หัวหน้าอันธพาลโกรธเจียนคลั่ง “ให้ตายเถิด! ให้ตายเถิด! ยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่!”
อินเหิงเอ่ย “กฎหมาย พวกเ้าไม่ใช่กฎหมายหรอกหรือ?”
อันธพาลอีกคนเสนอแนะด้วยความจริงใจ “คนฉลาดย่อมไม่ยอมเสียเปรียบซึ่งหน้า [1] พวกเรารีบถอยก่อนเถิด... เ้าดูสิ ในกระบอกธนูของเขายังมีลูกธนูเหลืออีกตั้งครึ่ง”
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างคิดว่ามีเหตุมีผล จึงรีบลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งกรูกันออกไปนอกประตูลานเรือน
“อย่าเบียด อย่าเบียด!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย เบียดกะผีสิ เ้าชนโดนธนูที่ปักเข่าข้า!”
“เจ็บเป็บ้า!”
ทันใดนั้นอินเหิงก็เอ่ยอย่างเ็าจากทางด้านหลัง “ประเดี๋ยวก่อน”
ดั่งว่ากลุ่มคนเหล่านี้เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจที่น่าเกรงขาม พวกเขาหันกลับมามองอินเหิงด้วยความหวาดหวั่น
อินเหิงชี้ไปที่ลูกธนูไม้ไผ่ที่ปักอยู่บนหัวเข่าของพวกเขา “ทิ้งสิ่งนั้นไว้” มิเช่นนั้นเขาคงต้องเสียเวลาเหลาใหม่ทีละดอก
พวกอันธพาลในหมู่บ้านฉุนเฉียวแทบกระอักเื แต่ก็ต้องอดทนกัดฟันดึงลูกธนูออก มิเช่นนั้นอาจถูกพวกเดียวกันเบียดจนลูกธนูจมลึกเข้าเนื้ออีกสองชุ่นก็เป็ได้
เดิมตั้งใจจะขว้างลูกธนูใส่อินเหิงอย่างก้าวร้าว แต่เมื่อเห็นอินเหิงเลิกคิ้วและลูบลูกธนูในกระบอก บรรดาอันธพาลก็วางลูกธนูที่ดึงออกมาอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า “อย่าทำอันใดวุ่นวาย วางบนพื้น ทุกคนวางบนพื้น!”
อินเหิงยังอารมณ์ดีมากขณะโบกมือให้หัวหน้าอันธพาล ก่อนเคาะกระบอกธนูสองครั้ง
ความหมายชัดเจนมากคือให้หัวหน้าอันธพาลนำลูกธนูมาให้ และช่วยใส่เข้าไปในกระบอก
ดังนั้นพวกอันธพาลจึงส่งลูกธนูให้หัวหน้าทีละคน แล้วถอยหลังอย่างพร้อมเพรียงกันโดยปริยาย ก่อนยกมือส่งหัวหน้าออกไป
หัวหน้ากำลูกธนูไว้เต็มมือ เดินขากะเผลกก้าวขึ้นหน้าอย่างสั่นเทา
ในใจเขาไม่พอใจ ทุกคนถูกธนูของไอ้ง่อยนี่เล่นงาน สุดท้ายยังต้องคืนลูกธนูให้เขาด้วยความนอบน้อม มีเหตุผลเช่นนี้ด้วยหรือ!
ไอ้หมอนี่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น เดินไม่ได้ ะโไม่ได้ แค่ยิงธนูเก่งกว่าผู้อื่นเล็กน้อย หากเขาฉวยโอกาสยามคืนลูกธนูโจมตีประชิดตัว อีกฝ่ายคงไม่มีทางตอบโต้ได้แน่นอน
จะตกอยู่ในเงื้อมมือคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ไม่ได้เด็ดขาด จะต้องให้เขาได้ลิ้มรสความดุร้ายของตนสักหน่อย เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง
หัวหน้าอันธพาลเชื่อเช่นนี้ ไม่นานก็เดินมาถึงตรงหน้าอินเหิง เขาแสร้งทำท่าจะเอาลูกธนูใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน วาดลูกธนูใส่อินเหิงอย่างว่องไว
พวกอันธพาลอุทาน “โอ้!” เบิกตากว้างขณะจ้องมองการต่อสู้
ขณะนั้นอินเหิงเอนตัวไปด้านหลัง ลูกธนูเฉียดผ่านชายเสื้อของอินเหิงไป เขายกมือขึ้นคว้าข้อมือของหัวหน้าอันธพาลแล้วบิดไปด้านหลังอย่างแรง
ได้ยินเสียงกระดูกหักดัง “กรอบ!” พวกอันธพาลถึงกับร้องเสียงหลง “อ๊าก!”
หัวหน้าอันธพาลร้องลั่นด้วยความเ็ป ไม่มีแม้แต่แรงจะกำมือ อินเหิงจึงคว้าข้อมือของเขาไปที่กระบอกไม้ไผ่ ลูกธนูในมือของเขาก็หล่นใส่กระบอกโดยไม่ตกพื้น
หัวหน้าอันธพาลกัดฟันแน่น ยังไม่ยอมแพ้ เหวี่ยงมืออีกข้างใส่อินเหิงทันควัน
สำหรับการโจมตีที่ไม่มีพลังทำลายล้างเยี่ยงนี้ อินเหิงเพียงใช้มือคว้าแขนอีกข้างของอีกฝ่ายไว้ส่งเดชพลางเอ่ยเสียงอบอุ่นเบาๆ “กล้าหาญน่ายกย่อง ดี!”
ทันใดนั้นหัวหน้าอันธพาลก็รู้สึกเย็นะเืไปถึงกระดูกสันหลัง หนังศีรษะชา
หัวหน้าอันธพาลร้องไห้โฮ “ฮือๆๆๆ ข้าจะฟ้องท่านแม่...”
พอเขาพูดจบ แขนอีกข้างของเขาก็ถูกอินเหิงบิดจนหัก ห้อยต่องแต่งไร้เรี่ยวแรง
พวกอันธพาลส่งเสียงร้อง “โอ้!” อีกครั้งด้วยความสะพรึงกลัว เพียงแค่มองก็รู้สึกเจ็บแขนไปหมดแล้ว
อินเหิงผลักหัวหน้าอันธพาลไปข้างหน้าอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก หัวหน้าอันธพาลก็เซล้มลงกับพื้น หน้าตามอมแมมเปื้อนฝุ่น สีหน้าบูดบึ้งด้วยความเ็ป
คนอื่นๆ รีบก้าวขึ้นหน้าไปช่วยพยุงหัวหน้า จากนั้นก็ประคองกันวิ่งหนีอุตลุดออกไปนอกประตูลานเรือน
ยามที่เมิ่งอู่กลับมาหลังจากเก็บผักแล้ว ก็เห็นพวกอันธพาลวิ่งกะโผลกกะเผลกไปที่คันนา เมิ่งอู่ะโเรียกพวกเขา ครั้นพวกเขาหันกลับมาเห็นเมิ่งอู่ก็ใดุจเห็นผี วิ่งหนีเร็วกว่าเดิมทันควัน
ทว่าเพราะขาและเท้าไม่ค่อยดี จึงวิ่งโซเซไปมาประหนึ่งฝูงเป็ดกำลังจะกลับเรือน
เมื่อเมิ่งอู่เข้าไปในเรือนก็เห็นอินเหิงอยู่ในลานเรือน เขากำลังก้มลงเก็บเสาไม้ไผ่ที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น แล้ววางเรียงไว้ข้างรั้วไม้ไผ่อย่างเป็ระเบียบ
เมิ่งอู่วางตะกร้าลง แล้วเดินเข้ามาช่วยจับไม้ไผ่พลางเอ่ย “ไอ้พวกรนหาที่ตายนั่นกลับมาสร้างความวุ่นวายอีกแล้วหรือ?”
อินเหิง “อืม”
เมิ่งอู่หันกลับมาสำรวจร่างกายของอินเหิง ก่อนจับๆ เสื้อผ้าสีขาวของเขาโดยที่นางไม่ลืมล้างมือให้สะอาด จากนั้นจึงลูบคลำสำรวจทั่วกายเขาพลางเอ่ย “เ้าเป็อย่างไรบ้าง? าเ็หรือไม่?”
นางทำให้เสื้อผ้าที่เรียบร้อยของอินเหิงยับนิดหน่อย แต่เขาก็ยินยอม เพียงยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มบาง กล่าวว่า “ข้าไม่เป็ไร”
ดูเหมือนนอกจากเสาไม้ไผ่ในลานเรือนที่กระจัดกระจายแล้ว ก็ไม่มีอันใดเสียหาย
ไฟในเตายังคงลุกโชนนิดๆ ควันขาวลอยออกมาจากหม้อที่ปิดฝาไว้ ส่งกลิ่นหอมของข้าวสวย
เมิ่งอู่เงยหน้ามองเขาพร้อมถาม “พวกมันยอมกลับไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ?” นี่ดูไม่เหมือนวิถีของพวกอันธพาลในหมู่บ้านเลย
อินเหิงยกมือขึ้นปัดชายเสื้อ กล่าวว่า “พอพวกมันได้ยินว่าอาอู่กลับมาก็ใกลัวรีบหนีไป”
“จริงหรือ?” เมิ่งอู่ถามต่อ “แต่ไยข้าถึงเห็นพวกมันวิ่งกะโผลกกะเผลกกันหมดเลยเล่า?”
อินเหิงทำท่าทางจริงจังขณะกล่าว “ตาไม่ดี เลยสะดุดธรณีประตู”
เมิ่งอู่หันกลับไปมองธรณีประตูลานเรือนของบ้านตน มีขั้นบันไดสามสองขั้น คิดว่าหากรีบร้อนเกินไปก็อาจสะดุดได้ และเพราะคนเยอะจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าคนหนึ่งสะดุดก็จะล้มต่อๆ กันทั้งกลุ่ม
เมิ่งอู่กวาดตามองโดยรอบ ก่อนซักถามต่อ “ไยถึงมีเ้าเพียงผู้เดียว ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด? แล้วชาวบ้านคนอื่นๆ ที่มาทำงานอยู่ที่ใด?”
ประจวบเหมาะกับมีเสียงดังจากประตูห้อง เป็เสียงของนางเซี่ยที่กล่าวว่า “อาอู่ อาอู่กลับมาแล้วหรือ? ข้าอยู่ในนี้ เปิดประตูเร็วเข้า!”
เมิ่งอู่เพิ่งสังเกตเห็นท่อนไม้ไผ่ที่ขวางประตูไว้ ก็รีบเข้าไปเอาออก นางเซี่ยจึงออกจากห้องได้
พอนางเซี่ยออกมาก็เห็นว่าในลานเรือนไม่ได้รับความเสียหาย นางจึงตื่นตะลึงอยู่บ้าง ก่อนจ้องมองอินเหิงด้วยความโมโหและตั้งใจจะต่อว่าเขา แต่ยังไม่ทันตำหนิ อินเหิงก็กล่าว “เมื่อครู่จำเป็ต้องทำเช่นนั้น ขอฮูหยินโปรดให้อภัยด้วย”
ทันใดนั้นเมิ่งอู่ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเื่ใดขึ้น เป็อินเหิงที่ขังนางเซี่ยไว้ในเรือน เพราะกลัวว่าพวกอันธพาลจะทำร้ายนาง
หากเป็ตัวนางเองก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่สองขาของอินเหิงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ย่อมด้อยกว่าคนธรรมดาทั่วไป ในสถานการณ์ที่เขายังปกป้องตนเองไม่ได้ แต่ยังเลือกที่จะปกป้องนางเซี่ย ช่างทำให้เมิ่งอู่ทั้งซาบซึ้งใจและปวดใจจริงๆ!
เมิ่งอู่กล่าว “ทุกคนปลอดภัยก็ดีแล้ว ท่านแม่ อย่าตำหนิอาเหิงเลยเ้าค่ะ”
นางเซี่ยมิได้ตำหนิเขา เพียงแต่โมโหเขา
เขากล้าหาญเช่นนี้โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หากเกิดเื่ร้ายแรงขึ้น พอเมิ่งอู่กลับมาคงต้องเสียใจเจียนตายเป็แน่
……….
[1] หมายถึง เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก คนฉลาดจะยอมถอยเพื่อจะได้ไม่สูญเสีย หรืออัปยศอดสู หรือตกเป็เบี้ยล่างของอีกฝ่าย