ่นต่อไปของสกุลหลี่ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเขาจึงจะมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ ดังนั้นเมื่อเขา้าของที่เป็ของมารดาผู้ให้กำเนิด หลี่เหล่าไท่เหฺยจึงเป็ผู้ตัดสินใจให้ตามที่เขา้า สิ่งของเ่าั้ไม่มีราคามากนัก หลี่เหล่าไท่ไท่ผู้เป็มารดาเลี้ยงจึงมิได้ติดใจอันใด
ต่อมา ภายใต้การยุยงเสี้ยมสอนจากหลี่เหล่าไท่ไท่ ทำให้หลี่ไท่เหฺยใช้คำว่ากตัญญูย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนโหว ทว่าทรัพย์สินกองกลางของสกุลหลี่และทรัพย์สินกองกลางของจวนโหวนั้นแยกออกจากกัน หลี่หยางซื่อเป็คนฉลาดเฉลียว กว่าจะแยกเรือนออกมาได้นั้นมิง่ายดาย หากยังให้ใช้กองกลางรวมกันอีกมิใช่โง่เขลาหรือไร?
ดังนั้นในตอนนี้คนบ้านสกุลหลี่ในจวนจงหย่งโหวจึงรับเงินรายเดือนจากเงินกองกลางของจวนสกุลหลี่ และคนในจวนโหวรับเงินเดือนจากเงินกองกลางของจวนโหว
ปีนั้นเมื่อแยกเรือนออกมาหลี่ซวี่ยังได้เชิญจงกั๋วกงมาด้วย จงกั๋วกงคือหัวหน้าครอบครัวของสกุลหลี่
ตอนนี้หลี่ซวี่ตายไปแล้ว ต่อให้หลี่หยางซื่อต้องเฝ้าทรัพย์สินเหล่านี้ไปจนตาย นางก็จะมิยอมให้สกุลหลี่มาเปลี่ยนความคิดนาง แต่ทว่ายังหาเด็กคนนั้นไม่พบ...หลี่หยางซื่อหวังเป็อย่างยิ่งว่าเด็กคนนั้นจะปรากฏตัวออกมาในเร็ววัน แต่หากเด็กคนนั้นปรากฏกายขึ้น ทุกๆ อย่างในจวนโหวล้วนต้องตกเป็ของเขา หลี่หยางซื่อเองได้ตระหนักถึงข้อนี้นานแล้ว เด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบ ตนเองนั้นเป็มารดาใหญ่ หากนางจะควบคุมเขาก็ไม่มีปัญหาอันใด ส่วนความจริงที่ว่าจวนโหวควรจะเป็ของบุตรชายนาง นางทำใจยอมรับได้นั้นเป็เื่หนึ่ง แต่ความคิดในใจของนางจริงๆ นั้นก็เป็อีกเื่หนึ่ง
ต่อให้เลี้ยงเขาให้ดีกว่านี้ สนิทชิดเชื้อกว่านี้ อย่างไรเสียก็มิใช่เบ่งออกมาจากจากครรภ์ของตัวเองอยู่ดี
จี้หมัวมัวและหลี่หยางซื่อลงจากรถม้า มองไปเห็นภรรยาของจี้ซิ่นรออยู่หน้าประตูอย่างร้อนอกร้อนใจ จี้ซิ่นเป็บุตรชายของจี้หมัวมัว ตอนนี้ดูแลกิจการจากสินเ้าสาวของหลี่หยางซื่อ ส่วนภรรยาของจี้ซิ่นมีหน้าที่ดูแลห้องครัวของจวนโหว
“ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเ้าค่ะ บุตรชายของราชองครักษ์[2]หลี่มาส่งข่าวแล้วเ้าค่ะ” ภรรยาจี้ซิ่นเดินเข้ามาหา
หลี่หยางซื่อตะลึง “ที่เ้าพูดถึงคือราชองครักษ์หลี่จงิน่ะรึ?”
“เ้าค่ะ” ภรรยาจี้ซิ่นมีท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย ราชองครักษ์หลี่เป็คนของเหล่าโหวเหฺย ในหลายปีมานี้เขาอยู่ข้างนอกทำอะไรนั้นทุกคนต่างก็รู้ดี ข่าวสารที่เขานำกลับมาคืออะไร พวกเขาที่เป็คนรับใช้ข้างกายฮูหยินย่อมเข้าใจดี
“เร็วเข้า...รีบเชิญมาเร็วเข้า” นาทีนี้ ณ เวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงแค่เด็กคนนั้นยังมีชีวิต นางจึงจะสามารถปกป้องรักษาชื่อเสียงและเกียรติยศของจวนโหวเอาไว้ได้ นางเป็มารดาใหญ่ของเด็กคนนั้น ไม่ว่าเด็กคนใดที่ถูกยกมาให้เป็บุตร ต่างก็เป็ผู้อื่นทั้งสิ้น
บุตรชายคนโตของหลี่จงิชื่อว่า หลี่ฉางเฉิง ปีนี้เป็ชายหนุ่มอายุสิบห้าปี แต่เนื่องด้วยฝึกยุทธ์ติดต่อกันมาเป็เวลานาน จึงดูสูงกว่าเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกัน เขายืนตัวตรงอกผายไหล่ผึ่ง มองไปแล้วก็ทราบว่าได้รับการอบรมและการฝึกปรือมาอย่างดี เมื่อพบหลี่หยางซื่อก็แสดงการคารวะต่อผู้าุโ “ฮูหยิน ข้าได้รับคำสั่งจากท่านพ่อ นี่คือจดหมายที่ท่านพ่อส่งมาขอรับ”
หลี่หยางซื่อเปิดผนึกจดหมาย “เด็กคนนั้นมาถึงเมืองหลวงวันนี้?” หลี่จงิคนนี้ก็ช่างคิดรอบคอบยิ่งนัก รอจนกระทั่งหาเด็กคนนั้นพบจึงแจ้งข่าวมา นี่คงจะเป็การรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทางให้กับเด็กคนนั้น
“ขอรับ ท่านพ่อและเสี่ยวโหวเหฺยเข้าวังเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้แล้วขอรับ” หลี่ฉางเฉิงตอบ
หลี่หยางซื่อได้ยินคำที่หลี่ฉางเซิงเรียกขานเด็กคนนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ครั้นแล้วจึงกล่าวยิ้มๆ “ต้องลำบากราชองครักษ์หลี่แล้วจริงๆ ข้าจะรีบสั่งการให้ข้ารับใช้ไปทำความสะอาดเรือนหลัก” เสี่ยวโหวเหฺยก็มิใช่เสี่ยวโหวเหฺยหรอกหรือไร? สี่ปีก่อนฮ่องเต้ได้มีพระราชโองการในงานศพของหลี่ซวี่ กระทั่งหลี่จงิยังได้เอ่ยถึงในจดหมายนี้ ปีนั้นเสี่ยวโหวเหฺยหายสาบสูญ คนของหลี่ซวี่เป็ผู้อุ้มเสี่ยวโหวเหฺยกลับบ้าน สี่ปีนี้ตัวเขาและองค์ฮ่องเต้ต่างทำการสืบหาตัวอย่างลับๆ เพื่อเป็การรักษาความปลอดภัยให้แก่เด็กคนนั้น
จึงกล่าวได้ว่า ที่ว่าหายสาบสูญไปนั้น ที่แท้จริงแล้วเป็เื่โกหกหลอกลวงทั้งเพ สายเืของเด็กคนนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามคลางแคลงใจสงสัยใดๆ สี่ปีที่ไม่ได้กลับมานั้น อาจจะเป็เพราะว่ามีสาเหตุอื่นๆ ภายในครอบครัว แต่ทว่าตอนนี้เวลาสี่ปีนั้นครบแล้ว จะหายสาบสูญต่อไปมิได้ จำต้องปรากฏตัว
ช่าง...ช่างเป็การวางแผนที่รอบคอบเสียเหลือเกิน
[1] เค่อฟู (克夫) หมายถึง หญิงที่มีดวงกินชะตาแข็งกว่าดวงของฝ่ายชาย หากแต่งงานกัน ฝ่ายชายมักจะมีอันเป็ไป หรือชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ
[2] ราชองครักษ์ (侍卫) แบ่งเป็สามขั้นด้วยกัน
1) ซื่อเว่ย หรือราชองครักษ์ชั้นหนึ่ง หมายถึง หัวหน้าราชองครักษ์ หรือเรียกอีกอย่างว่าโถวเติ่งซื่อเว่ย (头等侍卫) หมายถึงราชองครักษ์ เป็ขุนนางชั้นสาม เทียบได้กับผู้ว่าราชการมณฑล
2) ราชองครักษ์ชั้นสอง เป็ขุนนางขั้นสี่
3) ราชองครักษ์ชั้นสาม เป็ขุนนางขั้นห้า