บนตั่ง?
เสี่ยวหมานและอาฝูมองตากันด้วยความฉงน เห็นเครื่องหมายคำถามในแววตาของอีกฝ่าย ตั่งคือสิ่งใด? แคว้นเป่ยเฉินของพวกนางมีสิ่งที่เรียกว่าตั่งด้วยหรือ? ใช้ทำอะไร?
เมื่อหลายวันก่อนซ่งอวี้เพิ่งก่อตั่งเสร็จ คนทั้งแคว้นเป่ยเฉินล้วนไม่รู้จักตั่ง ดังนั้นจึงเป็เื่ธรรมดาที่เสี่ยวหมานและอาฝูจะไม่รู้ว่าตั่งคืออะไรกันแน่
ซ่งอวี้พาทั้งสองคนไปที่ข้างตั่งแล้วเอ่ยบอก "นี่คือตั่ง ตอนข้าก่อตั่งนี้ ข้าก่อให้มีขนาดใหญ่ แม้จะเพียงครึ่งหนึ่งก็พอนอนแล้ว ตรงกลางวางโต๊ะเล็กๆ กั้นไว้ พวกเ้านอนอีกข้างหนึ่ง" แบ่งตั่งเป็ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา หลังจากยกพื้นที่ครึ่งหนึ่งให้พวกนาง ซ่งอวี้ก็เริ่มอธิบายว่าตั่งคืออะไร "ตั่งนี้ทำจากดินแดง ด้านล่างว่างเปล่า สามารถจุดฟืนใต้ตั่งได้เพื่อให้เกิดความร้อน แม้จะจุดตลอดทั้งคืนฟืนก็ไม่มอดดับ อีกทั้งตั่งก็จะอุ่นตลอดเวลา"
พูดถึงตรงนี้สาวใช้ทั้งสองคนก็เข้าใจข้อดีของตั่งแล้ว ยุคสมัยนี้ไม่มีวิธีดีๆ ในการช่วยเพิ่มความอบอุ่นนอกจากเตาเผาฟืนชั้นดีในห้อง แต่นั่นก็ไม่อาจเผาเป็เวลานานได้ มิเช่นนั้นคนในห้องจะขาดอากาศหายใจตายได้
โดยเฉพาะตอนนอน นอกจากอาศัยภูมิต้านทานของร่างกายแล้วจะอาศัยสิ่งใดได้อีก
มีคนมากมายหนาวตายเพราะไม่มีเครื่องนุ่งห่มมากพอ แต่หลังจากมีตั่งเหตุการณ์เช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก ขอเพียงนอนบนตั่งที่มีการเผาฟืนก็จะอบอุ่นจนถึงวันที่สอง ใช้ดียิ่งนัก
คุณหนูบอกว่านางเป็คนก่อตั่งนี้ขึ้นมา ดังนั้นตั่งนี้คุณหนูคิดเองหรือ? เสี่ยวหมานและอาฝูไม่เข้าใจหลักปัจจัยสี่ รู้สึกเพียงว่าซ่งอวี้คิดค้น 'เตียง' ที่ใช้ดีเช่นนี้ขึ้นมาได้ ช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
อีกทั้ง เตียงที่มีชื่อเรียกว่า 'ตั่ง' นี้ ยังมีที่ว่างให้พวกนางนอนด้วย ซ่งอวี้เป็คนฉลาด เห็นใจทาสรับใช้ การที่ได้พบเจอเ้านายเช่นนี้ พวกนางช่างโชคดีจริงๆ ทันใดนั้นเองพวกนางก็พลันไม่กังวลชีวิตในอนาคตแล้ว คุณหนูต้องเป็เ้านายที่ดีมากแน่นอน
ซ่งอวี้จัดหาที่พักให้พวกนางเสร็จแล้ว อธิบายงานที่ต้องทำในทุกวันให้พวกนางฟัง รวมถึงบอกพวกนางว่าข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เก็บเอาไว้ที่ใด ให้เงินเดือนพวกนางเดือนละเท่าใด มีเงินใช้จ่ายเท่าใด บอกพวกนางอย่างละเอียด ทั้งหมดนี้วันข้างหน้าจะให้พวกนางคอยดูแล เื่ยิบย่อยในชีวิตก็ให้พวกนางทำ นับจากนี้ซ่งอวี้แค่ทำเื่ของตนเองก็พอแล้ว สบายขึ้นมาก
โดยเฉพาะเสี่ยวหมาน ถึงแม้นางจะเป็คนกินเก่งกินมากกว่าคนปกติ แต่นางก็เป็คนแรงเยอะสามารถหามก้อนหินหนักหนึ่งร้อยจินได้สบายๆ กล่าวได้ว่ามีพลังของเทพแต่กำเนิด แต่หากเพียงมองหน้านางยากที่จะบรรยายยิ่งนัก ์ นางมีดวงหน้าเหมือนเด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มวัย แก้มตุ้ยนุ้ยของนางน่ารักยิ่งนัก!
คำศัพท์หนึ่งในยุคปัจจุบันแล่นเข้ามาในความคิดของซ่งอวี้ 'คิงคองบาร์บี้'
อาฝูและเสี่ยวหมานต่างเห็นค่างานนี้ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงตั้งใจฟังมาก เวลาเพียงไม่นานก็เข้าสู่การทำงานด้วยความขะมักเขม้น
ซ่งอวี้เรียกโจวจื้อหย่วนเข้าไปในห้องตามลำพัง เมื่อจับชีพจรให้เขาหัวใจนางก็หล่นวูบ เป็จริงตามคาด ตามที่นางคิด ป่วยเป็โรคนั้นจริงๆ
เหตุเพราะกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นั้แ่เล็กจนโต ร่างกายของบางคนจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของโรค ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็โรคอะไร บอกได้เพียงว่าเป็การกลายพันธุ์
ปวดกระดูก เืกำเดาไหล ทั้งยังชักกระตุกเป็ครั้งคราว ถึงขั้นเพราะอาการของโรคทำให้การตอบสนองของระบบประสาทช้า สมองเจริญเติบโตได้ไม่ดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เพราะปัจจัยที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ดังนั้น แม้จะเป็ซ่งอวี้ก็ต้องคิดพิจารณาครู่หนึ่ง ความเป็จริงในโลกยุคปัจจุบันมียาที่สามารถบรรเทาอาการของโรคนี้ได้ นางตั้งใจจะไปเก็บสมุนไพรบนหุบเขาในวันพรุ่งนี้มาลองใช้ตำรับยานี้ดู
หลังจากอาฝูทราบเื่ นางร้องไห้แล้วกอดโจวจื้อหย่วนพูดพึมพำ "จื้อเอ๋อร์ พวกเราสองคนแม่ลูกพบเจอคนดีแล้ว...คุณหนูจิตใจดี ใส่ใจเื่ของเ้า หากวันข้างหน้าเ้าประสบความสำเร็จต้องตอบแทนคุณหนู เข้าใจหรือไม่"
โจวจื้อหย่วนตอบสนองช้า ตอนที่ััได้ถึงน้ำตาอุ่นๆ หยดลงบนใบหน้าของตน เขาเพิ่งรู้ตัวว่ามารดากำลังร้องไห้ โจวจื้อหย่วนยกมือขึ้นตบหลังมารดาเบาๆ "ท่านแม่อย่าร้องไห้ จื้อเอ๋อร์จะเชื่อฟังทุกอย่างขอรับ"
ซ่งอวี้เดินออกไปจากห้องเงียบๆ ทว่าภายในใจของนางกลับทุกข์ระทม ช่างเถอะ ข้าจะลองรักษาอย่างสุดความสามารถ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเมินเฉยได้
วันถัดมา ตอนเช้ามืด ซ่งอวี้ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสี่ยวหมานและอาฝูตื่นก่อนนานแล้ว
"เหตุใดคุณหนูจึงไม่นอนนานกว่านี้อีกสักหน่อยเ้าคะ? เวลานี้อากาศเริ่มหนาวแล้วควรจะนอนอีกสักหน่อยเ้าค่ะ งานในเรือนให้ข้ากับเสี่ยวหมานดูแลเอง" อาฝูทำความเคารพซ่งอวี้ ยกน้ำเข้ามาเพื่อปรนนิบัติรับใช้ ให้ซ่งอวี้ล้างหน้าแปรงฟัน
ซ่งอวี้ไม่เคยเห็นการกระทำเช่นนี้มาก่อนจึงรีบพูดปฏิเสธ วิถีชีวิตเลวร้ายเช่นนี้นางต้องเตรียมใจก่อนจึงจะเคยชิน
"พวกเ้าไปทำงานของตนเองเถอะ วันนี้ข้าจะขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนหุบเขา ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด ไม่ต้องทำอาหารเผื่อข้าและไม่ต้องรอข้า พวกเ้าทานกันเองก็พอแล้ว"
การตัดสินใจนี้ทำให้อาฝูและเสี่ยวหมานคัดค้าน พวกนางบอกว่า อาฝูทำงานบ้านได้ แต่เสี่ยวหมานต้องตามซ่งอวี้ไป นางเป็คนแรงเยอะ สามารถปกป้องซ่งอวี้ในป่าได้
เดิมทีซ่งอวี้จะปฏิเสธ แต่เมื่อครุ่นคิดดูแล้วก็คล้อยตาม วรยุทธ์ของเสี่ยวหมานไม่เลวจริงๆ ครั้งแรกที่ตนเห็นนางทุบก้อนหินด้วยมือข้างเดียวก็ใยิ่งนัก เทียบกับสตรี 'บอบบางไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้' เช่นนาง การมีเสี่ยวหมานอยู่ด้วยยิ่งทำให้รู้สึกปลอดภัย
ด้วยเหตุนี้ จากเดิมที่จะขึ้นเขาตามลำพังก็กลายเป็สองคน อาฝูทำอาหารแห้งให้พวกนางห่อไป เมื่อเป็เช่นนี้ยามหิวก็มีอาหารรองท้อง
สุดท้าย...แค่อาหารก็หนักประมาณสามจินแล้ว...ถึงแม้ครึ่งหนึ่งจะเป็อาหารของเสี่ยวหมาน แต่ก็ทำให้ซ่งอวี้ในึกถึงคนที่กินอาหารถ่ายทอดสดในยุคปัจจุบันขึ้นมากะทันหัน...
หญิงงามเรือนร่างอรชรกินอาหารมื้อละสิบจิน ช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก
ทั้งสองเดินขึ้นหุบเขา เหตุเพราะก่อนหน้านี้เคยเดินดูสมุนไพรบริเวณด้านนอกไปหมดแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ซ่งอวี้จึงตั้งใจจะเข้าไปลึกขึ้น แน่นอน อาจจะเป็เพราะวันนี้มีองครักษ์สาวคอยปกป้องด้วย
ทางเดินในป่าลึกลำบากยิ่งนัก ดังนั้นชาวบ้านทั่วไปจึงไม่กล้าเข้าไป นายพรานที่กล้าหาญมีเส้นทางของตนเอง ด้วยเหตุนี้ส่วนลึกของหุบเขาจึงไม่มีทาง เต็มไปด้วยหญ้า
เพื่อไม่ให้หลงทางในป่า ซ่งอวี้จึงจะต้องเดินไประยะหนึ่ง แล้วทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพื่อแสดงหนทาง
สมุนไพรที่ต้องใช้ในครั้งนี้โดยมากจะเติบโตในพื้นที่ชื้น ซ่งอวี้หยิบยาไล่แมลงขึ้นมาหนึ่งห่อยื่นให้เสี่ยวหมาน ยานี้สามารถขับไล่แมลงพิษที่นี่ได้
น่าเสียดาย สมุนไพรที่้าคราวนี้หายากยิ่งนัก ทั้งสองเดินในป่าอยู่นานแต่ก็เก็บสมุนไพรได้ไม่มากนัก กระทั่งพระอาทิตย์ตกดินหากยังไม่ลงเขาก็ต้องนอนค้างอ้างแรมบนเขาแล้วจึงยอมถอดใจ
ระหว่างทางกลับเรือน ทั้งสองพูดคุยกัน เสี่ยวหมานสดใสกว่าเมื่อวานเล็กน้อย เล่าเื่ตอนเด็กๆ ของนางให้ซ่งอวี้ฟัง โดยมากล้วนเป็เื่ขึ้นเขาล่าสัตว์เพื่อให้นางอิ่มท้อง แต่สิ่งที่เสี่ยวหมานพูดล้วนขบขัน นายบ่าวพูดคุยกันอย่างมีความสุข
"ช่วยด้วย...ช่วยข้าด้วย..." เสียงอ่อนแรงดังขึ้นขัดจังหวะนายบ่าวที่กำลังพูดคุยกัน ซ่งอวี้เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปตามเสียง นางเห็นคนนอนหมดสติอยู่บนพื้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้