ผ่านไปอีกสามวัน อำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลางของเย่เฟิงก็เริ่มเสถียรภาพ เขาจึงจะหยุดการตระหนักรู้ไว้เท่านี้
ตอนนี้เย่เฟิงััได้ชัดเจนว่าประสิทธิภาพในการตระหนักรู้ของเขาในสระน้ำแห่งนี้ลดลงมาก แม้จะใช้เวลาในการตระหนักรู้มาก แต่ก็ไม่มีผลอะไรอีกแล้ว ดังนั้นเย่เฟิงจึงจบการตระหนักรู้ก่อนจะออกจากสระน้ำ โดยมีวิไลคู่ไฟน้ำแข็งมาต้อนรับ
“ยินดีกับเ้าด้วย!” หญิงธาตุไฟกล่าวขึ้น
“ก็แค่เป็เื่บังเอิญเท่านั้น”
เย่เฟิงกล่าวเสียงเบา จากนั้นกวาดตามองหญิงทั้งสองคน ก่อนกล่าวต่อว่า “ข้าจะไปแล้ว องค์กรลับอย่างพันธมิตรชาเซวี่ยไม่คุ้มให้อาลัยอาวรณ์ หวังว่าพวกเ้าจะดูแลตัวเอง!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น เย่เฟิงหมุนตัวเตรียมจะจากไป แม้เขาไม่อยากทำให้พวกนางลำบากใจ แต่เขารู้ว่าตัวเขาและนักฆ่าของพันธมิตรชาเซวี่ยเหล่านี้ไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน นับจากนี้ไปคงไม่มีทางคบค้าสมาคมด้วย
“ต่อไปพวกเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม?”
หญิงทั้งสองเห็นเย่เฟิงจะไปก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เพราะรู้สึกอะไรกับเย่เฟิง แต่เป็เพียงการชื่นชมเย่เฟิงเท่านั้น พวกนางกลัวว่าหลังจากแยกกับเย่เฟิงก็จะไม่เจออัจฉริยะที่กล้าหาญเช่นนี้อีก
“หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก!”
หลังจากเย่เฟิงทิ้งคำพูดนั้นไว้ เขาก็ทะยานร่างออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ระหว่างเดินทางกลับโยวโจวครั้งนี้ เย่เฟิงพบสระน้ำที่น่ามหัศจรรย์ ด้วยความมหัศจรรย์ของสระน้ำ เย่เฟิงไม่เพียงแต่ยกระดับตบะเป็ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่ยังทำให้อำนาจฟ้าดินของตนที่หาหนทางเลื่อนขั้นไม่ได้ สามารถเลื่อนขั้นได้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้นเขายังได้รับเหล็กนิลหยกจากหานิมาอีก การเดินทางครั้งนี้ถือว่าไม่เสียแรงเปล่า
เย่เฟิงใช้เวลาสองวันกว่าจะกลับถึงโยวโจว ซึ่งเขาออกจากโยวโจวมาเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้โยวโจวเปลี่ยนไปมาก ผู้คนสัญจรไปมามีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่า จนััได้ถึงความเจริญรุ่งเรือง
การรักษาความปลอดภัยจึงเข้มงวดขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็เท่าตัว เห็นได้ชัดว่าภายใต้การปกครองของเมืองหลวงแห่งไท่โยวเก้าเขต ทำให้เมืองที่อยู่ห่างไกลความเจริญแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
มีสิ่งปลูกสร้างมากมายผุดขึ้นมาใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ของเมืองโยวโจวในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามมีจวนขนาดใหญ่ผุดขึ้นที่ใจกลางเมืองโยวโจว ภายในจวนมีสิ่งปลูกสร้างที่งดงามตระการตาหลายหลัง แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความรุ่งเรือง
ผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่เพียงแต่ทรงพลัง คนธรรมดาเองก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้ รวมทั้งความเร็วในการก่อสร้างยังเร็วกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่า
ปกติแล้วคนทั่วไปมักจะทำการก่อสร้างจวนที่โอ่อ่าประมาณหนึ่งปี แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์สายช่างฝีมือใช้เวลาเพียงเดือนกว่าเท่านั้นก็เสร็จสิ้นแล้ว และไม่ว่าจะเป็กรรมวิธีหรือคุณภาพก่อสร้างก็ไม่ใช่สิ่งที่ช่างฝีมือทั่วไปจะเทียบเคียง ทำให้ผู้คนรู้ว่าโลกใบนี้ทรงพลังมากเกินไป
นอกจากนี้แผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือประตูจวนยังสลักสี่ตัวอักษรใหญ่ว่า จวนคังผิงโหว ซึ่งสี่ตัวอักษรนี้ถูกสร้างขึ้นจากทองคำ ซึ่งมีมูลค่าสูงและแฝงด้วยความน่าเกรงขาม
เมื่อผู้คนเดินผ่านหน้าทางเข้าของจวน พวกเขาก็มักจะมองด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
“ท่านโหวเย่ว์เกรงขามยิ่งนัก นี่เป็จวนที่โอ่อ่าที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาในชีวิตนี้ แม้แต่วังหลวงที่องค์าาปัจจุบันอาศัยอยู่ก็ยังสู้ไม่ได้!” คนผู้หนึ่งเดินผ่านหน้าจวนคังผิงโหวก็กล่าวเช่นนั้นด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
“มันแน่อยู่แล้ว คังผิงโหวเป็ผู้มีอำนาจล้นฟ้า เป็ดั่งเทพเ้าที่อยู่ในใจของชาวไท่โยวเก้าเขต” คนข้าง ๆ กล่าวสรรเสริญเช่นกัน ซึ่งบทสนทนาของทั้งสองคนดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างหลายคน จึงมีคนไม่น้อยเดินมาทางนี้และเริ่มพูดคุยเื่ของคังผิงโหว
“พวกเ้ารู้ตัวตนของท่านโหวเย่ว์หรือไม่?”
“ได้ยินมาว่าเมื่อสองปีก่อนเย่เฟิงทายาทตระกูลเย่ถูกตระกูลหนานกงถอนหมั้น หลังจากคนคนนี้ออกจากตระกูลหนานกงก็เข้าสู่เมืองหลวงตัวคนเดียว ซึ่งเขาเผยพร์ที่น่าทึ่ง ไม่ถึงสองปีเขาไม่เพียงแต่ชิงอันดับหนึ่งของงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนและงานชุมนุมหวงปั่ง แต่ยังเอาชนะอัจฉริยะทั่วแดนชิงอวิ๋นที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่จนได้เป็ราชบุตรเขตและถูกแต่งตั้งเป็คังผิงโหว ได้รับศักดินาที่ดินไท่โยวเก้าเขต นับแต่นั้นเขาก็กลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดที่มีอำนาจล้นฟ้า เมื่อเทียบกับความรุ่งโรจน์ของท่านโหวเย่ว์ หนานกงหลิงซวงแห่งตระกูลหนานกงก็เทียบไม่ติดเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็พร์หรือฐานะก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว ส่วนเฉินอ้าวเทียนที่ทำให้หนานกงหลิงซวงทอดทิ้งท่านโหวเย่ว์ เขากลับถูกท่านโหวเย่ว์ทำลายตบะในงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจนกลายเป็คนไร้ค่า และอยู่คนละชั้นกับท่านโหวเย่ว์ แต่ก็น่าขันนักที่ตระกูลหนานกงทอดทิ้งัในหมู่มนุษย์อย่างท่านโหวเย่ว์ไปเสียได้ ช่างมีตาหามีแววไม่!”
“ใช่ ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านโหวเย่ว์กลับมาที่ตระกูลหนานกง แต่ตระกูลหนานกงกลับพยายามลงมือฆ่าท่านโหวเย่ว์ ผลสุดท้ายเป็ฝ่ายอับอายขายหน้าเสียเอง แม้แต่หนานกงเฉินผู้นำตระกูลหนานกงก็ตัดแขนตัวเองเพื่อเป็การลงโทษ จึงจะได้รับการอภัยจากท่านโหวเย่ว์ ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุดหย่อน ดูถูกตระกูลหนานกงว่าไร้ค่า แต่พวกเขาพูดความจริงทั้งหมด บัดนี้เย่เฟิงคือสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งไท่โยวเก้าเขต ที่ไม่มีผู้ใดกล้าลบหลู่ความเกรงขามของเขา
ขณะเดียวกันมีรถม้าคันหนึ่งมาทางนี้ ซึ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้หนึ่งกำลังมองจวนคังผิงโหวผ่านทางหน้าต่างของรถม้าด้วยสายตาสับสน บทสนทนาที่ผู้คนตามท้องถนนพูดคุยกันก็ล้วนผ่านเข้ามาในหูของนางทั้งสิ้น จึงทำให้นางใเล็กน้อย
“พวกแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอาแต่พูดจาเหลวไหล คุณหนูโปรดอนุญาตให้ข้าน้อยลงไปสั่งสอนพวกเขา!”
บนรถม้า ทหารยามผู้หนึ่งกล่าวกับหญิงสาวด้วยความโมโห
“ไม่ต้อง ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ตระกูลหนานกงข้าเคยทำเื่ไม่ดีไว้มาก พวกเขาจะนินทาก็เป็เื่สมควรแล้ว” หญิงสาวกล่าวพลางส่ายหน้าพร้อมเผยสีหน้าเยาะเย้ยตัวเอง
ทหารยามผู้นั้นได้ยินคำพูดของหญิงสาวก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ตระกูลหนานกงคือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองโยวโจว แต่จะถูกผู้อื่นดูิ่ได้อย่างไร? หลังจากเย่เฟิงกลับเมืองโยวโจว ตระกูลหนานกงก็ถูกหัวเราะเยาะไม่เคยหยุด แต่ในเมื่อคุณหนูกล่าวเช่นนั้น ทหารยามก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาทำได้เพียงกล้ำกลืนความโมโหลงไป
หญิงสาวผู้นี้คือหนานกงหลิงซวงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกง บัดนี้หนานกงหลิงซวงสูญเสียความเฉิดฉายในอดีตไปแล้ว แม้กระทั่งความเย่อหยิ่งและความยโสโอหังก็ถูกขจัดออกไปทั้งหมดด้วยความจริงที่อยู่ตรงหน้านี้ นางไม่ใช่หนานกงหลิงซวงคนเดิม หากให้โอกาสนางอีกสักครั้ง นางไม่มีทางปล่อยเย่เฟิงและจะคอยสนับสนุนเย่เฟิงอยู่เื้ั
แต่เวลามิอาจย้อนกลับไปได้ สิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ถือว่าสูญเสียไปตลอดกาล
เย่เฟิงไม่รู้เื่ทุกอย่างนี้ เพราะตอนนี้เขาถูกทหารยามกลุ่มหนึ่งของจวนคังผิงโหวคอยคุ้มกัน จึงได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย
เมื่อกลับถึงจวนคังผิงโจว เย่เฟิงก็เดินดูรอบ ๆ และรู้สึกพอใจอย่างมาก ทุกอย่างเป็ไปตามความ้าของเขา ค่ายกลที่เขากางก่อนหน้านี้เริ่มสำแดงศักยภาพ ทำให้จวนคังผิงโหวในเวลานี้เต็มไปด้วยหยวนชี่ฟ้าดินบริสุทธิ์ประหนึ่งแดน์ก็ไม่ปาน ซึ่งเหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ที่จะบำเพ็ญตบะเป็เวลานาน และยังช่วยให้การบำเพ็ญตบะเร็วขึ้น
“เย่เฟิงเ้ากลับมาแล้ว!”
จ้าวซินอี๋ได้ยินว่าเย่เฟิงกลับมาแล้วก็รีบมาหาเขาทันที พร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสุกสกาวสดใส นางไม่เจอเย่เฟิงมาเกือบสองเดือนก็ย่อมคิดถึงเป็ธรรมดา แม้รู้ว่าเย่เฟิงไปที่เมืองชิงโจวจะไม่มีอันตรายมากนัก แต่ตราบใดที่เย่เฟิงไม่กลับมาหนึ่งวัน นางก็จะคอยเป็ห่วงเย่เฟิงอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งตอนนี้เย่เฟิงปรากฏตัวตรงหน้านาง ทำให้นางขจัดความกังวลออกไปได้
“ซินอี๋ เ้าสบายดีไหม?” เย่เฟิงเอ่ยถามจ้าวซินอี๋พลางในใจอดรู้สึกผิดต่อจ้าวซินอี๋ไม่ได้
ั้แ่จ้าวซินอี๋และเย่เฟิงมาที่ไท่โยวเก้าเขต เย่เฟิงไม่มีเวลาให้อีกฝ่ายเลย เพราะส่วนใหญ่เขาจะอยู่แต่ข้างนอก เขาจึงรู้สึกว่าตนนั้นได้ละเลยหญิงผู้นี้
“ข้าสบายดี คนของที่นี่ดูแลข้าเป็อย่างดี เ้าสบายใจได้” จ้าวซินอี๋พยักหน้า แต่ในดวงตาคู่งามของนางแฝงด้วยความขุ่นเคืองก่อนพูดต่อไป “แต่ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเ้าบ้างที่ข้างนอกนั่น?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วจาง ๆ “ข้าจะมีอะไรได้ แต่ข้าจะเล่าให้เ้าฟัง”
จ้าวซินอี๋มองค้อนเย่เฟิงหนึ่งที แม้นางดูขุ่นเคือง แต่ก็เปี่ยมด้วยเสน่ห์ “สองวันก่อน มีแม่นางผู้หนึ่งมาที่จวนคังผิงโหวและตามหาเ้า แต่พอข้าพบนาง นางก็หมดสติไปแล้ว ดูเหมือนว่าคงเจอเื่ลำบากมามากกว่าจะถึงเมืองโยวโจว ตอนนี้นางฟื้นแล้ว ข้าถามที่มาของนาง แต่นางกลับ้าพบเ้าก่อนจึงจะบอก”
จ้าวซินอี๋กล่าวเสียงเบา ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาไม่ชอบราวกับกำลังจับชู้ก็ไม่ปาน แต่ไม่รู้ว่าใครกันที่มาตามหาเขา และดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้
“พูดมา เ้าไปหว่านเสน่ห์ไว้ที่ข้างนอกนั่นใช่หรือไม่ ยั่วยวนแม่นางบ้านไหนไว้ นางถึงกับตามมาถึงที่!”
ขณะที่จ้าวซินอี๋มองหน้าเย่เฟิงก็ทำปากยื่น ดวงตาคู่งามก็เปลี่ยนไปฉายแววเฉียบคม ก่อนจะซักถามเย่เฟิงเช่นนั้น
“เอ่อ...”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็มีรอยหยักสีดำหลายเส้นปรากฏบนหน้าผาก ก่อนจะกล่าวขึ้นพลางเกาหัว “นางอยู่ที่ใด? พาข้าไปพบนางที”
“ตามข้ามา”
จ้าวซินอี๋เดินนำหน้าไป ส่วนเย่เฟิงก็เดินตามหลังนาง ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงเรือนพักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอมลอยโชยมา
ภายในเรือนพัก หลันเซียงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ขอบเตียง ตอนนี้นางฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสลและเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย ซึ่งนางยังคงงดงามเช่นเดิม เพียงแต่เวลานี้นางดูเป็กังวลเล็กน้อย
