ิหยวนหันมองิเยี่ย ิเยี่ยโบกมือเป็พัลวัน “เขาเชิญเ้า หาได้เชิญข้า”
ิหยวนมีหรือจะปล่อยเขาไปง่ายๆ เชิญคุณชายิ แต่ไม่ได้บอกว่าเชิญคุณชายิคนใด
ย่านการค้าฝั่งตะวันออกของเมืองเจี้ยนคังเป็ริมแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง หากเป็ยามค่ำคืนวันธรรมดา สถานที่แห่งนี้จะปกคลุมไปด้วยความเงียบเหงาและมืดมิด ทว่าวันนี้บรรยากาศคึกคักมาก บรรดาพ่อค้าแม่ขายตั้งแผงขายของยาวเยียดสุดลูกหูลูกตา ขึงเชือกห้อยโคมไฟสีสันสดใสประดับประดาเป็แถวเรียงราย
ด้านหนึ่งประดับโคมไฟที่มีลวดลายยี่สิบสี่สารท รูปร่างเหมือนกัน ทว่าสีสันหลากหลาย ตัวโคมวาดลวดลายทิวทัศน์งดงามของฤดูกาลทั้งยี่สิบสี่ ด้านล่างโคมห้อยพู่ไหมไล่เฉดสีตามยี่สิบสี่สารท
อีกด้านประดับโคมไฟลวดลายดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง มีทั้งดอกท้อ ดอกเบญจมาศ ดอกเหมย ดอกซิ่ง มีทั้งดอกไม้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
มีสวนหย่อมผาหินน้ำตกจำลองและต้นไผ่สีเขียวรายล้อมเพื่อเป็สถานที่เงียบสงบ มีโคมดอกท้อ กล้วยไม้ ต้นไผ่ และดอกเบญจมาศ มีเพียงสี่ลวดลายแขวนประดับ
เทียนหลากสีสันประดับสะพานโค้งที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำ แสงสว่างๆ ขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ถึงปลายสะพานอีกฝั่ง แสงสว่างจากเปลวเทียนก็ค่อยๆ จางหายจนกลายเป็มืดมิด
ตลอดทางมีทั้งโคมทรงกลม โคมสี่เหลี่ยม โคมธรรมดา โคมหลากสีสัน โคมกระต่าย โคมดอกบัว มีั้แ่ขนาดเล็กเท่านิ้วก้อยไปจนถึงขนาดใหญ่สิบคนโอบก็ไม่มิด มีทั้งลวดลายพืชพรรณและสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด แสงเรืองรองจากโคมน้อยใหญ่เป็เหตุให้ท้องฟ้าสว่างไสวเสียจนเห็นเมฆน้อยลอยเด่นบนฟากฟ้ายามค่ำคืน
เว่ยเสี่ยนและิหยวนพร้อมคนจำนวนหนึ่งเดินหายเข้าไปในฝูงชน โชคดีที่พาคนติดตามมาเยอะพอควร พวกเขาจึงถูกคุ้มกันอย่างแ่าจนไม่มีผู้ใดเบียดเสียดพวกเขาได้
“มิใช่วันปีใหม่ มิใช่วันเทศกาลใด ไยถึงมีงานโคมไฟ?”
ที่เจียงโจวก็มีงานโคมไฟ ทว่ายิ่งใหญ่เทียบงานนี้ไม่ติด ิหยวนเองก็เคยไปเดินเที่ยวเล่นกับน้องๆ ซึ่งปกติงานโคมไฟจะจัด่เทศกาลซางซื่อ แต่วันนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับ่เทศกาลนั้น จะว่าเป็วันเซี่ยจื้อ [1] ก็มิใช่ แล้วเหตุผลในการจัดงานในวันนี้คืออะไร?
ิเยี่ยแอบกระซิบบอกเขา “วันนี้เป็วันเกิดของเซี่ยไท่ฟู่ ผู้ดูแลเมืองหลวงเป็ศิษย์ของตระกูลเซี่ยจึงมีการจัดงานฉลองยิ่งใหญ่ขึ้นทุกปี สองปีแรกเพียงจัดงานเลี้ยงส่วนตัว เซี่ยไท่ฟู่เกิดความคิดริเริ่มอยากให้ประชาชนในเมืองหลวงร่วมเฉลิมฉลองด้วย จึงเกิดเป็เทศกาลพิเศษ”
ไม่รู้ว่าเว่ยเสี่ยนรู้เื่นี้หรือไม่ ถึงได้เดินหน้าตึงตลอดทาง
ิเยี่ยหดมือหดเท้าเปลี่ยนบุคลิกสดใสขี้เล่นของตนเป็สงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้วเดินตามหลังไป
บ่าวรับใช้ทำหน้าที่เข็นรถเข็นของเด็กหนุ่มอยู่ท่ามกลางพวกเขา ท่าทางของคนบนรถเข็นดูมีความสุขมาก เขาหันซ้ายแลขวา กวาดมองโคมไฟหลากหลายสวยงามเดี๋ยวโบกมือเดี๋ยวปรบมือ แต่แล้วก็ชี้ไปที่บางสิ่งพร้ะโกนเสียงดัง “หน้า หน้า!”
ิเยี่ยแอบใช้ศอกกระแทกิหยวน แต่ิหยวนส่ายหัวเบาๆ เป็การสื่อว่าอย่าพึ่งถาม
“อะไรหรือ?” เว่ยเสี่ยนขมวดคิ้ว
ิหยวนก็มีน้อง จึงไม่รู้สึกรำคาญการพูดแบบเด็กๆ กลับคิดว่าเขาน่าสงสารมากด้วยซ้ำ “คุณชายน้อยหมายถึงหน้ากากใช่หรือไม่?”
เว่ยเสี่ยนเงยหน้ามองรอบๆ ถึงเห็นว่าผู้คนรอบตัวล้วนสวมหน้ากาก มีทั้งหน้ากากสุนัขจิ้งจอก กระต่าย นก แมว และสุนัข หน้ากากหลายรูปแบบแขวนเรียงรายอยู่บนร้านแผงลอยทั้งสองฝากฝั่ง เหล่าผู้มาเดินเที่ยวชมโคมไฟที่พาเด็กเล็กมาด้วยเป็ต้องซื้อหน้ากากพวกนั้นมาส่วมใส่
พอเว่ยเสี่ยนเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ตนมองหน้ากากพวกนั้นด้วยแววตาเป็ประกายเปี่ยมความปรารถนา เขาจึงพยักหน้าให้องครักษ์พร้อมออกคำสั่ง “ไปเลือกอันดีๆ มาสักสองสามอัน”
ผ่านไปสักพักองครักษ์ก็กลับมาพร้อมหน้ากากจำนวนหนึ่ง เด็กน้อยเลือกหยิบหน้ากากกระต่ายมากอดไว้ในอ้อมแขน ทว่าไม่ยอมสวม แต่กลับชี้ไปทางิหยวนเหมือน้าบอกพวกเขาเลือกหน้ากากก่อน ิหยวนยิ้มก่อนจะหยิบหน้ากากลายแมวสลิดมาสวม และหยิบหน้ากากสุนัขจิ้งจอกส่งให้ิเยี่ย ส่วนเว่ยเสี่ยนผู้ไม่ชอบทำตัวเหมือนเด็กก็เอาแต่ปฏิเสธ ิหยวนจึงเอ่ยแนะนำ “คุณชายเป็คนมีชื่อเสียงหากมีคนจำได้ขึ้นมาจะยุ่งเอานะขอรับ”
เว่ยเสี่ยนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะคว้าหน้ากากอันหนึ่งมาสวมส่งๆ
เดินเที่ยมชมบรรกาศรอบๆ อยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงใจกลางงานโคมไฟที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสุดครึกครื้น รายล้อมด้วยกิจกรรมมากมาย มีทั้งร้านขายขนม ขายสุรา พนันหมากล้อม ปาลูกดอก มวยปล้ำ เตะบอลชู่จวี เดินหมากตั้นฉี นอกจากนี้ยังมีการแสดงกายกรรม ร้องรำทำเพลง มีทั้งการแสดงแต่งการเลียนแบบชาวหูควงกระบองพ่นไฟ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งน่าตื่นตาตื่นใจที่ิหยวนไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชาติภพนี้ เขาจึงรู้สึกเหมือนตนได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเปลวเพลิงเหนือจิตนาการ
เดินมาถึงตรงนี้พวกเขาถึงไดรู้ว่าโคมไฟที่แขวนประดับเรียงรายพวกนั้นเป็ของทางการ ดูหรูหรา ทว่าไม่ได้วิจิตรงดงามนัก แต่โคมที่ห้อยอยู่ตามร้านแผงลอยนั้นปราณีตมาก โคมแต่ละใบทำจากผ้าโปร่ง ปักลวดลายดอกไม้ด้วยด้ายดิ้นสีทอง ส่วนใบปักด้วยไหมสีเขียว ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง อีกทั้งโคมไฟแต่ละใบยังมีลวดลายแตกต่างกัน บ้างเป็ลายดอกไม้ที่มีผึ้งเกาะบนเกสร บ้างมีหยดน้ำค้างเกาะบนใบ บ้างก็เป็ลวดลายของตั๊กแตนหนวดยื่นออกมาพลิ้วไหวตามสายลม โคมแต่ละใบต่างมีเอกลักษณ์เป็ของตัวเอง
เมื่อเด็กน้อยร้องเรียกว่าอยากได้ ด้านเว่ยเสี่ยนก็เชิดหน้าถามทันที “โคมพวกนี้ขายอย่างไร ข้าเหมาหมด”
ชายวัยกลางคนร่างท้วมผู้เป็เ้าของร้านรีบกล่าวขออภัย “ขออภัยคุณชาย โคมไฟพวกนี้มิได้มีไว้ขาย แต่มีไว้ทายปริศนาโคมไฟขอรับ”
แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยเสี่ยนอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้สิ่งนั้น ทั้งยังมักมีคนเสนอให้ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าไม่เคยถูกผู้ใดปฏิเสธมาก่อน ิหยวนเห็นว่าเขากำลังจะโมโหจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นกติกาเป็อย่างไร อธิบายให้เราฟังได้หรือไม่?”
“โคมไฟสุดแสนวิจิตรงดงามพวกนี้ที่ท่านเห็นอยู่ล้วนมีปริศนาห้อยด้านล่าง ทายถูกอันไหนก็รับอันนั้นไปได้เลย โคมเล็กสามใบแลกเป็ปิ่นได้ โคมเล็กห้าใบแลกเป็กำไลได้ โคมเล็กสิบใบถึงจะแลกโคมไฟปักดิ้นทองได้ ลองทายหรือไม่ขอรับ?”
“คุณชาย ไหนๆ ก็มาแล้ว มิสู้พาคุณชายน้อยไปลองทายเล่นดีหรือไม่ขอรับ?”
เว่ยเสี่ยนยังคงนิ่ง ิหยวนจึงถามอีกครั้ง “ต้องจ่ายเงินก่อนทายหรือไม่?”
“รบกวนคุณชายดูทางด้านนั้นขอรับ” เถ้าแก่ผ่ายมือไปทางร้านแผงลอยที่อยู่ถัดไป “ตรงนั้น สิบเหวินต่อหนึ่งรอบ หากชนะ ท่านจะได้ตั๋วหนึ่งใบ ท่านจึงจะสามารถมาทายปริศนาโคมไฟตรงนี้ได้ ท่านสามารถทายปริศนาโคมไฟได้มากเท่าที่้า แต่มีข้อตกลงว่าหากแพ้จะไม่สามารถขอเงินคืนได้”
“มีทางเลือกอื่นหรือไม่?”
“หรือจะดวลสุราก็ได้นะขอรับ” ไหสุราเรียงรายอยู่บนชั้นวางที่มีความสูงเท่ากำแพงด้านหลังร้านแผงลอย
“สามเหวินต่อหนึ่งรอบ ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ หากชนะก็จะได้รับตั๋วใบเล็กหนึ่งใบ สามารถนำมาแลกเพื่อทายปริศนาโคมไฟได้”
น่าสนใจไม่น้อย พวกเขาคงไม่เลือกดวลสุราแน่นอน ิหยวนจึงใช้สายตาสอดส่องมองผ่านคนกลุ่มใหญ่ พบว่าพวกเขากำลังล้อมกระดานหมากขนาดใหญ่ ตรงกลางนูนเหมือนเนินเขา ฐานเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัส มีรูกลมทั้งสองฝั่ง แต่ละฝั่งมีตัวหมากหกตัว ตัวหมากทำมาจากไม้เนื้อแข็ง ทั้งยังมีการใช้แป้งโรยบนกระดานเพื่อลดแรงเสียดทานของตัวหมากกับกระดานหมาก
ผู้คนรุมล้อมมากมาย บางคนก็เดินกลับออกมาด้วยความผิดหวัง ที่แท้คนพวกนั้นก็กำลังเล่นหมากตั้นฉี เขาจึงผลักสุนัขจิ้งจอกที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้าวออกไป “เื่นี้ท่านเชี่ยวชาญ”
ิเยี่ยทำท่ายืดเส้นยืดสาย “ปล่อยให้เป็หน้าที่ข้า!”
ิเยี่ยเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปและกลับออกมาพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่น
“ชงเก้อเอ๋อร์ เลือกดูว่าเ้าชอบอันไหน ให้เขาทายให้เ้า” เว่ยเสี่ยนชี้ไปที่โคมไฟใบเล็กที่ห้อยเรียงอยู่ตรงหน้า เด็กน้อยกวาดตามองโคมไฟใบแล้วใบแล้ว ทว่าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ิหยวนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่มาเพื่ออวดฉลาด แต่พอเห็นหน้าเด็กน้อยไร้เดียงสาคนนี้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะประชดประชันใครบางคน จึงเอ่ยกับเด็กน้อยด้วยเสียงอ่อนโยน “ใช่ คุณชายน้อยเลือกเลยขอรับ”
“อันนั้น!”
ลังเลอยู่พักหนึ่ง เด็กน้อยก็เข้าใจ ชี้ไปที่โคมไฟกระดาษสีแดงอันเล็ก
ิหยวนไม่ดูก่อนด้วยซ้ำว่าทายปริศนาในโคมนั้นได้หรือไม่ เขาก้าวออกไปอ่านคำปริศนา “ทะลุฟ้า ปริศนาหนึ่งคำ”
“รู้หรือไม่คำว่าอะไร?”
เด็กน้อยส่ายหัว ิหยวนคุกเข่าลงและจับมือเขาขึ้นมาเขียนคำว่า “ฟู่” ลงบนฝ่ามืออ่อนนุ่ม เด็กน้อยก็หัวเราะคิกคัก
หลังให้คำตอบ เว่ยชงก็ชี้โคมไฟอีกใบ “ดอกไม้! ดอกไม้!”
เป็โคมไฟลายดอกบัว ิหยวนหยิบมันลงมา “เด็กดี คำว่าอะไร?”
“อันนี้ข้ารู้ เด็กดีไม่เอาเปรียบผู้อื่น!” เว่ยเสี่ยนตอบเสียงดัง
หลังจากเดาถูกหลายข้อติดต่อกัน อ้อมแขนของเว่ยชงก็เต็มไปด้วยโคมไฟ แต่ก็ยังอยากได้อีก ทว่าโคมไฟที่แขวนเรียงรายอยู่ บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ใบ
“สุดยอด!” เสียงดังมาจากด้านข้าง ิหยวนและคนอื่นๆ หันมองก็พบว่ามีคนมายืนล้อมชายหนุ่มคนหนึ่งเป็วงกลม เขาสวมชุดสีเทาธรรมดาๆ สวมเข็มขัดสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง สวมหน้ากากสุนัข และกำลังดื่มสุราอย่างเมามัน
เขายืนอยู่บนไหสุราเปล่า มือซ้ายถือไหสุราใบเล็ก ใช้มือขวายกอีกไหขึ้นดื่ม ยิ่งดื่มก็ยิ่งเงยหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนน้ำสุราไหลย้อยลงมาตามมุมปาก เขากระดกสุราลงคอเหมือนสายน้ำไหลลงเหวลึก กระดกไม่หยุดจนหมดไห ก่อนจะโยนไหทิ้งพลางหัวเราะลั่น “ยังมีผู้ใดอยากดวลกับข้าอีกหรือไม่?”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] วันเซี่ยจื้อ (夏至) หมายถึง วันที่กลางวันยาวนานที่สุดและกลางคืนสั้นที่สุด หรือที่เรียกว่าวันครีษมายัน