เฉียวเยว่มองหรงเยว่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แทบจะพูดติดอ่าง "ขะ... เขาเคยหมั้นแล้ว?"
หรงเยว่พยักหน้า "ถูกต้อง หมั้นมาสองคราแล้วด้วย เ้าสาวตายทั้งคู่"
สีหน้าของนางเคร่งขรึมเป็พิเศษ "ล้วนแต่ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่อยู่ดีๆ จะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร แม้ทุกคนล้วนเห็นกันหมด แต่ก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เขาจะเล่นมนต์ดำไสยศาสตร์หรือเปล่า?"
เดี๋ยวนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดหาใช่คนเลว แต่เป็วิชาไสยเวทย์
คนบางคน เ้าไม่มีทางรู้ว่าเขาทำอะไรกันแน่ เป็เช่นนี้คนแล้วคนเล่า หากไม่ใช่เื่ลี้ลับแล้วจะเป็อะไรไปได้
เฉียวเยว่นิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก็ถามอีกว่า "แล้วคู่หมั้นของเขาเ่าั้เป็คนที่เขาเลือกเองหรือไม่?"
หรงเยว่ถลึงตาใส่เฉียวเยว่ "จะเป็ไปได้อย่างไร ต้องเป็ฝ่าาพระราชทานสมรสอยู่แล้ว แต่คนข้างนอกลือกันว่าต้องเป็เพราะเขาไม่ต้องตาคุณหนูที่ถูกพระราชทานสมรส ดังนั้นก็เลยใช้ลูกไม้บางอย่างเพื่อกำจัด ดังนั้นตอนนี้ฝ่าาก็ไม่กล้าพระราชทานสมรสให้เขาแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็กลัวว่าหากถูกพระราชทานสมรสให้เขาก็จะต้องถูกกำจัดทิ้ง"
เฉียวเยว่ทอยิ้มแต่คล้ายไม่ยิ้ม แม้ว่าหรงจ้านจะเป็คนล้ำลึกยากคาดคะเน แต่นางรู้จักเขามาหลายปี ไม่เคยรู้สึกว่าเขาจะเป็คนโฉดประเภทสังหารคนโดยไม่กะพริบตา
ส่วนข่าวลือเ่าั้ ก็อาจมีเื่บางอย่างที่พวกนางไม่รู้แฝงอยู่
เฉียวเยว่พยักหน้า "ขอบคุณเ้าค่ะพี่หรงเยว่ที่บอกข้า"
หรงเยว่เห็นสีหน้านางเหมือนไม่รู้สึกอะไร ก็พูดว่า "ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็อย่าชะล่าใจนัก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เื่ล้อเล่น"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าทราบ ข้าทราบเ้าค่ะ"
"แล้วก็ยังมีอีก ถึงแม้ว่าคุณชายิ่จะดีมาก แต่ก็ไม่ควรคบหาลึกซึ้งเกินไป" แม้ว่าปรกติหรงเยว่มักจะปากคอเราะราย แต่นางไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ "ไม่รู้เหตุใดคนที่เ้าคบหาแต่ละคนล้วนแต่แปลกพิกล เ้ากลับมาเมืองหลวงได้ไม่นาน ยังไม่รู้เื่ราว ในเมืองหลวงมีเกณฑ์ที่เรียกว่าสามไม่ควรแต่ง"
เฉียวเยว่ร้องเอ๋ มองหรงเยว่อย่างงุนงง หรงเยว่พยักหน้าตอบอย่างจริงจัง "ใช่ ทั้งอวี้อ๋องและิ่จื้อรุ่ยล้วนเข้าเกณฑ์สามไม่ควรแต่งกันทั้งคู่ อวี้อ๋องมีนิสัยแปลกประหลาดไม่ควรแต่ง ส่วนคุณชายิ่ก็เป็เพราะชาติตระกูล ใครบ้างไม่รู้ว่ามารดาเขาเป็คนชนเผ่าต่างเชื้อชาติ หากแต่งไปก็มีแต่ต้องทนทุกข์ ถึงเวลาสามีต้องไปประจำที่ชายแดน ภรรยาก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แล้วชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ะเิเสียงหัวเราะ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า "พวกท่านคิดไปไกลเกินไป ข้าไม่เห็นจะรู้สึกว่าอวี้อ๋องกับพี่จื้อรุ่ยจะมีปัญหาตรงไหนเลย"
"เ้าเติบโตมาพร้อมกับพวกเขา ย่อมรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีอะไร แต่เฉียวเยว่ เ้าฟังข้านะ เ้าก็โตเป็สาวแล้ว ต้องรู้จักขอบเขตเสียบ้าง อยู่ห่างจากพวกเขาหน่อยดีกว่า"
หรงเยว่จากไปด้วยความเป็ห่วง เฉียวเยว่ยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
นางรู้ว่าหรงเยว่หวังดีกับนาง แต่นางก็มีความคิดของตนเอง นอกจากนี้ในสายตาของนางพวกเขาสองคนล้วนเป็พี่ชาย พี่ชายตนเองถูกผู้อื่นรังเกียจ นางก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน ส่วนที่หรงเยว่วิตกกังวล นางก็บอกไปว่าตนเองยังไม่มีความคิดเื่แต่งงาน ตอนนี้นางเพิ่งอายุเท่าไรเอง!
หลังจากวันหยุดกลับไปสำนักศึกษา ฉินอิ๋งดูจะกระตือรือร้นมีไมตรีต่อเฉียวเยว่มากขึ้นกว่าเดิม
แม้แต่โม่หลันก็ยังแปลกใจ นางดึงเฉียวเยว่ไปถามด้านข้าง "เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดจู่ๆ นางก็ดีกับเ้าเช่นนี้ล่ะ?"
นางทำปากยื่นแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "ข้าต่างหากสหายที่ดีที่สุดของเ้า"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ใช่ ใช่ ใช่ เ้าคือสหายที่ดีที่สุดของข้า"
โม่หลันยิ้มออกทันควัน หลังจากนั้นกระดกมุมปากข้างหนึ่ง "แล้วอีกสองสามวันเ้าเตรียมการอะไรไว้บ้าง"
"เฉียวเยว่เงยหน้า "เตรียมการอันใด?"
เห็นนางทำสีหน้าข้าไม่รู้เื่ โม่หลันก็ถลึงตาใส่ "เ้าไม่รู้อะไรเลยหรือ? ก็เทศกาลตวนอู่ [1] อย่างไรเล่า สำนักศึกษามีกิจกรรมวันเทศกาลตวนอู่"
แพขนตายาวของเฉียวเยว่กะพริบถี่ๆ "กิจกรรมอะไรหรือ?"
นางไม่รู้จริงๆ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยใส่ใจกับเื่เหล่านี้ แต่ถ้ามีกิจกรรมก็ดีน่ะสิ นางยิ้มตาหยี "ข่าวสารของเ้ารวดเร็วฉับไวเป็ที่สุด รีบบอกข้าเร็ว"
จะว่าไปสหายร่วมชั้นเรียนของพวกนางนอกจากโม่หลันแล้วก็มีฉินอิ๋งที่ดูเหมือนจะรู้เื่อะไรมากหน่อย เฉียวเยว่รู้สึกว่าเป็แบบนี้ก็ดีมาก
โม่หลันกลอกตาใส่นาง "ข้าว่าเ้านี่ทึ่มจริงๆ ไม่รู้อะไรสักอย่าง เทศกาลตวนอู่ของทุกปีสำนักศึกษาสตรีจะมีจัดงานร้อยบุปผา กับแข่งเรือั"
"แต่สตรีเช่นพวกเราคงพายเรือัไม่ไหวกระมัง" เฉียวเยว่แสร้งทำสะดีดสะดิ้ง
โม่หลันร้องโธ่เอ๊ย แล้วหัวเราะขบขันไม่หยุด หลังจากหัวเราะจนหนำใจแล้วก็เอ่ยว่า "แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นักเรียนชายของกั๋วจื่อเจียน เทศกาลตวนอู่เป็กิจกรรมที่กั๋วจื่อเจียนกับสำนักศึกษาสตรีของเราร่วมมือกัน ทุกปีนักเรียนชายของกั๋วจื่อเจียนจะเตรียมเรือั ส่วนนักเรียนหญิงจะจัดงานร้อยบุปผา" อาจเป็เพราะสังเกตได้ว่าเฉียวเยว่ไม่รู้อะไรเลย นางจึงเล่าต่อไป "ก็คือพวกเราจะให้ทุกคนเตรียมดอกไม้มาจากบ้าน ราชสำนักก็จะจัดสรรงบประมาณบางส่วนให้สำนักศึกษาเพื่อใช้ในการซื้อของ งานร้อยบุปผาจะมีการตั้งแผงขายของข้างนอก ทางสำนักศึกษาจะนำเงินรายได้ของการจัดงานทั้งหมดไปซื้ออาหารและสิ่งของบริจาคให้แก่ครอบครัวยากจนในเขตชานเมือง"
เฉียวเยว่พยักหน้า "อย่างนี้ดีมาก"
โม่หลันพูดต่อ "แม้ว่าเป็กิจกรรมที่ร่วมมือกัน แต่ทุกปีกั๋วจื่อเจียนกับสำนักศึกษาสตรีก็จะมีการแข่งขันกัน ดูว่ารายได้จากเรือัหรืองานร้อยบุปผาจะมียอดบริจาคสูงกว่ากัน หลายปีมานี้ก็เสมอกันมาตลอด ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ"
ตอนเฉียวเยว่ยังเล็ก ครอบครัวไม่ค่อยพานางไปเที่ยวตามงานเทศกาลที่มีคนเยอะ จนกระทั่งโตหน่อยถึงได้ออกจากบ้าน เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปี เฉียวเยว่ย่อมจะไม่รู้เื่เหล่านี้
นึกดูแล้วก็จริง มารดาของนางเป็สตรีชั้นสูง เคร่งครัดในระเบียบแบบแผนมาั้แ่เด็ก ไม่ค่อยจะคุยเื่ไร้แก่นสาร หากสิ่งใดไม่เกี่ยวข้องกับนาง จะไม่เอ่ยปากเป็อันขาด
เมื่อครั้งยังเป็ทารกก็มีหลันหมัวมัวเป็ประดุจเทพผู้รายงานข่าว แต่พอนางเริ่มโตขึ้นมาหน่อย หลันหมัวมัวก็ไม่ค่อยพูดอะไรต่อหน้านางอีก เพราะกลัวว่านางจะติดนิสัยซุบซิบนินทา ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยรู้อะไรเลย
"การช่วยเหลือผู้อื่นเป็เื่ที่ดี แล้วจะเริ่มเตรียมตัวกันเมื่อไรล่ะ พวกเราต้องเตรียมดอกไม้กี่กระถาง?"
นางไม่รู้อะไรสักอย่างจริงๆ จึงรั้งมือโม่หลันไว้ไม่ปล่อย
"เ้าจะร้อนใจอันใด ก็คงจะสองสามวันนี้แหละ เ้าอย่าใจร้อน"
โม่หลันเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง แล้วลอบพูดกับเฉียวเยว่อย่างระมัดระวัง "ทุกปีเวลานี้ ทุกคนต่างก็ประชันขันแข่ง ตามระเบียบของสำนักศึกษามากที่สุดก็สิบกระถาง แต่แม้จะกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเอามาต่ำกว่าจำนวนนี้ อีกอย่างนะ เื่ปริมาณมักหาข้อได้เปรียบไม่ค่อยได้ ต้องแข่งกันที่ประเภทและสายพันธุ์"
เฉียวเยว่ "เอ๋?"
พอนางย้อนนึกดู ก็พอจะเข้าใจได้
"ญาติผู้พี่ของข้าทั้งสายนอกสายในล้วนแต่เรียนอยู่ในสำนักศึกษาสตรี ดังนั้นข้าถึงรู้ ทุกคนล้วนแต่้าความเป็เลิศ พิถีพิถันค้นหาสิ่งแปลกใหม่ เ้ารู้หรือไม่ มีคนเอาต้นหยดน้ำเ้าแม่กวนอิมมาด้วย เ้าคิดดูสิ ว่ามันแพงมากแค่ไหน"
แม้ว่าจะเป็คุณหนูที่ร่ำรวย แต่เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ โม่หลันก็ยังจุปาก
"ต้นนั้นมีดอกบานด้วยหรือ แล้ว..."
โม่หลันรู้สึกจริงๆ ว่าเฉียวเยว่มีแต่ความเฉลียวฉลาด แต่ไม่ค่อยเข้าใจเื่ราวความสัมพันธ์ของคนสักเท่าไร
"ต้นไม้จะมีดอกหรือไม่ไม่สำคัญหรอก มีคนไม่น้อยนำไม้ประดับที่หายากมา บอกไม่ถูกว่าชื่ออะไร สนใจเพียงแค่ความแปลก อย่าว่าแต่อะไรเลย ของยิ่งแปลกก็ยิ่งขายได้ราคา บุรุษไม่น้อยชอบซื้อไปตั้งในห้องหนังสือ
เฉียวเยว่จุปากจิ๊ๆ แล้วถอนหายใจ "ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่การทำความดีย่อมเป็สิ่งที่ดี"
วันนั้นอาจารย์เอ่ยถึงเื่นี้ตามที่คาดไว้ "คิดว่าพวกเ้าทราบกันดีอยู่แล้ว นักเรียนใหม่ของทุกปีมีหน้าที่รับผิดชอบเตรียมงาน"
เฉียวเยว่ชำเลืองมองโม่หลัน นางก็ส่งสายตาบอกว่าข้าพูดไม่ผิดล่ะสิ
เฉียวเยว่หัวเราะเบาๆ
สายตาของอาจารย์มองมาที่เฉียวเยว่ ก่อนถามว่า "มีสิ่งใดน่าขัน?"
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเข้มงวด
อาจารย์ที่พาพวกนางไปครานี้ได้ยินว่าเป็อาจารย์ที่เข้มงวดที่สุดของสำนักศึกษา
เฉียวเยว่ตอบอย่างจริงจัง "มิได้ขบขัน เพียงแค่คิดว่าหากสามารถช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ตนเองสามารถช่วยได้ ก็มีความสุขจนยากจะระงับความรู้สึกได้เ้าค่ะ"
"เ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี" อาจารย์พยักหน้า
หลังจากนั้นก็หันมาพิจารณาทุกคน แล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า "ข้ารู้ ศิษย์พี่ของพวกเ้าล้วนเตรียมบุปผาและพรรณไม้หายากมากันทุกปี แน่นอนว่าข้าก็ไม่ปฏิเสธหากพวกเ้าจะทำแบบเดียวกัน แต่ข้าก็หวังว่าพวกเ้าจะตระหนักได้ว่า การทำดีหาใช่เวทีสำหรับการประชันขันแข่ง"
"พวกเราเข้าใจเ้าค่ะ" ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียง
เนื่องจากต้องจัดตลาดนัดการกุศล ต้องเตรียมกล่องรับบริจาคจำนวนมาก จึงเป็หน้าที่ของสำนักศึกษาสตรี แม้แต่ทางกั๋วจื่อเจียนก็ยังต้องมาพึ่งพา พวกนางล้วนแต่เป็คุณหนูอายุยังน้อย มาจากครอบครัวชาติตระกูลดี ไหนเลยจะเคยทำเื่เหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ แม้แต่ท่านหญิงฉางเล่อผู้หยิ่งผยองก็เช่นเดียวกัน
แท้จริงแล้วแคว้นต้าฉีมีจารีตประเพณีอันดีงาม และยังให้ความเคารพต่อครูบาอาจารย์เป็พิเศษ ทั้งกั๋วจื่อเจียนและสำนักศึกษาสตรีจึงไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้าสะเพร่า
แม้จะเป็จวิ้นจู่ก็เช่นเดียวกัน สอบไม่ผ่านคือสอบไม่ผ่าน เ้าสามารถเป็นักเรียนฝากเข้ามาได้ แต่จะไม่ได้รับการตอบรับโดยตรง ทุกคนจะยังรู้ว่าเ้าสอบไม่ผ่าน
อาจารย์แบ่งกลุ่มออกเป็สองสามกลุ่ม เฉียวเยว่กับโม่หลันอยู่กลุ่มเดียวกัน พวกนางรับผิดชอบเื่เขียนอักษร
ส่วนท่านหญิงฉางเล่อได้รับมอบหน้าที่ทำกล่องบริจาค สีหน้าของนางพลันบึ้งตึง หลังนิ่งไปสักพักก็ยกมือขึ้นแจ้งความประสงค์ "อาจารย์ ข้าอยากอยู่กลุ่มเขียนอักษร"
เมื่อเทียบกับทำกล่องบริจาค เขียนอักษรย่อมสบายกว่ามาก
อาจารย์ผู้นี้สกุลกู้ อาจารย์กู้มองนางปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเ็า "แบ่งให้เ้าอยู่กลุ่มไหนก็อยู่กลุ่มนั้น หากเกี่ยงงานไม่อยากทำก็ออกจากสำนักศึกษาไปได้เลย"
น้ำเสียงราบเรียบไม่มีสูงต่ำ แต่กลับเ็ามาก ขอบตาของท่านหญิงฉางเล่อเริ่มแดง
จะว่าไปอาจารย์กู้ก็ยังอายุไม่มาก ยังไม่ถึงสามสิบปี
เอ้อ เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็วัยกลางคนสำหรับยุคสมัยนี้ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็อาจารย์อายุน้อยที่สุดในสำนักศึกษา แต่กลับเป็เข้มงวดเป็อันดับหนึ่ง
"ที่นี่คือสำนักศึกษา ไม่ใช่บ้านของพวกเ้าเอง ให้ทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น สงสัยมากนักก็ลาออกไปเสีย ไม่ว่าผู้ใดก็เหมือนกัน อยู่ที่นี่ไม่คุยเื่ศักดิ์ศรีหน้าตา"
เฉียวเยว่ก้มหน้า แต่บั้นเอวกลับยืดตรงโดยไม่รู้ตัว
อุ้ย! แรงมากเ้าค่ะ...
...
[1] เทศกาลตวนอู่ หรือคนไทยเรียกเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง จะตรงกับวันที่ห้าเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติ เป็วันที่รำลึกถึงกวีและขุนนางผู้ซื่อสัตย์นามว่าชวีหยวนที่ถูกใส่ร้ายและปลดออกจากตำแหน่ง และสุดท้ายเมื่อแคว้นล่มสลายเพราะทรราช เขาก็ะโน้ำฆ่าตัวตาย ขณะที่ชาวบ้านตามหาศพของเขาก็มีการโยนข้าวเหนียวลงน้ำ จึงเป็ที่มาของการทำข้าวเหนียวที่ห่อด้วยใบไผ่ และทำเรือัขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้