เมื่อไม่หวั่นเกรงอิทธิพลของอีกฝ่ายมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉินซีก็พูดจาอย่างไร้ความหวาดกลัวพร้อมรอยยิ้ม “แล้วถ้ารู้สึกว่ามันดี คุณเฉินก็ให้ลูกน้องในบริษัทสนับสนุนพวกเราเยอะๆ นะครับ อาจารย์จงเองก็ให้พวกพนักงานสนับสนุนพวกผมเยอะๆ เช่นกัน ถ้าแบบนั้นละครของพวกเราเื่นี้จะต้องทำรายได้ได้มากแน่ๆ!” ฉินซีกล่าวเกินจริงไปมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันถือเป็การยกยอจงซิงอู๋เล็กน้อย ดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของจงซิงอู๋จึงยิ่งชัดเจน
เมื่อชาติก่อนฉินซีไม่อาจทำเื่พวกนี้ได้ เดิมทีเขาก็พูดไม่ค่อยเก่งนัก แต่ความจริงได้บอกกับเขาว่า การพูดถือเป็ศิลปะอย่างหนึ่ง ไม่ได้จำเป็ต้องผูกมิตร แต่ก็ไม่อาจสร้างศัตรู
หลังจากได้เกิดใหม่ ก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ฉินซีจึงคุ้นชินกับการรับรองคนจัดการงานขึ้นมาก ทำให้เลี่ยงปัญหาไปได้ไม่น้อย
ปิ้งย่างมื้อนี้ เจี่ยงถิงเฟิงทานเข้าไปมากที่สุด เขาเป็คนปล่อยวางไร้กังวล แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ก็สามารถทานอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย ฉินซีไม่อยากอาหารนักจึงทานน้อย จงซิงอู๋ยังต้องกังวลเื่สถานะของตัวเองจึงทานไปไม่เยอะเช่นกัน เฉินเจวี๋ยแทบไม่ได้แตะต้องอะไรเลย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทานเข้าไปเท่าไร อย่างไรทุกคนต่างก็มีความสุขแล้ว
ฉินซีจะไปจ่ายเงิน เฉินเจวี๋ยจึงลุกขึ้นตามเขามา “ยังแสดงละครได้ไม่เท่าไรก็กล้าเอาเงินมาเลี้ยงอาหารคนอื่นแล้ว” เฉินเจวี๋ยพูดพร้อมกับพาฉินซีเดินออกจากซุ้มปิ้งย่าง หลังจากนั้นฉินซีก็เห็นชายร่างใหญ่ในชุดดำที่มักติดตามอยู่ข้างกายเฉินเจวี๋ยเดินไปจ่ายเงินกับแม่ค้า
ฉินซีถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าถ้าค่าตอบแทนการถ่ายทำออกแล้ว ผมก็คงต้องเชิญคุณเฉินไปทานข้าวสักมื้อสองมื้อ”
“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” เฉินเจวี๋ยไม่ชอบที่ฉินซีพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้นัก จึงขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว และเอ่ยทิ้งท้ายอย่างคลุมเครือเพื่อจบเื่อาหารในวันนี้ไป
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เฉินเจวี๋ยกับจงซิงอู๋ต่างก็ขับรถมา ทั้งสองคนต่างออกตัวจะไปส่งพวกเขากลับโรงแรมที่กองถ่ายจองไว้ ทุกคนจึงพากันขึ้นรถ เทพเ้าจงซิงอู๋ผู้สูงส่งลดตัวมาเป็คนขับ เจี่ยงถิงเฟิงนั่งอยู่ข้างคนขับด้วยความตื่นตะลึง เหลือเพียงฉินซีกับเฉินเจวี๋ยนั่งอยู่ที่ด้านหลัง
จงซิงอู๋ควบคุมพวงมาลัยไปพร้อมกับคิดอะไรได้กะทันหัน จึงเอ่ยถามเฉินเจวี๋ย “คุณเฉิน นักแสดงที่ชนคุณวันนี้...”
เฉินเจวี๋ยลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็ใคร เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “จะทำอะไรก็แล้วแต่นายเลย”
จงซิงอู๋พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “โอเค” เขาพูด ก่อนจะหันไปคุยกับเจี่ยงถิงเฟิง “คนที่ชื่อหลิงโอวอะไรนั่น เป็คนในกองถ่ายของนายใช่ไหม ฉันว่าคนคนนี้ก้าวร้าวทะนงตนมาก หลังจากนี้พวกนายไม่ต้องไปอดทนกับเขาแล้วนะ”
หนังตาของฉินซีกระตุกแรงๆ เขารู้คร่าวๆ ว่าความเป็ความตายของหลิงโอวในกองถ่ายกระบี่เย้ยยุทธจักรได้ถูกกำหนดไว้ภายในประโยคสั้นๆ สองประโยคนั้นแล้ว
เมื่อพูดถึงหลิงโอวจบ จงซิงอู๋ก็พูดถึงฉินซีขึ้นอีก “ฉันว่าทักษะการแสดงของนายไม่เลวเลย หลังจากนี้ถ้ามีเื่อะไรที่พี่ใหญ่จงพอจะช่วยได้ก็ไม่ต้องเกรงใจนะ นักแสดงวัยรุ่นที่มีความสามารถแบบนี้ไม่ได้พบเห็นกันมากนัก...”
ความรู้สึกของฉินซีดูราวกับนั่งรถข้ามเขา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงอยู่แบบนั้น
“ครับ” เขาได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก จงซิงอู๋เป็ฝ่ายเรียกตัวเองว่า ‘พี่ใหญ่จง’ นั่นหมายความว่าเขากระชับความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายเข้ามาไม่น้อย! ฉินซีคิดไปถึงเฉินเจวี๋ยขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล จงซิงอู๋กำลังไว้หน้าเขาอยู่หรือเปล่า?
ทว่าเฉินเจวี๋ยกลับนั่งเงียบไม่พูดไม่จา ราวกับเบียร์ที่ดื่มเข้าไปไม่กี่อึกตอนอยู่ที่ซุ้มปิ้งย่างจะทำให้เขาเมาเล็กน้อย
ไม่นานรถก็เข้ามาจอดหน้าโรงแรม จงซิงอู๋พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเราก็พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่พักอยู่ที่ชั้นห้า ฉันอยู่ห้อง 507 ถ้ามีเวลาว่างก็มาหาได้นะ พวกนายขึ้นไปก่อนเถอะ ฉันยังมีเื่ต้องจัดการอีก”
“ขอบคุณครับพี่ใหญ่จง” ฉินซีกับเจี่ยงถิงเฟิงลงจากรถมาด้วยกัน เฉินเจวี๋ยยังคงนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านหลัง เดิมทีฉินซีตั้งใจจะทักทายอีกฝ่ายเสียหน่อย แต่ก็กังวลว่าเขาหลับไปแล้วหรือเปล่า สุดท้ายปากที่อ้าออกก็ต้องหุบลง
รอจนลงจากรถแล้ว เจี่ยงถิงเฟิงก็ดึงตัวฉินซีเข้ามากดเสียงลงถาม “นายบอกฉันมาตามตรงเถอะ นายไปรู้จักกับอาจารย์จงได้ยังไง? ฉันต้องผูกสัมพันธ์อย่างยากลำบากถึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นักเรียนของเขา… นาย… ทำไมนายโชคดีขนาดนี้ล่ะ?”
สีหน้าของฉินซีไม่ได้เปลี่ยนไป “ความจริงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉินซีพูดไปพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปด้านใน
เจี่ยงถิงเฟิงรั้งเขาไว้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงก้าวเร็วๆ ตามไป “นี่ เดินช้าๆ หน่อยสิ!”
ฉินซีไม่รู้เลยว่า ในตอนนั้นจงซิงอู๋ก็กำลังนั่งอยู่ในรถด้วยจิตใจที่สับสนเช่นกัน จงซิ่งอู๋ลอบถอนหายใจเงียบๆ ดารานักแสดงนี่นะ ต่างก็สว่างสดใสเพียงภายนอก ความจริงแล้วมันไม่ได้ง่ายดาย คนที่สามารถเจอกับคนระดับสูงอย่างเฉินเจวี๋ยได้อย่างฉินซี หลังจากนี้จะต้องมีเส้นทางนักแสดงที่ไม่ธรรมดาแน่! ตอนนั้นเขาต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ได้กันนะ...
…...
เพราะเมื่อคืนฉินซีไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป เมื่อตื่นเช้าในวันต่อมา สติของเขาจึงปลอดโปร่งเต็มที่ ในขณะที่เจี่ยงถิงเฟิงปวดหัวเล็กน้อย หลังจากไปที่กองถ่ายพักใหญ่แล้ว เขาก็ยังจำบทไม่ได้ สวี่เทาไล่เจี่ยงถิงเฟิงไปต่อบทกับเถาเซียงด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ฉินซีถ่ายทำไปได้ราบรื่นกว่ามาก ไม่นานก็ถ่ายเสร็จไป 2 ซีน เช้านี้ฉินซีเองก็มั่นใจว่า เขาไม่ได้เห็นหลิงโอว สวี่เทาเองก็ไม่ได้โมโหถามไถ่ว่าทำไมหลิงโอวถึงไม่โผล่มา เมื่อไม่มีคนที่ไม่เข้าพวกอย่างหลิงโอว บรรยากาศภายในกองถ่ายก็ดูกลมเกลียวอย่างน่าประหลาดใจ!
เมื่อเถาเซียงและเจี่ยงถิงเฟิงต่อบทกันเสร็จ ก็วิ่งมาล้อเลียนฉินซี “พรุ่งนี้ต้องถ่ายซีนที่นายตายแล้วนะ”
ฉินซีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองเข้ามากองถ่ายนานขนาดนี้แล้ว เพียงพริบตาก็จะต้องถ่ายทำซีนที่ตงฟางปู๋ป้ายตายจากไป เขาจำได้ว่าในฉากนี้ หยางเหลียนถิงเองก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย แต่ไม่รู้ว่าหลิงโอวหายไปไหน แล้วจะถ่ายทำต่อไปอย่างไร เมื่อคิดไปถึงตรงนี้ ฉินซีก็อดถอนหายใจด้วยความสงสารออกมาไม่ได้ เฉินเจวี๋ยกับจงซิงอู๋เองก็มีอิทธิพลมากจริงๆ นักแสดงไม่ใหญ่ไม่เล็กคนหนึ่ง หากบอกว่าไม่ให้ปรากฏตัว กองถ่ายก็จัดการทำให้หายไปได้อยู่แล้ว
ฉินซีส่งเสียงในลำคอเบาๆ “ฉันตายแล้วยังไงล่ะ? เธอกับพี่ชงของเธอเองก็ถูกเยว่ปู้ฉวินเล่นงานจนเกือบตายเหมือนกันนั่นแหละ...”
เถาเซียงเองก็ส่งเสียงในลำคอขึ้น “อย่างไรธรรมะย่อมชนะอธรรม”
“ธิดาเทพ ท่านลืมไปแล้วหรือ? ท่านเองก็เป็พวกอธรรมเหมือนกันนะ!” ฉินซีตบบ่าของเถาเซียง ก่อนจะลากเท้าเดินจากไป สำหรับฉากการตายนี้ เขายังต้องไปคุยกับสวี่เทาว่าต้องแสดงอย่างไรอีก ซีนนี้เป็ซีนที่สำคัญ หลังจากถ่ายทำเสร็จ เขาก็สามารถนำข้าวกล่องกลับบ้านได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าละครเื่ต่อไปของเขาจะเป็เื่ไหนอีก?
เถาเซียงมองตามแผ่นหลังของฉินซีที่เดินออกไปไกล ในใจของเธอรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงหันไปถอนหายใจใส่เจี่ยงถิงเฟิง “เฮ้อ ฉินซีโดดเด่นในกองถ่ายขนาดนี้ โชคดีที่พอแสดงเสร็จเขาก็จากไปแล้ว”
เจี่ยงถิงเฟิงกล่าวด้วยความใจกว้าง “ไม่มีอะไรน่าอิจฉาหรอก มีหลายอย่างในตัวฉินซีที่พวกเราไม่มีทางไล่ตามทัน” เจี่ยงฟิงเถิงพูดพร้อมนึกไปถึงคืนก่อนที่ได้พบกับจงซิงอู๋และคุณเฉินผู้ลึกลับคนนั้น
“อ้าว ไง! มานั่งนี่สิ” เมื่อสวี่เทาเห็นฉินซีเดินมาหา ก็รีบยิ้มพร้อมกับลากฉินซีมานั่งลงข้างๆ “มีตรงไหนที่รู้สึกว่าแสดงไม่ได้หรือเปล่า?”
ฉินซีพยักหน้า ก่อนจะเปิดบทออก “จะต้องถ่ายทำฉากที่ตงฟางปู๋ป้ายตายแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ผมกำลังคิดอยู่ว่าฉากนี้ตอนถ่ายจะต้องให้ความรู้สึกแบบไหน ผมประสบการณ์น้อยยังต้องถามความคิดเห็นจากผู้กำกับสวี่อีกมาก การถ่ายซีนแบบนี้ ผมจะต้องใส่ใจตรงไหนเป็พิเศษบ้างครับ...” ฉากการตายของตงฟางปู๋ป้ายถือเป็ซีนรวม ห้าขุนเขาโจมตีผาไม้ดำ คนในลัทธิเทพเ้าสุริยันจันทรา รวมทั้งหยางเหลียนถิงก่อฏ คนที่จงรักภักดีต่อตงฟางปู๋ป้ายในลัทธิเกิดการปะทะกับหยางเหลียนถิง ดังนั้นจึงสามารถบอกได้ว่า ซีนในละครฉากนี้เต็มไปด้วยเื่ราวมากมาย
แต่เวลาถ่ายทำกลับไม่ง่ายดายเลย
เมื่อสวี่เทาได้ยินฉินซีขอคำปรึกษา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งชัดเจน นักแสดงวัยรุ่น ต้องรู้จักขอคำแนะนำจากคนที่อยู่มาก่อนถึงจะเป็นักแสดงที่ดี!
สวี่เทาชอบใจฉินซีมาก เขาพูดคุยกับฉินซีอยู่สักพักใหญ่ สุดท้ายก็ตบหลังฉินซีและพูดขึ้น “ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ คืนนี้ไปหาที่ห้องก็ได้ เดี๋ยวจะบอกให้”
ทว่าฉินซีกลับไหล่สั่นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มเกร็งๆ เมื่อชาติก่อนสวี่เทามีข่าวฉาวหนึ่งหลุดออกมา มันเกี่ยวกับการที่สวี่เทาขืนใจนักแสดงชายหน้าใหม่คนหนึ่ง ในตอนนั้นสวี่เทาพูดหน้ากล้องด้วยความจริงจังว่า เขากับนักแสดงชายคนนี้รักกันจริงๆ แต่เพียงชั่วพริบตา นักแสดงชายคนนั้นก็ออกมาแฉเื่ที่สวี่เทาใช้ประโยชน์จากบทบาทในละครขืนใจเขาอย่างน่าสงสาร หลังจากนั้นชื่อเสียงของสวี่เทาก็พังทลายร่วงลงมาถึงจุดต่ำสุด!
ยังไม่ต้องพูดว่าเบื้องลึกเื้ัเป็อย่างไร แต่พอฉินซีคิดถึงก็มักจะรู้สึกแปลกๆ… แปลกเสียยิ่งกว่านั่งอยู่ข้างเฉินเจวี๋ยเสียอีก!
ในวันนั้นหลิงโอวไม่ได้ปรากฏตัว ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นหลายวันติดต่อกัน หลิงโอวก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็นอีก และฉากการตายของฉินซีก็ถ่ายทำอยู่หลายวัน จงซิงอู๋ก็มักจะเข้ามาที่กองถ่ายบ้าง และสุดท้ายพอรู้สึกสนใจในฉากนั้นขึ้นมาบ้าง เขาก็ยังมาเล่นผสมโรงเป็ตัวประกอบผ่านฉากในละครของสวี่เทาด้วย แต่ฉินซีกลับไม่ได้เห็นเฉินเจวี๋ยอีก ในใจของเขาจึงผิดหวังอยู่บ้าง และฉินซีก็ทำได้เพียงด่าตัวเองว่า นี่เป็พวกมาโซคิสม์[1] หรืออย่างไร ถึงชอบที่จะถูกเฉินเจวี๋ยทำท่าทางเ็าใส่แบบนั้น!
ไม่นานก็ถ่ายทำมาถึงฉากสุดท้าย ตงฟางปู๋ป้ายต้องประมือกับเยว่ปู้ฉวิน ลิ่งหูชง และเริ่นหว่อสิงเพื่อหยางเหลียนถิง ในตอนนั้นความสามารถทางวิทยายุทธ์ของตงฟางปู๋ป้ายสูงส่งมาก ทว่ากลับเสียสติไปเพราะหยางเหลียนถิง และถูกจับจุดอ่อนได้ไม่น้อย
สวี่เทาลอกเลียนฉากการตายแสนคลาสสิคของตงฟางปู๋ป้ายจากในภาพยนตร์สมัยก่อน ภายในบทนี้ตงฟางปู๋ป้ายพ่ายให้กับกระบี่ตู๋กูจิ่วของลิ่งหูชง กระบี่แทงเข้าที่หน้าอกของตงฟางปู๋ป้าย ก่อนที่เขาจะจมลงสู่ใต้ทะเลสาบด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจได้มาที่มีต่อลิ่งหูชง รวมทั้งความโกรธแค้นที่มีต่อหยางเหลียนถิง
และทะเลสาบแห่งนี้ ความจริงก็คือสระน้ำที่ตงฟางปู๋ป้ายเคยมาอาบร่วมกับลิ่งหูชงสระนั้น
สวี่เทาเพียงใช้ประโยชน์จากการเปรียบก่อนหลังมากระตุ้นอารมณ์เรียกน้ำตาจากผู้ชม
ฉินซีต้องยอมรับว่าวิธีการนี้ถูกนำมาใช้ได้ดีทีเดียว เพียงแต่หลังจากผ่านฉากนี้ไป นางเอกอย่างเริ่นอิ๋งอิ๋งก็จะถูกแย่งความนิยมไปไม่น้อย! อย่างไรก็มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า คนเป็ไม่อาจต่อกรกับคนตายได้ตลอดกาล ตัวละครที่งดงามอย่างตงฟางปู๋ป้ายเมื่อต้องตายไปอย่างน่าหดหู่ใจ แล้วจะไม่ให้พวกผู้ชมที่เป็ผู้หญิงเกิดความสงสารได้อย่างไร?
ฉินซีจับจุดสำคัญของฉากนี้ได้แล้ว ก่อนจะเริ่มถ่ายทำ เขาจึงมีความเข้าใจอยู่ไม่น้อย เขาแนะนำช่างให้แต่งหน้าตัวเองดูขาวซีดกว่าปกติเล็กน้อย เขายังคงสวมชุดสีแดงเช่นเดิม ริมฝีปากบางทาลิปสีแดงรับกับเสื้อผ้า องค์ประกอบเหล่านี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงจุดจบที่โศกเศร้าของตงฟางปู๋ป้ายชัดเจนขึ้น
หลังจากแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย ช่างแต่งหน้าก็อดลูบบ่าของเขาไม่ได้ “ให้ตายสิ เสี่ยวฉิน เมคอัพลุคนี้ของนายช่างน่าประทับใจเหลือเกิน”
ฉินซีอดยกยิ้มกล่าวติดตลก “อย่างนั้นเหรอครับ? ขาวซีดขนาดนี้ ผมว่าไปเล่นหนังแนวสยองขวัญได้อีกเื่เลยล่ะ”
ช่างแต่งหน้ามองพิจารณาคนตรงหน้าสักพัก ก่อนจะอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “แต่ว่านะ สภาพแบบนี้ก็ดูให้อารมณ์ปวดร้าวจริงๆ นั่นแหละ!” ช่างแต่งหน้าพูดไปพร้อมกับเดาะลิ้น “ไม่ว่าจะลิ่งหูชง หรือใครก็ตาม เห็นแบบนี้ก็คงฆ่าไม่ลงหรอก!”
ฉินซีเองก็ถอนหายใจตาม “ช่วยไม่ได้นี่ครับ แต่เพราะเจี่ยงถิงเฟิงใจคอโเี้อำมหิตก็เลยฆ่าลงได้”
เจี่ยงถิงเฟิงบังเอิญแต่งหน้าเสร็จ และเดินออกจากห้องข้างๆ พอดี เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ส่งเสียงในลำคอดังขึ้น “บอกว่าใครใจคอโเี้อำมหิตกัน?” เขาพูดไปพร้อมกับเห็นฉินซีหมุนตัวมา ทำให้เจี่ยงถิงเฟิงเห็นสภาพของฉินซีโดยไม่ทันตั้งตัว นั่นทำให้เขาชะงักงันไปทันที
ในชั่วพริบตานี้เป็เหมือนตอนที่ฉินซีมาถ่ายภาพฟิตติ้ง การปรากฏตัวที่เต็มไปด้วยความงดงามอันน่าตกตะลึง ความงามที่สามารถเขย่าหัวใจคนโดยรอบได้อย่างร้ายกาจ!
……
[1] มาโซคิสม์ (Masochism) หมายถึงอาการเสพติดความเ็ป ผู้ที่มีอาการจะรู้สึกชื่นชอบการถูกกระทำสร้างความเ็ป