ภายในจวนทุกคนเงียบกริบราวกับป่าช้า
เหลียนเว่ยฉีมองจั๋วอวิ๋นเซียนเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา “นายน้อยขยะแห่งตระกูลจั๋ว ข้าเคยได้ยินชื่อของเ้ามาก่อน...ทำไมหรือ? เ้าออกมาคิดจะคุกเข่าขอร้องหรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คุกเข่าขอร้องแล้วเ้าจะปล่อยตระกูลจั๋วไปหรือ?”
เหลียนเว่ยฉีคิดไม่ถึงว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะถามเช่นนี้จึงรู้สึกมึนงง “ไม่ได้...อยู่แล้ว”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าอย่างเ็า “ถ้าเช่นนั้นเ้าก็คิดมากเกินไปแล้ว”
เหลียนเว่ยฉีมึนงงอยู่พักหนึ่งถึงได้สติกลับมา “ไอ้หนู เ้ากล้าหลอกข้าหรือ?”
ไม่รออีกฝ่ายโมโห จั๋วอวิ๋นเซียนถามคำถามออกไป “ในเมื่อแม่ทัพเหลียนได้รับคำสั่งมา คิดว่าคงเข้าใจราชโองการฮ่องเต้เป็อย่างดี...เช่นนั้นในราชโองการบอกเพียงมีโทษ แต่ไม่ได้บอกว่ามีโทษอย่างไรใช่หรือไม่?”
เหลียนเว่ยฉีขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้เขาอยากจะยัดเยียดความผิดให้จั๋วฟู่ไห่มากเพียงใด แต่ไม่กล้าปลอมแปลงราชโองการ ท้ายที่สุดจึงกัดฟันตอบว่า “ไม่มี”
จั๋วอวิ๋นเซียนถามอีกครั้ง “ผู้สมรู้ร่วมคิดเล่า?”
“ไม่มี”
ดวงตาของเหลียนเว่ยฉีมืดมน ในใจเกิดจิตสังหารขึ้นมา
จั๋วอวิ๋นเซียนถามต่อว่า “ในเมื่อบิดาของข้ายังไม่ต้องโทษ และไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเ้าจะมาจับคนได้อย่างไร?”
“พอได้แล้ว!”
เหลียนเว่ยฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป “สมคบคิดกับปีศาจ ทำร้ายเผ่าพันธุ์เดียวกัน ชั่วช้าสามานย์ ถึงแม้ยังไม่ต้องโทษ แต่เป็ผู้ต้องหาร้ายแรง ส่วนพวกเ้าเป็เืเนื้อเชื้อไขและคนสนิทของจั๋วฟู่ไห่ มิอาจหลีกเลี่ยงข้อสงสัยเช่นกัน จึงมิอาจปล่อยไว้ได้แม้แต่คนเดียว”
“วิถีเซียนมีกฎระเบียบ...การลงโทษผู้บำเพ็ญเซียนต้องมีหลักฐาน ถึงแม้มีความผิด ก็ต้องตัดสินด้วยกฎหมายศักดิ์สิทธิ์”
จั๋วอวิ๋นเซียนใช้เหตุผลเข้าสู้ เขากล่าวอย่างชาญฉลาด “ถึงแม้ตระกูลจั๋วของเราจะเป็ตระกูลในต้าถัง แต่ก็ถูกผูกมัดด้วยกฎวิถีเซียน และท่านพ่อของข้าก็เป็ถึงผู้นำตระกูลวิถีเซียน ถึงแม้มีความผิดก็จำเป็ต้องตัดสินด้วยกฎหมายเซียนถึงจะสามารถลงโทษได้...พวกเ้าฉวยโอกาสที่ท่านพ่อของข้าไม่อยู่ ใช้กำลังจับคน ก็เพราะอยากจะจับพวกเราไปข่มขู่ท่านพ่อข้า ให้เขายอมถูกจับหรือแม้กระทั่งบีบบังคับให้เขาลงมือสินะ!”
“……”
รอบด้านเงียบกริบอีกครั้ง สายตาของผู้คนไม่น้อยที่มองไปทางจั๋วอวิ๋นเซียนแฝงไปด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะจั๋วอวี้หวั่นกับลุงเยี่ยนสองคน ในความประหลาดใจนั้นยังมีความตื่นเต้นอยู่ด้วย
ในสายตาของจั๋วอวี้หวั่นกับลุงเยี่ยน จั๋วอวิ๋นเซียนเป็คนเงียบๆ มาั้แ่ยังเด็ก ไม่ชอบยุ่งกับคนอื่น คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับเปลี่ยนนิสัย เื่นี้ทำให้พวกเขายินดียิ่งนัก
“เหอะ!”
เหลียนเว่ยฉีก็ถูกคำถามของจั๋วอวิ๋นเซียนเล่นงานจนตะลึง ถึงแม้จะขัดใจไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เก็บอีกฝ่ายมาไว้ในใจ
“ไอ้เด็กปากร้ายตัวดี เ้าคิดว่าเ้าเป็ใคร? แค่พูดไม่กี่คำก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วหรือ? คิดจะขู่พวกเราหรือ? น่าขันยิ่งนัก!”
เหลียนเว่ยฉีหัวเราะอย่างเ็า เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวพลางกล่าวว่า “หายนะปีศาจเื่ใหญ่กว่าทุกสิ่ง ไม่ว่าพวกเ้าจะมีความผิดหรือไม่ ขอแค่มีข้อสงสัย ข้าก็สามารถจับคนได้ทันที การทำเช่นนี้เรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ต่อให้ฮ่องเต้ทรงทราบก็คงคิดว่าฉลาดหลักแหลม ไม่มีทางลงโทษข้าแน่”
เหลียนเว่ยฉีที่หมดความอดทนแล้วส่งสัญญาณมือ กองทัพเกราะทมิฬเดินไปทางพวกจั๋วอวิ๋นเซียนทีละก้าว
“น้องพี่!”
จั๋วอวี้หวั่นรีบก้าวมาบังหน้าจั๋วอวิ๋นเซียนไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มิอาจแก้ไขสถานการณ์ได้จริงๆ...
ความจริงแล้วจั๋วอวิ๋นเซียนเข้าใจดี ถ้าไม่มีพลังก็ไม่มีสิทธิ์พูด ดังนั้นเขาไม่ได้หวังว่าพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็สามารถข่มขู่อีกฝ่ายได้ แต่เขาเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว
“แม่ทัพเหลียนโปรดช้าก่อน!”
จั๋วอวิ๋นเซียนหยิบป้ายพิเศษสีหยกขาวอันหนึ่งออกมาจากอก เขายกชูขึ้นพลางกล่าวว่า “ในเมื่อแม่ทัพเหลียนเป็แม่ทัพแห่งค่ายทหาร คิดว่าท่านน่าจะรู้จักของสิ่งนี้กระมัง?”
“นั่นคือ...ป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซู!”
เหลียนเว่ยฉีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึมเป็ครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะพูดไร้สาระอย่างไร เหลียนเว่ยฉีก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรภูมิหลังของเขาก็ยังมีผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจค้ำฟ้าสนับสนุนอยู่ จะกลัวตระกูลจั๋วได้อย่างไร
ทว่าสำนักเซียนเทียนซูกลับไม่เหมือนกัน นั่นเป็ถึงสำนักเซียนอันดับหนึ่งแห่งต้าถัง แค่เรียกบุตรแห่ง์สักคนไม่ว่าจะเป็ใครล้วนเป็บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเ้าสำนักในตำนานคนนั้น แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องให้เกียรติเขา
จั๋วอวิ๋นเซียนถือป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซู ถือว่ามีสถานะเท่ากับกึ่งศิษย์ของสำนักเซียนแล้ว ไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถจัดการได้
แต่ในใจของเหลียนเว่ยฉีเต็มไปด้วยความสงสัย นายน้อยตระกูลจั๋วที่เล่าลือกันว่าเป็ขยะไร้พร์ ไฉนถึงมีป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซูได้!
“แม่ทัพเหลียนลองทายดูได้...ว่าป้ายพิเศษนี้ใครเป็คนมอบให้กับข้า?”
เมื่อได้ยินคำถามของจั๋วอวิ๋นเซียน จิตใจของเหลียนเว่ยฉีหนักอึ้ง
จิตใจโเี้ไม่ได้แปลว่าสมองทื่อ เหลียนเว่ยฉีไม่จำเป็ต้องทาย ไม่ว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะได้ป้ายพิเศษมาจากใคร ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขานั้นถามได้ หากไปเกี่ยวพันกับยอดฝีมือในสำนักเซียนเทียนซูเข้า ผลลัพธ์คงไม่ใช่สิ่งที่แม่ทัพค่ายทหารตัวเล็กๆ อย่างเขาจะแบกรับไหว
“น้องชาย นี่เ้า...”
จั๋วอวี้หวั่นเผยสีหน้ายินดี เดิมทีนางอยากถามที่มาของป้ายพิเศษนี้ ทว่าด้วยสถานการณ์ตรงหน้าจึงไม่เหมาะที่จะถามสักเท่าไร
ลุงเยี่ยนก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน จั๋วอวิ๋นเซียนมีสถานะเป็กึ่งศิษย์ของสำนักเซียนเทียนซู อย่างน้อยตระกูลจั๋วก็ไร้กังวลชั่วคราว
“เหอะเหอะ พวกเ้าดีใจเร็วเกินไปหรือไม่?”
เหลียนเว่ยฉีหัวเราะอย่างประหลาด “ด้วยสถานะของข้า มิอาจแตะต้องพวกเ้าก็จริง แต่วันนี้ตัวละครหลักมิใช่ข้า ส่วนคนอื่นๆ นั้น...ข้าเพียงต้องจับจั๋วฟู่ไห่ลงโทษหลังจากเขากลับมาเพียงเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าจั๋วฟู่ไห่สามารถกลับมาได้ละก็นะ”
“คำพูดของเ้า...หมายความว่าอย่างไร?”
จั๋วอวี้หวั่นทั้งใทั้งโกรธ นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
จั๋วอวิ๋นเซียนนึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่ง ลอบสังหารระหว่างทาง ตายโดยไร้หลักฐาน! มีเพียงจั๋วฟู่ไห่ตายไป ไม่ว่าจะมีโทษหรือไม่ ล้วนมิอาจโต้แย้งได้
“หมายความว่าอย่างไรหรือ? ข้าพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว พวกเ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
เหลียนเว่ยฉีเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะอย่างประหลาด “ตระกูลจั๋วของพวกเ้า...ใกล้จบสิ้นแล้ว! เหอะเหอะ!”
“ไอ้สาระเลว!”
จั๋วอวี้หวั่นกัดฟันแน่น รู้สึกไร้เรี่ยวแรง นางรู้ว่าตัวเองสู้เหลียนเว่ยฉีไม่ได้ ถ้าลงมือก็มีแต่จะทำให้ตระกูลจั๋วตกเป็รอง มอบข้ออ้างเปิดศึกให้กองทัพเกราะทมิฬ เช่นนั้นโอกาสที่จั๋วอวิ๋นเซียนหามาอย่างยากลำบากจะสูญสิ้นทันที
“ทำไมพวกปู่รองยังไม่มาอีก?”
จั๋วอวี้หวั่นร้อนรนแล้ว นางหวังว่าพวกจั๋วไท่หยวนจะมาโดยเร็ว น่าเสียที่รอมาครึ่งวันก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ นี่ทำให้จั๋วอวี้หวั่นยิ่งรอยิ่งหนาวสั่น
……
“เหอะเหอะ ที่นี่คึกคักดีนะ? น่าสนใจ น่าสนใจ!”
เสียงอ่อนหวานพร้อมเสียงหัวเราะแสบหูเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากนอกจวน
ผู้คนหันหน้าไปมอง พวกเขาเห็นกองทัพเกราะทมิฬหลีกทางไปสองฝั่ง มีเด็กสาวอายุจวนจะสิบห้าปีคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวเดินออกมา นางก็คือฮูหยินน้อยของตระกูลจั๋ว ซีโหลวรั่วเมิ่ง
“พวกเ้ากำลังรออะไรหรือ? ยังคิดว่ามีโอกาสรอดหรือ? คิดว่าพวกตาเฒ่าจั๋วไท่หยวนจะมาช่วยพวกเ้าหรือ?”
“ซีโหลวรั่วเมิ่งเ้าหมายความว่าอย่างไร?”
จั๋วอวี้หวั่นะโออกไปด้วยความโมโห “ในฐานะที่เป็ฮูหยินน้อยของตระกูลจั๋ว ถึงกับกล้าเรียกชื่อของผู้าุโห้วนๆ เช่นนี้ ไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตาเลยหรือ”
เมื่อก่อนจั๋วอวี้หวั่นยังคิดว่าซีโหลวรั่วเมิ่งอ่อนน้อมน่ารัก แต่ตอนนี้กลับยิ่งมองยิ่งน่าเกลียด
“หุบปากเสีย! อย่าเรียกว่าฮูหยินน้อย! ข้ารังเกียจคำเรียกนี้ยิ่งนัก!”
ซีโหลวรั่วเมิ่งะเิความโกรธทันที กลับทำให้จั๋วอวี้หวั่นเป็ฝ่ายตะลึง
