“เอาล่ะ อย่าได้หวังว่าจะมีอะไรให้ดูเลย เลิกวุ่นวายกันได้แล้ว”
หลังจากคนที่อยู่รอบๆ ได้เห็นปฏิกิริยาของหลินเมิ้งหยา พวกเขาต่างพากันแยกย้ายกลับไป
ดูเหมือน ข่าวที่ว่าท่านอ๋องอวี้กลัวเมียจะเป็เื่จริงมิเช่นนั้น เหตุใดทันทีที่พระชายาปรากฏตัว ท่านอ๋องจะต้องรีบกลับเข้าไปในกระโจม?
เมื่อหมุนตัวกลับมาก็เห็นว่าหลงเทียนอวี้เหยียดกายนอนลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
หลับตาสนิท แต่หลินเมิ้งหยาััได้ว่าหลงเทียนอวี้ยังไม่ได้นอนหลับ
“ท่านอ๋องหลับแล้วหรือเพคะ?”
ตั้งใจแกล้งเขา อยู่ๆ หลินเมิ้งหยานึกสนุกขึ้นมา
“ถ้าหลับแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันดับไฟแล้วนะเพคะ”
ครู่ต่อมาเปลวเทียนก็ดับลง ขณะเดียวกัน ภายในกระโจมพลันมืดสนิทเหลือเพียงดวงตาเปล่งประกายของหลินเมิ้งหยาที่กำลังจับจ้องหลงเทียนอวี้ซึ่งนอนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
นางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอนกายนอนลงเคียงข้างหลงเทียนอวี้
แต่นางััได้ว่าทันทีที่ตนเองเอนกายนอนลงไป ร่างของหลงเทียนอวี้พลันแข็งทื่อ
ขณะเดียวกัน รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า
“ท่านอ๋อง พระองค์ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกับผู้ใดมาก่อนสินะเพคะ?”
แม้จะได้รับความเงียบเป็คำตอบแต่หลินเมิ้งหยาััจากลมหายใจของเขาได้ว่ากำลังว้าวุ่น
์โปรด นางไม่เคยรู้เลยว่าหลงเทียนอวี้จะยังเป็ชายบริสุทธิ์
“หม่อมฉันเองก็เหมือนกัน หม่อมฉันไม่เคยนอนกับชายคนไหนมาก่อนท่านอ๋องเป็คนแรกเลยเพคะ”
ทันทีที่พูดจบ หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ
ริมฝีปากที่เม้มสนิทแอบเปิดอ้าออก ทว่าหัวใจกลับรู้สึกอบอุ่น
คืนนั้น ทั้งสองนอนหลับด้วยกันเช่นนี้แต่ทว่าพวกเขากลับนอนฝันหวานกว่าคืนไหนๆ
เช้าตรู่ เมื่อแสงยามเช้าสาดส่องเข้ามากระทบร่างของทั้งคู่หลงเทียนอวี้ตื่นขึ้นตามเวลาปกติทุกวัน
ขณะที่คิดจะลุกขึ้น เขากลับพบว่าแขนของเขาถูกแขนเล็กๆสองข้างกอดเอาไว้แน่น
หันหน้าไปมองใบหน้างดงามด้านข้าง
ผิวพรรณขาวนวลกระทบกับแสงแดด ขับให้ผิวของนางยิ่งงดงามเปล่งประกาย
ใบหน้าเรียวสวยได้รูป เหตุเพราะกำลังหลับสนิทดังนั้นนางจึงหลับฝันหวานมากยิ่งขึ้น
เด็กคนนี้กอดแขนเขาไว้เหมือนแมวน้อยไม่มีผิดศีรษะซุกเข้ามาใต้วงแขน ใบหน้าเรียวเล็กวางลงบนแขนของเขา
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความรู้สึกเวลาถูกคนอื่นกอดแขนจะอบอุ่นขนาดนี้
แปลกจริง เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกรำคาญ แม้นางจะนอนอยู่แบบนี้ก็ตาม
ในทางตรงกันข้าม เขาอยากมองหน้านางให้ลึกซึ้งมากกว่านี้
“ท่านอ๋อง ท่านและพระชายาตื่นจากบรรทมหรือยังเพคะ?”
ด้านนอก เสียงของป๋ายจีดังขึ้น ทว่าคิ้วของหลงเทียนอวี้กลับขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
กลัวว่าหญิงสาวในอ้อมกอดจะใตื่น จึงค่อยๆ ดึงมือของตนเองกลับรีบสวมใส่ชุดของตนเองแล้วเดินออกจากกระโจม
“ต่อจากนี้ไป หากพระชายายังไม่ตื่น อย่าได้ปลุกนางเป็อันขาดเข้าใจหรือไม่?”
เขากดเสียงให้เบาลง ออกคำสั่งกับป๋ายจีทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงหันกลับไปมองทางกระโจมที่กำลังมีคนนอนหลับอุตุอยู่อย่างไม่วางใจนัก
“เพ...เพคะท่านอ๋อง”
ป๋ายจีหน้าแดงก่ำ ท่านอ๋องสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยอีกทั้งผมเผ้ายังยุ่งเหยิง สีหน้าอ่อนโยน หรือว่าเมื่อคืน...
แต่ท่านอ๋องกับพระชายาอภิเษกสมรสกันนานแล้วแม้จะใช่...ก็มิใช่เื่แปลก
ไม่รู้เลยว่าท่านอ๋องที่ปกติมักจะเ็า แสดงความสนิทแแ่กับพระชายาเช่นไร!
หลังจากหลินเมิ้งหยากินอาหารเช้าเสร็จแล้วนางเพิ่งสังเกตเห็นสายตาผิดปกติจากสาวใช้ทั้งสี่ รวมถึงหลินจงอวี้
เลื่อนสายตาหันไปมองป๋ายจื่อที่กำลังแอบยิ้มอยู่ที่มุมหนึ่งแปลกชะมัด เหตุใดวันนี้ทุกคนจึงแอบยิ้มเวลามองนางกัน?
“ป๋ายจื่อ มานี่เดี๋ยวนี้ ข้ามีเื่อยากถามเ้า”
ป๋ายจื่อรีบวิ่งเข้ามาทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้หลินเมิ้งหยาขนลุกซู่
“ตกลงพวกเ้ายิ้มอะไรกัน? หรือข้ามีอะไรผิดปกติ?”
เมื่อก้มลงมองกระจกเงินของตนเอง ใบหน้ายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง
“ไม่หรอกเ้าค่ะ หนู่ปี้เพียงแค่รู้สึกดีใจแทนนายหญิง ดีใจมากๆเลย”
ดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำ เหตุเพราะกำลังยิ้มดังนั้นดวงตาจึงเรียวเล็กเป็รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวแม้แต่เขี้ยวสีขาวยังเผยออกมาให้เห็นเพราะปากที่ฉีกกว้าง
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ครั้งก่อนที่ป๋ายจื่อยิ้มเช่นนี้สาเหตุเพราะท่านพี่นำขนมแปลกๆ กลับมาให้มากมาย
หรือว่านางหาของกินอย่างอื่นได้อีก?
“เสี่ยวอวี้ เ้ามานี่หน่อย เ้าเป็เด็กดีที่สุดบอกพี่สาวมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?”
แต่ใครจะรู้เล่าว่าหลินจงอวี้จะทำเพียงยิ้ม อีกทั้งรอยยิ้มนั้นยังเ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอกตัวน้อย
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ทิวทัศน์ของเขาหลิงจูสวยงามยิ่งนัก อากาศก็ดีข้ารู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก”
หลังจากถามออกไป ทว่าคำตอบกลับไม่ตรงประเด็นเลยแม้แต่น้อยหลินเมิ้งหยาทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงทำได้เพียงเดินตามพวกเขาไป
เมื่อคืนนางเพียงแค่อยากแกล้งหลงเทียนอวี้เล่นแต่เพียงเท่านั้นแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเอนกายนอนลงข้างกายเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆจากร่างกายของหลงเทียนอวี้จะทำให้จิตใจของนางสงบลง
แต่เมื่อนางตื่นขึ้นมา นางกลับไม่เจอตัวหลงเทียนอวี้แล้ว
อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
บางทีอาจเพราะนางมิใช่คนที่เขาอยากจะอยู่ใกล้
“ทูลพระชายา การล่าสัตว์เริ่มต้นขึ้นแล้วไท่จื่อขอเชิญให้ทุกคนไปร่วมรับชมพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีประจำตัวของไท่จื่อเข้ามาเชื้อเชิญทุกคนแม้หลินเมิ้งหยาจะไม่อยากไป แต่ก็มิอาจขัดคำสั่ง
“อือ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ครุ่นคิด สุดท้ายตัดสินใจไว้หน้าไท่จื่อ
วันนี้สัตว์ทั้งหลายถูกไล่ต้อนไปยังพื้นที่ที่ไม่ไกลจากป่ามากนักเหตุเพราะ้าปกป้องดูแลเหล่าองค์ชายทั้งหลายอีกทั้งยังเพื่อความสนุกในการออกล่า
ทว่าในสายตาของหลินเมิ้งหยาการล่าสัตว์เป็เพียงความสนุกสนานของพวกชนชั้นสูงแต่เพียงเท่านั้น
แม้จะฆ่าเพียงสัตว์อ่อนแอแต่ถึงอย่างไรก็ยังมีชีวิตที่ต้องเสียไปอยู่ดี
แต่คนพวกนี้กลับยังยืนหยัดที่จะทำเช่นนั้นเพื่อความสนุกของตนเอง
หลินเมิ้งหยาเปลี่ยนชุด สวมใส่เสื้อผ้าสีชมพู เพราะไม่อยากดึงดูดสายตาผู้คน
แต่ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น ขณะที่นางปรากฏตัวขึ้นสายตาหลายคู่แสดงอาการตกตะลึงออกมาให้เห็น
เวลาเพียงค่ำคืนเดียวข่าวลือที่ว่าท่านอ๋องเป็คนกลัวเมียถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทุกกระโจม
ภายในสถานการณ์ที่มิได้คาดเดาเอาไว้นางกลายเป็คนดังแห่งต้าจิ้นอีกครั้ง
พาดหัวข่าวในคราวนี้เบาสบายและน่าสนใจเป็อย่างมาก
องค์ชายทั้งหลายแต่งกายหล่อเหลา ทว่าในสายตาของหลินเมิ้งหยาหลงเทียนอวี้เป็ผู้ชายเพียบพร้อมอันดับหนึ่งของต้าจิ้น
ทั้งสถานะ ทั้งรูปร่างหน้าตา หลงเทียนอวี้โดดเด่นที่สุดในหมู่คนเ่าั้
แม้จะอยู่ข้างกายไท่จื่อ ทว่าสายตาของนางกลับมิอาจละไปจากเขาได้
เสมือนรู้สึกได้ถึงสายตาของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้สบตากลับไปอีกทั้งมุมปากยังหยักยิ้มขึ้นขณะจ้องมองนาง
รอยยิ้มนั้นเสมือนธารน้ำแข็งที่ถูกละลาย ความหล่อเหลาะเิออก
“ไอหยา ท่านอ๋องอวี้ยิ้มหวานอะไรเช่นนี้ คนบางคนแถวนี้จะต้องใจสั่นหวั่นไหวอย่างแน่นอน”
เสียงสบายๆ ของชิงหูพลันดังขึ้นคำพูดเอ่ยแซวทำให้หลินเมิ้งหยาหุบยิ้มไปในทันที
หยิกเอวของเขาแรงๆ หนึ่งที หลังจากได้ยินเสียงร้องโอดโอยของชิงหูหลินเมิ้งหยาจึงหายโกรธ ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้
“อาหารสามารถกินตามใจปากได้ แต่คำพูดจะออกมาตามใจปากมิได้”
นางส่งเสียงเ็าข่มขู่ชิงหู ทว่าเขากลับแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ
เข้ามายืนด้านหลังตนเอง มือทั้งสองข้างชี้ไปทางด้านหน้า
“อย่าคิดว่าท่านอ๋องของเ้าจะหล่อที่สุดแม้เขาจะหล่อน้อยกว่าเหยียไปสักเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าพอไปวัดไปวาได้”
หลินเมิ้งหยาชินกับความหลงตัวเองของชิงหูแล้ว
ไม่รู้ว่าชิงหูไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากไหนเขาพูดราวกับว่าตนเองเป็บุรุษที่หล่อที่สุดในโลก
แต่อันที่จริงใบหน้าของเขาเองก็มีเสน่ห์น่าดึงดูด
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา คุณหนูหลายคนต่างพากันส่งสายตามาทางเขา
“เฮ้อ ข้าว่าเ้าเองก็อายุมากแล้วหรือจะลองไตร่ตรองเื่แต่งงานดู?”
ล้อเลียนชิงหูที่อยู่ทางด้านหลัง หลินเมิ้งหยาพยักเพยิดริมฝีปากโบ้ยไปทางคนนู้นทีคนนี้ทีเผื่อชิงหูจะถูกใจคุณหนูสักตระกูลหนึ่ง
“ช่างเถิด ข้าคงมิอาจเอื้อมยื่นมือไปคว้าดอกฟ้าเ่าั้”
น้ำเสียงของชิงหู แม้จะเจือไว้ซึ่งความเ็าทว่าหลินเมิ้งหยากลับฟังออกว่าเขายังคงมิอาจปล่อยวางเื่ราวในอดีตที่ผ่านมาได้
ดังนั้น การล้อเล่นในครั้งนี้จึงหยุดลง
“กฎของการล่าสัตว์ในครั้งนี้คือหากใครได้สัตว์จำนวนมากกว่าจะเป็ผู้ชนะอีกสามวันให้หลังคนที่จับสัตว์ได้มากที่สุดจะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการล่าเสือขาวหากยิงสัตว์ตายหนึ่งตัวนับเป็หนึ่งคะแนน หากจับได้เป็ๆ นับเป็สองคะแนนตอนนี้การแข่งขันเริ่มได้!”
เสียงประกาศของขันทีดังขึ้น ขณะเดียวกันเหล่าองค์ชายต่างพุ่งตัวออกไป ราวกับเป็ลูกศรที่ถูกปลดจากคันธนู
ไท่จื่อพุ่งตัวออกไปเป็คนแรก จากนั้นจึงเป็องค์ชายรองแห่งซีฟานส่วนหลงเทียนอวี้อยู่ท่ามกลางฝูงชน มิได้มีท่าทางรีบร้อน
สองวันแรก สิ่งที่พวกเขาจับได้มากที่สุดคือไก่ฟ้าและกระต่าย
ข้างกายของพวกเขาล้วนมีองครักษ์ซึ่งมีทักษะการขี่ม้าที่ยอดเยี่ยมคอยอารักขา
อีกอย่าง เพื่อที่พวกเขาจะสามารถนับคะแนนได้อย่างสะดวกและแม่นยำ
หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะนั่งลง ทว่าเสียงประกาศพลันดังขึ้น
“คุณชายโจวได้หนึ่งคะแนน”
“คุณชายฉินได้หนึ่งคะแนน”
เสียงประกาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่องบรรยากาศในการแข่งขันจึงเข้มข้นมากขึ้น
ครอบครัวของคนที่มีชื่อในประกาศล้วนรู้สึกดีอกดีใจก่อนจะเอ่ยปากชื่นชมลูกชายของตนเองให้กับผู้อื่นฟัง
“หากพี่หนานเซิงอยู่ที่นี่ รางวัลจะต้องเป็ของพี่หนานเซิงแน่นอน”
สกุลเยว่ไร้ซึ่งบุตรชาย ดังนั้นเยว่ถิงและเยว่ฉีจึงนั่งกะพริบตาพูดคุยกันขณะดูการแข่งขัน
หลินเมิ้งหยากลัวพวกนางจะเบื่อ ดังนั้นจึงตั้งใจเชิญพวกนางมานั่ง
“พี่เยว่ถิง ท่านเชื่อใจพี่ชายของข้าเหลือเกิน”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะซุกซนต่อหน้าพี่สะใภ้มองดูใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำ เผยให้เห็นความเขินอาย ขณะเดียวกันรอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ไร้สาระ ใช่ว่าเ้าจะไม่รู้จักฝีมือของพี่หนานเซิงเสียเมื่อไหร่”
