หนีเจียเฮ่อมองน้องสาวด้วยความเป็ห่วง แม้จะมากความสามารถ แต่หนีเจียเอ๋อร์ก็มิได้แตกฉานในวิชาแพทย์ นับประสาอะไรกับที่ได้ยินมาว่านางเพิ่งจะสนใจศึกษาตำราแพทย์ หลังปฏิเสธการแต่งงานกับสวีเพ่ยหราน
ในวันนั้น หญิงสาวคล้ายจะเปลี่ยนไปเป็คนละคน ทั้งยังรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ที่แม้แต่เขาและโจวชิงหวาก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
แม้จะััได้ถึงสายตาเพ่งพินิจของพี่ชาย แต่หนีเจียเอ๋อร์ก็มิได้แสดงสีหน้าอันใด เพียงตอบคำถามของฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อม “ฝ่าา หากไม่อาจขับพิษให้องค์รัชทายาทได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษ ไม่ว่าจะปะาหรือบั่นคอ ก็สุดแล้วแต่พระประสงค์เพคะ”
กู่หังจิ่นรู้สึกพิศวงในความกล้าหาญของนาง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตบโต๊ะและเอ่ยปาก “ตกลง! ข้าจะให้เ้าลองดู”
หนีเจียเฮ่อรีบโพล่งขึ้นทันที “ฝ่าา กระหม่อมขอเวลา...”
กู่หังจิ่นขัดจังหวะ “เ้าไม่จำเป็ต้องพูดแล้ว ไม่ว่านางจะ้าสิ่งใด ข้าล้วนอนุญาต”
หนีเจียเฮ่อหันไปมองน้องสาวอีกครั้ง พลางกระซิบที่ข้างหู “เ้าไม่เคยเห็นอาการขององค์รัชทายาทกับตา ยังกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้อีก ถึงมีใจอยากจะช่วยโจวชิงหวาแค่ไหน ก็ไม่ควรเอาตัวเองมาเสี่ยงในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ รีบล้มเลิกเสียก็ยังไม่สาย”
หนีเจียเอ๋อร์เพิกเฉยต่อเสียงร้อนรนของพี่ชาย ซ้ำยังตอบฮ่องเต้ไปว่า “เป็พระกรุณาธิคุณที่ทรงไว้วางพระทัย หม่อมฉันจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังแน่เพคะ!”
“เ้าเป็ฝ่ายอาสาเอง หากไม่อาจขับพิษ หรือทำให้อาการขององค์ชายทรุดลง ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี”
พอเห็นพระเนตรแวววับของโอรส์ หนีเจียเฮ่อก็ยากที่จะข่มอารมณ์ให้กลับมามั่นคงได้
กู่หังจิ่นมองชายหนุ่ม ที่กำลังเหงื่อตกด้วยความกระวนกระวายใจ “เ้าจงพานางไปยังตำหนักบูรพา ไม่ว่า้าสิ่งใดก็แค่บอกพวกเขา ว่านี่คือความประสงค์ของข้า พวกเขาจะร่วมมืออย่างเต็มที่”
ในเมื่อเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะไม่อาจกลับลำได้อีก หนีเจียเฮ่อจึงจำใจตอบเบาๆ “น้อมรับพระบัญชา!”
หลังออกจากท้องพระโรง หนีเจียเฮ่อก็รีบฉวยโอกาสดึงหนีเจียเอ๋อร์ไปที่มุมห้อง ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นมืดครึ้ม ขณะถามเสียงเ็า “เ้ามั่นใจแค่ไหน?”
หนีเจียเอ๋อร์ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “เจ็ดในสิบส่วน”
หนีเจียเฮ่อกัดฟัน หันมามองอีกครั้ง พลางพูดเสียงลอดไรฟันด้วยความโมโห “เ้ารู้หรือไม่ หากพลั้งพลาดแล้ว แค่สามส่วนที่เหลือก็อาจจะฆ่าเ้าได้”
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกผิดอยู่บ้างที่ทำให้พี่ชายเป็ห่วง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน “ท่านพี่ ข้าขออภัย แต่หากไม่พูดเช่นนั้น ฮ่องเต้คงไม่เสี่ยงประทานโอกาสให้ข้าเข้าใกล้องค์ชาย ทว่านี่เป็หนทางเดียวที่จะช่วยชิงหวาได้ ข้าจึงจำเป็ต้องจมเรือตัวเอง[1]เท่านั้น”
โทสะของหนีเจียเฮ่อยังไม่ลดน้อยถอยลง “กระนั้นก็ควรจะปรึกษากันก่อน ข้าจะได้เสนอแนะแนวทางให้เ้าได้”
หนีเจียเอ๋อร์คล้ายจะััได้ถึงแสงสว่างอันอบอุ่น ท่ามกลางหมอกหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด นางจึงกล่าวเบาๆ “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าหากบอกก่อน ท่านคงไม่ยอมให้ข้าทำเช่นนั้นเป็แน่ และข้าก็ทนมิได้เช่นกันที่จะปล่อยให้ท่านลงมือเอง ถึงอย่างไรก็ไร้หนทางแล้ว ลองดูกันสักตั้งเถอะ”
นอกจากวิธีนี้ ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว...
หนีเจียเฮ่อยกมือลูบหน้าตัวเอง ก่อนตบไหล่ผู้เป็น้องสาว พร้อมฝืนยิ้ม “เช่นนั้นก็จงลงมืออย่างกล้าหาญ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็อย่างไร พี่ก็จะอยู่เคียงข้างเ้า”
เพียงเท่านั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็รู้สึกะเืใจจนพูดไม่ออก
ข่าวที่บุตรสาวของนายท่านหนี เสนาบดีกรมพิธีการ ได้รับพระาานุญาตจากฮ่องเต้ให้ทำการรักษาองค์รัชทายาท แพร่ไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีคนไม่น้อยพากันเฝ้ารอดูเื่ขบขันของบ้านสกุลหนี
พอได้ยินเื่นี้ นายท่านหนีก็ยิ่งโมโหจนแทบกระอัก ทุบหน้าอกกระทืบเท้า พร้อมบริภาษบุตรสาวคนรอง ที่อาจหาญไปต่อรองกับฮ่องเต้อย่างไม่เจียมตน จากนั้นก็มานั่งเหงื่อแตกพลั่กๆ เสียยิ่งกว่าตอนมาสอบขุนนางในวังสมัยหนุ่มๆ เสียงอีก
และผู้ที่เดือดร้อนไม่ต่างกัน ก็คือแพทย์หลวง
บางคนคิดว่าเป็ไปมิได้ ที่สตรีซึ่งถูกอบรมเลี้ยงดูในห้องหอมาตลอดทั้งปี จะร่ำเรียนวิชาแพทย์จนช่ำชอง ถึงขั้นเสนอตัวมาถอนพิษที่ยังไม่อาจหาทางแก้ได้ พวกเขาจึงรอดูเื่ขบขันกันอย่างใกล้ชิดติดขอบสนามเลยทีเดียว แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เกรงว่าหนีเจียเอ๋อร์จะล้างพิษให้องค์ชายได้จริงๆ
ผู้คนกำลังรอดูผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ
หลังผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนกับขั้นตอนการรักษาอันสลับซ้ำซ้อน ในที่สุดก็สามารถขับพิษที่อยู่ในร่างขององค์ชายได้หมดสิ้น อาการต่างๆ ค่อยๆ หายไป หลงเหลือเพียงความอ่อนเพลียเล็กน้อย และไม่นานก็คงจะกลับมาเป็ปกติ
เมื่อหนีเจียเฮ่อตรวจอาการซ้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก็พบว่าทั้งการหายใจและชีพจรขององค์ชายน้อยกลับมาเป็ปกติแล้ว ความหนักอกหนักใจดั่งถูกหินก้อนใหญ่โถมทับ จึงค่อยบรรเทาเบาบางลง
เขากอดน้องสาวด้วยความโล่งใจ “เอาละ ไม่เป็ไรแล้ว!”
หนีเจียเอ๋อร์ขอบคุณในความช่วยเหลือของพี่ชาย พลางพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ “ท่านพี่ เราทำสำเร็จแล้ว!”
ฮ่องเต้กับฮองเฮาที่เสด็จมาดูอาการขององค์ชายน้อยด้วยพระองค์เอง รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง และรับสั่งให้จ้าวเหิง หมอหลวงซึ่งฝีมือดีที่สุดในราชสำนัก มาตรวจดูอีกครั้ง เพื่อติดตามผลการรักษา
ไม่นาน จ้าวเหิงก็รีบถวายรายงาน “ทูลฝ่าา พิษขององค์ชายถูกขับออกมาหมดแล้ว แต่ยังทรงมีอาการอ่อนเพลีย เพียงดื่มยาบำรุงกำลังสักสองสามจอก ก็จะสามารถฟื้นตัวเป็ปกติได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสถาม “แล้วเมื่อใดองค์ชายจะฟื้น?”
จ้าวเหิงจึงตอบ “ภายในหนึ่งชั่วยาม พระองค์ก็น่าจะได้สติตื่นพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากฮองเฮาเข้าไปขอบคุณหนีเจียเอ๋อร์แล้ว ก็สั่งนางกำนัลไปจัดเตรียมอาหารเบาๆ เอาไว้ ขณะที่นางนั่งลงข้างเตียง แล้วบรรจงเช็ดตัวให้องค์ชายน้อย
เพื่อมิให้เป็การรบกวนโอรส กู่หังจิ่นจึงเดินนำผู้คนออกไปจากห้อง
จ้าวเหิงจงใจไปเดินข้างๆ หนีเจียเอ๋อร์ พร้อมกระซิบพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ความสามารถด้านการแพทย์ของคุณหนูหนีช่างยอดเยี่ยมนัก จนตาเฒ่าผู้นี้รู้สึกละอายแก่ใจ”
หนีเจียเอ๋อร์ชะงักและทำความเคารพอย่างสง่างาม “ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้ามากกว่าที่ควรละอายแก่ใจ เพราะเป็แค่เด็กร้อนวิชาผู้หนึ่ง ซึ่งพอเห็นองค์ชายถูกวางยา ก็รีบอาสาเข้ามาถอนพิษอย่างไม่เจียมตน ดีที่โชคเข้าข้าง เื่ราวต่างๆ จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี”
ความประทับใจแรกที่จ้าวเหิงมีต่ออีกฝ่าย คือความเป็เลิศด้านการร่ายรำ ที่นางแสดงให้เห็นในงานเลี้ยง แต่ไม่คิดว่าหนีเจียเอ๋อร์จะมีความรู้ด้านการแพทย์อย่างลึกซึ้งจนเกินคาด
แต่ที่หาได้ยากคือนางยังคงถ่อมตน มีกิริยาสุภาพอ่อนน้อม ไม่อวดอ้างความสามารถ ช่างเป็สตรีที่น่าทึ่งและแปลกประหลาดยิ่งนัก
เมื่อคนทั้งกลุ่มมาถึงห้องโถง กู่หังจิ่นก็ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ และรับสั่งด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข “แม่นางหนีทำคุณงามความดีด้วยการถอนพิษให้องค์ชายรัชทายาท เพื่อเป็การตอบแทนน้ำใจและความสามารถอันเปี่ยมล้นในครานี้ ข้าจึงขอถามว่าเ้า้าสิ่งใดเป็ของรางวัล”
หนีเจียเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงอย่างเคร่งขรึม “เดิมที การบรรเทาความกังวลของฝ่าา ก็ถือเป็หน้าที่ของข้าราชบริพาร หม่อมฉันจึงไม่บังควรร้องขอสิ่งใด ทว่า เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผลกระทบต่อหลายชีวิต หม่อมฉันจึงใคร่ขอร้องฝ่าา ได้โปรดทรงอนุญาตให้พวกหม่อมฉันไปทำการตรวจสอบคดีลอบวางยาพิษองค์ชายอีกครั้ง เพื่อคืนความเป็ธรรมให้แก่ผู้บริสุทธิ์ทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วยเพคะ”
หนีเจียเฮ่อก้าวมาข้างหน้า และคุกเข่าลงข้างๆ น้องสาว “ขอฝ่าาโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเหิงพยักหน้าด้วยความชื่นชม มุมมองที่เขามีต่อหนีเจียเอ๋อร์ ยิ่งเป็ไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ส่วนกู่หังจิ่น ที่รู้สึกผ่อนคลายหายกังวลแล้ว ย่อมตอบตกลงโดยไม่ลังเล “ได้!”
จากนั้น ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้ขันทีนำป้ายทองอาญาสิทธิ์ ไปมอบให้นาง ซึ่งนอกจากจะทำให้หญิงสาวเข้านอกออกในพระราชวังได้สะดวกแล้ว ยังสามารถเรียกใช้องครักษ์ในวังได้ตามความ้าอีกด้วย
หลังรับป้ายทองด้วยความยินดีแล้ว หนีเจียเอ๋อร์ก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยฝ่าา”
หนีเจียเฮ่อก็พูดด้วยความซาบซึ้งใจเช่นกัน “ขอฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปีๆ หมื่นๆ ปี”
กู่หังจิ่นจึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ!”
หนีเจียเอ๋อร์กับหนีเจียเฮ่อพากันลุกขึ้น และถอยกลับมายืนที่เดิม ขณะเดียวกันกู่หังจิ่นก็เริ่มตำหนิจ้าวเหิงและบรรดาหมอหลวงอย่างหนัก
จ้าวเหิงรีบขออภัยอย่างไร้ยางอาย พลางเอ่ยว่าต่อไปเขาจะขอคำแนะนำจากหนีเจียเอ๋อร์ให้มาก
หลังจากกู่หังจิ่นต่อว่าอีกฝ่ายจนหนำใจแล้ว ก็รับสั่งเสียงดัง “กลับวัง!”
ทุกคนจึงคุกเข่าลงอีกครั้ง “ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าา”
จากนั้น จ้าวเหิงก็กลับไปเช่นกัน
ต่อมา หนีเจียเฮ่อก็บอกกับหนีเจียเอ๋อร์ ว่าพระสนมหลายคนมีความขัดแย้งกับองค์ชาย ทั้งยังช่วยค้นหาแรงจูงใจและวิเคราะห์พฤติกรรมของแต่ละคน เพื่อให้นางรู้ว่าต่อไปควรจะผูกมิตรกับใคร และต้องระวังผู้ใดเป็พิเศษ
หลังออกจากตำหนักบูรพา หนีเจียเอ๋อร์ก็ถูกเชิญให้ไปรับประทานอาหารร่วมกับฮ่องเต้ เสร็จแล้ว นางก็ไปเยี่ยมโจวชิงหวาที่คุกหลวงเพียงลำพัง
-----------------------------------------------
[1] คำว่า ‘จมเรือ’ ในที่นี้ มาจากสำนวน ‘ทุบหม้อข้าว จมเรือ’ (破釜沉舟: โพ่ฝู่เฉินโจว) ซึ่ง หมายถึง การตัดสินใจที่เด็ดขาดที่เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุดนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้