พอได้ยินข่าวนี้ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงที่ตัวของหลี่เสวี่ยหรู เธอเกือบจะสูญเสียการควบคุมแล้วกรีดร้องออกมา หลี่เสวี่ยหรูกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ไม่...ไม่กลับไปแล้วหรือ?”
“ใช่ ไม่กลับไปแล้ว” ทันใดนั้นจางหวาเฟิงก็นึกถึงข่าวที่ซย่านีเปิดเผยให้ตนได้ฟังขึ้นมา ั์ตาของเขาฉายแววโลภทันควัน “ใช่แล้ว ยังมีอีกนะ ฉันได้ยินมาว่าพ่อของเธอมีตำแหน่งเป็ถึงรองหัวหน้าโรงงาน และอีกไม่นานเขาก็จะได้เลื่อนขั้นเป็หัวหน้าโรงงานด้วยนี่นา? ถึงตอนนั้นก็ให้พ่อของเธอหางานให้ฉันทำสักอย่างสิแล้วพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไง! ทีนี้ฉันก็จะไม่สนใจตาแก่ตายยากอย่างพ่อของฉันอีกแล้ว!”
ในใจของหลี่เสวี่ยหรูนั้นเกลียดชายขี้เหร่ตรงหน้ายิ่งนัก เขาแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละโมบให้เธอเห็น แต่ตอนนี้ตัวเธอกลับทำได้เพียงระงับความรังเกียจเอาไว้ในใจพร้อมกับปั้นหน้ายิ้มสดใสส่งให้คนตรงหน้าแทน “แบบนั้นก็ดีมากเลย! แต่เื่นี้ไม่อาจรีบร้อนได้ต้องค่อยๆ วางแผนกันก่อน พ่อของฉันน่ะ หัวโบราณมาก ฉันเดาว่าเขาจะต้องดูถูกนายแน่ๆ หากนายทำให้พ่อของฉันโกรธขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้เป็ฉันก็คงโดนพ่อไล่ออกจากบ้านเหมือนกัน ถึงตอนนั้นพวกเราสองคนคงได้กินแกลบกันแล้วล่ะ”
จางหวาเฟิงกล่าวตอบ “ได้ ฉันฟังเธอทุกอย่าง...ที่รัก ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้ว พวกเราค่อยพูดเื่นี้กันทีหลังเถอะนะ เร็วเข้า มาให้ฉันจูบเธอหน่อย”
“ไม่ได้นะ! นี่มันกลางวันแสกๆ อยู่เลย เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเข้า...”
หลี่เสวี่ยหรูพูดยังไม่ทันจบก็ถูกจางหวาเฟิงปิดปากเสียแล้ว
ทั้งสองคนจูบแลกลิ้นกันอย่างลึกซึ้งจนเกิดเสียงดังอันน่าอับอายขึ้น
จางหวาเฟิงหลับตาพริ้มท่าทางดูลุ่มหลงยิ่งนัก ทว่าใบหน้าของหลี่เสวี่ยหรูกลับแดงก่ำ เธอกำมือแน่นจิกเข้ากับขากางเกงตนเองอย่างแรงจนหลังมือมีเส้นเืปูดขึ้นมาให้เห็น
เพียงมองแว็บเดียวก็รู้ได้ว่าตอนนี้เธอทุกข์ทรมานมากเพียงใด
“ฮึๆ”
เสียงนั้นคือเสียงหัวเราะของซย่านีนั่นเอง
เมื่อครู่นี้เธอยังไม่ทันได้ไปไหนไกลเท่าใดนนัก แต่เธอเลือกเดิมตามหลังจางหวาเฟิงมาอย่างเงียบๆ พอได้ชมฉากสนุกอย่างหมากัดกันเองเช่นนี้ ช่างทำให้เธออิ่มเอมใจเหลือเกิน
จางหวาเฟิงโง่เขลาอย่างนี้ไม่แปลกเลยที่เขาจะกลายเป็ลูกไก่ในกำมือของหลี่เสวี่ยหรู แม้หลี่เสวี่ยหรูจะฉลาดแค่ไหนแต่ดันมาเจอผู้ชายที่ละโมบอย่างจางหวาเฟิงเข้า หากคิดจะสลัดทิ้งให้พ้นตัวก็คงทำไม่ได้ง่ายๆ หรอก
ตอนนี้ก็แค่ปล่อยให้พวกเขาเป็ดั่งตะพาบน้ำจ้องมองถั่วเขียว[1] จะดีมากเลย หากหลี่เสวี่ยหรูต้องเข้ามาพัวผันกับผู้ชายแบบนี้ไปจนวันตาย!
......
ซย่านีขนกระสอบใบที่สองกลับมาแล้ว จากนั้นเธอก็เทผ้าทั้งสองกระสอบออกจนหมด ผ้าเ่าั้กองรวมกันอยู่บนพื้นราวกับูเาลูกเล็ก
เซี่ยงเหมยยื่นมือออกไปหยิบวัสดุที่เป็ผ้าแพรสีน้ำเงินอ่อนขึ้นมาหนึ่งชิ้น พลางทอดอาลัยว่า “ผ้าผืนนี้ช่างดีจริงๆ เลย เธอว่า...ต้องเป็คนแบบไหนกันนะ ถึงจะเลือกใช้วัสดุที่ดีแบบนี้มาตัดชุดได้?”
ซย่านีกล่าวตอบ “ก็คงเป็คนที่ต้นตระกูลรวยมาั้แ่อดีตนั่นแหละ ต่อให้เป็สินค้าในห้างสรรพสินค้าก็เถอะ วัสดุดีๆ แบบนี้ คงไม่ค่อยได้เห็นกันเท่าใดนัก แต่พี่ดูนี่สิ ร้านนี้น่ะกลับมีผ้าแบบนี้อยู่เต็มไปหมดเลย”
เซี่ยงเหมยกล่าวขึ้น “วัสดุพวกนี้สามารถใช้ปักเป็กระเป๋าได้เลยนะ...แต่ก่อนย่าของฉันก็เคยมีกระเป๋าผ้าปักที่ทำจากวัสดุดีๆ แบบนี้เหมือนกัน ้ากระเป๋าปักรูปดอกบัวสวยงามมากๆ ปกติย่าของฉันมักจะใช้กระเป๋าแบบนั้นเก็บพวกแหวนกับสร้อยทอง”
ซย่านีพูดติดตลกขึ้นมา “โอ้ มีแหวนกับสร้อยทองด้วยหรือ พี่สะใภ้เซี่ยงเหมยดูท่าบรรพบุรุษของพี่คงมีชีวิตดีล่ะสิ”
เซี่ยงเหมยยิ้ม “ทองนั่นเป็สินเ้าสาวของย่าฉันเอง ครอบครัวของย่าน่ะร่ำรวยมากแต่ว่าฝั่งปู่ของฉันกลับยากจนมากเช่นกัน ย่าบอกว่าั้แ่แต่งงานกับปู่สินเ้าสาวก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลย สุดท้ายสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือแหวนทองกับสร้อยทองเส้นเล็กๆ นี่แหละ ซย่านีวันนี้พวกเราทำยางรัดผมได้เยอะมาก พรุ่งนี้จะเอาไปขายด้วยเลยไหม?”
่บ่ายซย่านีก็ไปเลือกเศษผ้ากลับมาแล้ว หนังยางรัดผมวงใหญ่ที่ทำเสร็จก็ถูกวางเรียงกันอยู่บนเตียง เอาเข้าจริงๆ คนที่ทำหนังยางรัดผมพวกนี้ทั้งหมดก็คือ เซี่ยงเหมย แม้ปากของเธอจะบอกว่าตนเองมีทักษะด้านงานศิลปะไม่ค่อยดีนัก แต่เธอก็ทำหนังยางรัดผมวงใหญ่ออกมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยิ่งเธอทำมากเท่าไหร่ ก็ดูยิ่งชำนาญมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้พวกเขาเก็บรวบรวมสินค้าได้เกือบสองร้อยชิ้นแล้ว
ซย่านีกล่าวว่า “เก็บเอาไว้ก่อนค่ะ พวกเราค่อยเอาไปขายกันอีกทีวันอาทิตย์...”
ซย่านีคิดว่าพอหมดวันเสาร์แล้ว พวกเธอสองคนก็น่าจะทำกันได้ประมาณหนึ่งพันชิ้น เธอมั่นใจกับหนังยางรัดผมที่ตนเองทำขึ้นมามากๆ เธอเชื่อว่าขอเพียงหาทำเลเหมาะๆ สักที่ในการตั้งแผงลอย หนังยางรัดผมจำนวนหนึ่งพันชิ้นนี้ จะต้องขายหมดในไม่กี่วันอย่างแน่นอน
เซี่ยงเหมยไม่ใช่คนหัวแข็งเท่าใดนัก พอเห็นซย่านีมีความมุ่งมั่นแบบนี้ จึงเอ่ยตอบรับ “ได้ ฉันฟังเธอก็แล้วกัน”
ขณะที่ซย่านีกับเซี่ยงเหมยสลับกันใช้จักรเย็บผ้าเพื่อทำงาน ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็เลิกเรียนและกลับมาถึงบ้านแล้วพอดี
เด็กทั้งสองเข้าประตูบ้านมาก็ไม่เห็นซย่านีกับซ่งซิงเหอผู้เป็น้องชาย
“พี่ แม่ล่ะ?” ซ่งตงซวี่เอ่ยถามซ่งวั่งซู
ซ่งวั่งซูเปิดกระเป๋านักเรียนออก จากนั้นเธอก็หยิบหนังสือเรียนกับสมุดแบบฝึกหัดพร้อมปากกาออกมาจากกระเป๋าแล้วเอ่ยตอบน้องชายว่า “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร ฉันก็กลับมาพร้อมกับนายนี่แหละ”
แต่ก่อนนั้นซ่งตงซวี่ไม่ได้ติดซย่านีจนห่างกันไม่ได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมแล้วเพราะบนหัวของเขาตอนนี้เหมือนมีเครื่องกิโยตีน[2] ตามติดตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะลงมาบั่นคอเขาเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นนี่จึงทำให้เขาคิดถึงซย่านีอยู่เสมอๆ
หลังจากนั้นซ่งตงซวี่ก็วิ่งออกไปหาหวังซิ่วอิงแล้วเอ่ยถามผู้เป็ย่าว่า “ย่าครับ ย่าเห็นแม่ผมไหม?”
หวังซิ่วอิงกำลังซักเสื้อผ้าอยู่ เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็พยายามระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้แต่ก็ได้เท่านั้น เธอไม่สนใจว่าซ่งตงซวี่จะเป็แค่เด็กอายุหกขวบ เธอเริ่มเปิดฉากดุด่าเขาทันที “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแม่ของแกไปตายที่ไหน! ั้แ่บ่ายก็ไม่เห็นหัวมันแล้ว รู้จักแต่แอบอู้งาน! แกยังจะมายืนทำสากกะเบืออะไรอยู่ที่นี่อีก รีบไสหัวไปซะ อย่ามาเกะกะ!”
ซ่งตงซวี่ถูกหวังซิ่วอิงตะคอกใส่ก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ่เี่ิก็วิ่งออกมาจากในบ้านแล้วพูดขึ้น “ย่า หนูหิวแล้ว”
หวังซิ่วอิงลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นเธอก็เช็ดน้ำบนมือของตนกับขากางเกง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มใจดีว่า “หิวแล้วหรือ? ย่ายังไม่ได้ทำอาหารเลย ไปกันเถอะ เดี๋ยวย่าเอาขนมปังกรอบให้หลานกินนะ”
ซ่งตงซวี่ยืนมองตาปริบๆ ดูหวังซิ่วอิงจูงมือ่เี่ิเข้าบ้าน
ซ่งตงซวี่ส่งเสียง ‘เหอะ’ หนึ่งที “ใครจะสนใจกัน!” แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไป
ซ่งวั่งซูที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างมีความสุขกับความทุกข์ที่น้องชายเจอว่า “เป็ไงบ้าง โดนดุมาล่ะสิ?!”
ซ่งตงซวี่เดินเข้าไปใกล้ๆ พี่สาวแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “พี่ ทำไมย่าถึงไม่ชอบพวกเราขนาดนี้ล่ะ หรือว่าเพราะพวกเรามาจากชนบทงั้นหรือ?”
ซ่งวั่งซูกลอกตาพลางกล่าวว่า “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร? นายก็ไปถามย่าเองสิ!” อันที่จริงแล้ว ในใจเธอกลับคิดว่าที่ย่าไม่ชอบพวกเธอนั้น บางทีอาจจะเป็เพราะย่าไม่ชอบแม่ของเธอ
ใครๆ ก็พากันบอกว่าแม่ของเธอนั้นไม่คู่ควรกับพ่อ
วันนี้ตอนกลางวันเธอไปห้องพักครูเพื่อส่งการบ้านแล้วก็ได้ยินพวกคุณครูกำลังพูดกันว่า “แม่ของซ่งวั่งซูเป็คนไม่รู้หนังสือแถมยังแต่งตัวเชยอีก หน้าตาก็ขี้เหร่ ตอนหล่อนยื่นมือออกมานะแค่ดูก็รู้ว่าเป็มือของพวกชาวไร่ชาวนาตามชนบท ทำไมถึงโชคดีที่ได้แต่งงานกับพ่อของซ่งวั่งซูกันนะ?”
ในเวลานั้น ซ่งวั่งซูที่กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าห้องพักครู ใบหน้าของเธอมีสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
เธอรู้ว่าตัวเธอนั้นไม่ควรรังเกียจแม่ของตัวเองแต่เธอกลับอดไม่ได้ที่จะตำหนิแม่ที่เป็คนทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าคนอื่น
ซ่งตงซวี่ปีนขึ้นไปบนแท่นที่นอนแล้วพูดว่า “ผมไม่ถามหรอก เดี๋ยวย่าก็ด่าผมอีก”
ซ่งวั่งซูอารมณ์ไม่ดีนัก เธอผลักซ่งตงซวี่หนึ่งที “นายหลบไปสิ อย่าเกะกะขวางทางฉันจะทำการบ้าน”
ซ่งตงซวี่ยื่นมือออกไปคว้าปากกาของซ่งวั่งซู “ทำการบ้านอะไรกัน เดี๋ยวพี่ค่อยทำก็ได้นี่ มาคุยกับผมก่อนสิ”
ซ่งวั่งซูถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ไสหัวไปซะ!”
“ทำไมถึงไม่คุยกับน้องดีๆ ล่ะ?” ซย่านีผลักประตูเข้ามาเห็นพอดี ทำให้เธอได้ยินเสียงผู้เป็ลูกสาวกำลังด่าน้องชายของตนอยู่
ซ่งวั่งซูเหลือบมองซย่านีแว็บหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วเล่นปากกาในมือเงียบๆ
ซย่านีหันไปมองซ่งตงซวี่ “ลูกไปแหย่พี่สาวก่อนงั้นสิ?”
ซ่งตงซวี่หดคอลงเล็กน้อย
ซย่านีมีสีหน้าเข้มขึ้น “พูดมา”
ซ่งตงซวี่กล่าวตอบซย่านี “ผมก็แค่...ก็แค่...บอกให้พี่มาเล่นกับผมก่อน อย่าเพิ่งรีบทำการบ้านแค่นั้นเอง”
ซย่านีหยิกแก้มลูกชายของเธอไปหนึ่งที “ลูกไม่ทำการบ้านแล้วยังจะไปกวนพี่เขาอีกหรือ? ซ่งตงซวี่? แม่ยังไม่ได้จัดการกับลูกเื่ที่คุณครูของลูกบอกกันแม่วันนี้เลยนะ!”
ซ่งตงซวี่กะพริบตาปริบๆ “คุณครูพูด...พูดอะไรบ้างหรือครับ?”
ซย่านีไม่ตอบ แต่เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ซ่งตงซวี่ ลูกเคยได้ยินคำพูดนี้บ้างไหม ที่เขาว่ากันว่าความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้น่ะ คนที่เรียนเก่งสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้ หางานดีๆ ทำได้และได้เป็ที่นับหน้าถือตาของผู้คน ก็เหมือนกับพ่อของลูกนั่นแหละแต่อย่างแม่น่ะ ตอนเด็กๆ ครอบครัวยากจนไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ พอเริ่มรู้ความหน่อยก็ต้องช่วยพ่อแม่ดูแลน้องๆ อยู่บ้าน อายุปูนนี้แล้วกลับไม่รู้หนังสือเลยสักตัว แม่น่ะ เป็คนไม่มีการศึกษาและก็ไม่มีงานทำจึงถูกคนมากมายดูถูก” ซย่านีนิ่งไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็หันหน้าไปถามซ่งวั่งซู “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ ลูกคิดอย่างนั้นไหม?”
ซ่งวั่งซูเหมือนถูกความลับบางอย่างกระแทกเข้าที่ใจอย่างจัง “ห้ะ? อ่อ! ใช่...ใช่มั้งคะ? ถ้างั้นทำไมแม่ถึงไม่ไปโรงเรียนล่ะ?”
ซย่านีตอบ “ถ้าแม่ไปโรงเรียนแล้วใครจะดูแลน้องๆ ของแม่กันเล่า?” จากนั้นซย่านีก็โกหกนิดๆ หน่อยๆ “ั้แ่แม่ยังเด็ก แม่ก็อิจฉาเพื่อนคนอื่นๆ ที่เขาได้ไปโรงเรียนกัน ดังนั้นลูกสองคนจะต้องหวงแหนโอกาสที่ได้เรียนเอาไว้นะ...เข้าใจไหมหยางหยาง”
ซ่งตงซวี่พยักหน้าราวกับว่าเขาเข้าใจคำพูดของผู้เป็แม่
ซย่านียิ้มพลางคิดในใจ ‘ลูกเอ๋ย ถ้าลูกไม่เข้าใจก็ไม่เป็ไร เดี๋ยวแม่คนนี้จะทำให้ลูกเข้าใจเอง’
“อย่างเช่นตอนนี้พวกลูกๆ ก็อยู่ชั้นประถมกันแล้ว จะต้องได้เรียนรู้อะไรมากมายจากที่โรงเรียนแน่ๆ แม่เองก็อยากเรียนด้วยมากๆ พวกลูกยินดีจะเป็คุณครูตัวน้อยแล้วสอนหนังสือให้แม่กันไหมจ๊ะ?”
ซ่งวั่งซูดวงตาเป็ประกายขึ้นทันควัน! คนอื่นต่างก็พากันหัวเราะเยาะว่าแม่ของเธอนั้นไร้การศึกษาแต่ถ้าแม่กลายเป็คนที่อ่านออกเขียนได้ขึ้นมาเล่า?
“หนูยินดีค่ะ!” ซ่งวั่งซูตอบเสียงดังฟังชัดเป็พิเศษ ใบหน้าเล็กๆ ตื่นเต้นจนแดงระเรื่อขึ้นมา
“แล้วลูกล่ะ หยางหยาง?” ซย่านีอมยิ้มพลางหันไปมองซ่งตงซวี่
ซย่านีคิดอยู่นานมากกว่าจะคิดวิธีที่ชาญฉลาดเช่นนี้ออกมาได้ ไม่เพียงแต่เธอจะได้ใช้เวลากับลูกๆ มากขึ้นแต่วิธีนี้ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้แน่นแฟ้นมากขึ้น แถมยังสามารถช่วยดูแลเื่การศึกษาของเด็กๆ ได้อีกด้วย
ทว่าซ่งตงซวี่กลับไม่คิดเช่นนั้นเขาคล้ายกับเห็น ‘ปีศาจ’ กำลังอมยิ้มให้เขาซะมากกว่า พอเห็นเช่นนั้นแล้วมันทำให้ทุกอณูในร่างของเขาพลันมีปฏิกิริยาปฏิเสธออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สอนแม่ตัวเองเรียนงั้นหรือ? แบบนั้นไม่สู้ฆ่าเขาให้ตายยังจะดีเสียกว่า!
“ผะ...ผม...ผม ผมทำไม่ได้หรอก” ซ่งตงซวี่ใจนเริ่มพูดตะกุกตะกัก “ผะ...ผม...ผม ผมเพิ่งจะอยู่ป.1 เองนะ ให้พี่สอนไปสิ พี่อยู่ป.2 แล้ว จะต้องรู้มากกว่าผมแน่ๆ!”
ซย่านีกล่าวต่อ “ไม่เป็ไร แม่เองก็จะเริ่มเรียนความรู้ของป.1 เหมือนกัน แม่ไม่เคยเรียนสักวัน...ทำไมกัน? หยางหยาง ลูกไม่ยินดีที่จะสอนแม่หรือจ๊ะ หรือว่าลูกเรียนไม่เก่ง?”
ซ่งตงซวี่พูดไม่ออก “…” จะทำอย่างไรดี? เขาไม่อยากเลือกเลยสักข้อ
ซ่งวั่งซูดึงเสื้อของซย่านีเบาๆ แล้วกล่าวว่า “แม่ หยางหยางน่ะทำไม่ได้หรอก เขาเรียนไม่เก่งด้วยซ้ำ”
ซย่านีเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามซ่งตงซวี่ว่า “ลูกชายเอ๋ย คุณครูประจำชั้นของลูกบอกว่าลูกเรียนไม่เก่ง ส่วนพี่สาวของลูกก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน พ่อของลูกเป็ถึงนักเรียนหัวกะทิของมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ เขาเป็อัจฉริยะที่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัย แถมยังสอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดด้วย ลูกเป็ถึงลูกชายของเขา เช่นนั้นแล้วลูกจะเรียนไม่เก่งได้อย่างไร? แม่คิดว่าลูกน่ะ น่าจะค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียวหรือว่าก่อนหน้านี้ลูกไม่ได้ตั้งใจเรียนกันจ๊ะ?”
ซ่งตงซวี่ทำได้เพียงพยักหน้าและตอบว่า ‘ครับ’
ซย่านีลูบหัวซ่งตงซวี่ “ไม่เป็ไรหรอกลูก ลูกเรียนก่อนแล้วค่อยมาสอนแม่ทีหลังก็ได้ ลูกฉลาดขนาดนี้จะต้องเรียนรู้ได้แน่ๆ เฮ้อ ถึงตอนนั้นลูกคงไม่รังเกียจหาว่าแม่โง่ใช่ไหมจ๊ะ?”
ชั่ววินาทีต่อมาซ่งตงซวี่ก็ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ไม่มีทางอยู่แล้วครับ!”
ซย่านียิ้มด้วยท่าทางราวกับว่า ‘แผนสำเร็จแล้ว’ ก่อนเธอจะกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็ดีแล้วจ้ะ จากนี้ไปพวกเราก็เตรียมตัวกันเถอะ ขั้นแรกเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์สอนวิชาภาษาจีนให้แม่ ส่วนขั้นต่อไปก็ให้หยางหยางสอนคณิตศาสตร์ให้แม่ เดี๋ยวสัปดาห์หน้า ลูกสองคนค่อยผลัดกันสอนแม่ โดยเริ่มจากหยางหยางสอนภาษาจีนให้แม่ ส่วนเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ก็มาสอนคณิตศาสตร์แทน แบบนี้ดีไหมจ๊ะ?”
ซ่งตงซวี่นึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว เขาได้แต่จำต้องกัดฟันพูดเท่านั้น “ได้!”
ซ่งวั่งซูหยิบหนังสือแบบเรียนภาษาจีนออกมาจากในกระเป๋า “แม่คะ วันนี้เป็วันศุกร์พอดี เดี๋ยวหนูสอนแม่อ่านหนังสือนะคะ!”
ซย่านีกล่าวตอบ “วันนี้อย่าเพิ่งเรียนกันเลย ไปกันเถอะ แม่จะพาลูกๆ ไปกินข้าวที่บ้านของป้าเซี่ยงเหมย”
แม้ว่าธุรกิจจะยังไม่ได้ทำเงินมากขนาดนั้น แต่เซี่ยงเหมยก็กระตือรือร้นที่จะเลี้ยงข้าวซย่านีกับลูกๆ เป็พิเศษ เดิมทีซย่านีไม่อยากอยู่รบกวนทว่าพอคิดดูแล้ว วันนี้ตอนเย็นซ่งเป่าเถียนไม่อยู่กินข้าวที่บ้าน หวังซิ่วอิงจะต้องไม่ทำอาหารให้เธอกับลูกแน่ๆ
ซย่านีไม่อยากทะเลาะกับหวังซิ่วอิงต่อหน้าลูกๆ เพียงเพื่อข้าวมื้อเดียว รอเธอหาเงินได้ก่อน เธอก็จะพาลูกๆ ออกไปกินข้าวข้างนอกบ้านทุกวัน
เด็กทั้งสองคนมีความสุขมากที่ได้ไปกินข้าวที่บ้านของป้าเซี่ยงเหมย
ซย่านีจูงมือลูกทั้งสองคนออกนอกประตูบ้านมา เธอก็บังเอิญเจอกับซ่งเหม่ยอวิ๋นผู้เป็น้องสามีที่เพิ่งจะเลิกงานแล้วกำลังเดินเข้าบ้าน
ซ่งเหม่ยอวิ๋นหันไปมองเงาหลังของซย่านีพลางหันไปถามหวังซิ่วอิงว่า “พี่สะใภ้จะไปไหนกันนะ?”
หวังซิ่วอิงกำลังยุ่งอยู่ในครัวจึงเอ่ยตอบว่า “ใครจะไปรู้ว่ามันจะไปไหนกันเล่า?!”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นวางจักรยานลงแล้วเดินเข้าไปในครัวพลางกล่าวกับแม่ของตน “อย่าบอกนะ ว่าหล่อนจะพาลูกสองคนออกไปซื้อข้าวนอกบ้านกินอีกแล้ว? แม่ เมื่อเช้าตอนที่ฉันกำลังไปทำงาน ฉันเห็นหล่อนพาลูกสองคนนั้นไปกินซาลาเปากับเต้าฮวยด้วยนะ!”
หวังซิ่วอิงเทแป้งลงหม้อพลางกล่าวว่า “ปล่อยพวกมันกินกันเลย! ในมือมีเงินอยู่แค่สองหยวนก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็ใครซะแล้ว! หล่อนมีเงินอยู่ในมือแค่นิดหน่อย แม่จะดูสิว่าหล่อนจะซื้อกินข้าวได้อีกกี่วัน!”
รอจนซย่านีใช้เงินกินดื่มจนหมดแล้ว หล่อนยังจะมีปัญญาพาลูกไปกินอะไรได้อีก?
ถึงตอนนั้นแล้วเธอไม่เชื่อหรอกว่าซย่านีจะไม่มาขอร้องเธอเพราะไม่อยากปล่อยให้ลูกๆ ของหล่อนต้องทนหิวจนตายอย่างไรเล่า
หวังซิ่วอิงยิ้มเยาะ เธอไม่เชื่อหรอกว่าแค่ลูกสะใภ้ชนบทคนเดียว เธอจะไม่สามารถควบคุมมันได้เชียวหรือ?!
ต้นฤดูใบไม้ผลิ มักจะมีผักตามฤดูกาลไม่มากนักแต่เซี่ยงเหมยมีฝีมือทำอาหารที่ดี เพียงต้มผักกาดกับเต้าหู้ธรรมดาๆ และขนมหัวไชเท้าทอดก็ยังทำออกมาได้เปี่ยมไปด้วยรูป รส กลิ่น และสีสัน ทำให้ผู้คนอยากทานจนน้ำลายสอ
“รีบล้างมือกันเร็วแล้วไปช่วยป้าเซี่ยงเหมยหยิบชามกับตะเกียบมาด้วย” ซย่านียื่นมือไปผลักหลังเด็กทั้งสองคน
เด็กทั้งสองได้ยินดังนั้นก็รีบทำตามคำสั่งทันที
เซี่ยงเหมยกำลังเดินไปเตรียมอาหารในห้องโถงหลัก เธอรีบะโขึ้น “โอ้ ไม่ต้องๆ พวกเธออยู่นั่งตรงนั้นเลย!”
“กลิ่นหอมมากเลย เมียจ๋าวันนี้ทำขนมหัวไชเท้าทอดใช่ไหมจ๊ะ?”
เฝิงหย่งเป็สามีของเซี่ยงเหมย ยังไม่ทันได้ก้าวผ่านประตูเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารโชยออกมาจากในบ้านแล้ว เขาร้องะโพลางเดินเข้าประตูมา เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างซย่านีกับลูกๆ ของเธออยู่ที่นี่ด้วย
“โอ้ะ มีแขกอยู่งั้นหรือ?” เฝิงหย่งมีผิวค่อนข้างคล้ำ พอเขายิ้มก็เผยให้เห็นฟันขาวๆ ซี่ใหญ่ที่เรียงตัวกันเป็แถว
ซย่านีกล่าวทักทายอีกฝ่าย “สวัสดีค่ะพี่เฝิงหย่ง” จากนั้นจึงหันไปเรียกลูกๆ “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ หยางหยาง รีบมาสวัสดีคุณลุงเร็วเข้า”
“คุณลุง สวัสดีค่ะ/ครับ!” ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ยืนอยู่ข้างกันพลางเอ่ยสวัสดีอย่างพร้อมเพรียง
เด็กทั้งสองคนมีส่วนสูงพอๆ กัน แถมหน้าตาก็น่ารักพอยืนอยู่ข้างกันแบบนี้ก็ดูเหมือนตุ๊กตาวันปีใหม่ขึ้นมาทันตา
เฝิงหย่งเองก็ชอบเด็กมากๆ เหมือนกับเซี่ยงเหมย ครั้นเห็นลูกสองคนของซย่านีก็เบิกบานใจขึ้นมา เขาเอื้อมมือไปอุ้มซ่งตงซวี่ขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ไอหย๋า เด็กดีจริงๆ ไปๆๆ เข้าบ้านกันเถอะ อากาศเย็นแบบนี้มายืนรอข้างนอกกันทำไม รีบเข้ามาอบอุ่นร่างกายในบ้านกันก่อน อย่ายืนตากลมหนาวอยู่เลย”
[1] ตะพาบจ้องมองถั่วเขียว 王八配绿豆 เป็คำอุปมาที่หมายถึง คนสองคนที่มีแผนการซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือจะกล่าวถึงคู่รักหนุ่มสาวในทางเสื่อมเสีย
[2] กิโยตีน 铡刀 คือ ชื่อเรียกของอุปกรณ์การปะาชีวิตของฝรั่งเศส ถูกประดิษฐ์ขึ้นใน่การปฏิวัติฝรั่งเศสเพื่อใช้ตัดคอนักโทษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้