ศีรษะของหลิ่วชั่งหลันยังโขกกับพื้นลานประลองเป็ตายอีกครั้ง
ทหารทุกคนต่างมองอย่างวิตกกังวล แต่แม่ทัพของพวกเขานั้นไม่มีทางเลือก
ทหารทุกคนต่างก็ใกล้ชิดกับแม่ทัพอย่างมาก ถึงแม้จะเป็ทหารยศธรรมดาทั่วๆ ไป แต่ทั้งในสนามรบ แล้วไหนนิกายยังต้องถูกทำลายลงอีก
หลิ่วชั่งหลันนั้นไม่มีทางยอมคุกเข่าต่อหน้าใคร แม้กระทั่งต่อหน้าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่ก็ยังคงยืนหลังตรงและไม่มีการโค้งตัว แต่ในเวลานี้หลิ่วชั่งหลันกลับได้คุกเข่าลงและเอาหน้าผากโขกกับพื้น
“นิกายได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่ข้า แต่นิกายในวันนี้กลับต้องพังพินาศเพราะข้า ข้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวขณะยกมือข้างขวาขึ้น จึงทำให้ฝูงชนต่างรู้สึกเ็ป และะโกันอย่างพร้อมเพรียงว่า “ท่านแม่ทัพ!”
ลมปราณที่โหมกระหน่ำถูกปลดปล่อยออกมา จนผมสีขาวบนศีรษะของหลิ่วชั่งหลันปลิวไสวไปตามกระแสลม ดวงตาแดงก่ำของทหารทุกคนต่างจ้องเขม็งไปที่หลิ่วชั่งหลัน พื้นที่ในขณะนั้นความเงียบพลันเข้าปกคลุม
“ขี้ขลาด”
ทันใดนั้นมีเสียงที่ไม่แยแสดังขึ้น เห็นได้ชัดเลยว่าเสียงที่แหลมคมได้ทำลายความเงียบในทันที จึงทำให้ั์ตาของฝูงชนต่างเบิกตาค้างไปด้วยความตื่นตระหนก
ขี้ขลาด? ถ้าหลิ่วชั่งหลันเป็คนขี้ขลาด แล้วในโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ขี้ขลาดกัน
“ในเมื่อนิกายต้องพังพินาศเพราะเ้า แล้วทำไมเ้าถึงยังไม่อยากตาย หรือเ้าไม่กล้าละทิ้งชีวิตที่อ่อนแอและขี้ขลาดของเ้า”
ฝูงชนต่างจ้องมองด้วยแววตาที่โกรธเกรี้ยว ในขณะนั้นหลินเฟิงได้เปิดปากพูดอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าเขาจะแนะนำหลิ่วชั่งหลัน... ให้ไปตาย!
“เฮ้อ...”
ในขณะนั้นลมปราณที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวได้พุ่งเข้าหาร่างของหลินเฟิง แต่หลินเฟิงก็รู้สึกว่ามีพลังที่แข็งแกร่งกำลังเข้ามาหาเขา
กองทหารม้าโลหิตต่างต้องมือเปื้อนเืในสนามรบมาเป็จำนวนมาก เมื่อพวกเขาปล่อยลมปราณออกไปจึงปกคลุมร่างกายของหลินเฟิงในทันที นี่จึงทำให้หลินเฟิงรู้สึกว่าเขาอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตที่กำลังบดขยี้กระดูกของเขาอย่างบ้าคลั่ง ลมปราณนี้ช่างทรงพลังเป็อย่างมาก กองทหารที่เปื้อนเือย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีลมปราณอันทรงพลังเช่นนี้
หลินเฟิงเกือบจะหายใจไม่ออกจากแรงกดดันจำนวนมหาศาล แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ในนั้นอย่างนิ่งสงบและไม่แยแส ขณะมองไปยังหลิ่วชั่งหลันที่อยู่บนลานประลองเป็ตาย
“หากเ้าตาย เป้าหมายของต้วนเทียนหลางก็จะบรรลุ แต่จะไม่ส่งผลถึงบุคคลอื่น นอกจากนี้เ้าก็ไม่ต้องหวั่นกลัวและหลบหนีอีกต่อไป”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบ จึงทำให้ความโกรธเกรี้ยวของทุกคนต่างฝังลึกลงไปในจิตใจทันที แต่หลิ่วชั่งหลันกลับเงยหน้าขึ้นมองไปยังหลินเฟิงที่อยู่้าของหุบเขา
“ถ้าเ้าตายไปแล้ว หลิ่วเฟยลูกสาวของเ้าก็จะแต่งเข้าตระกูลต้วน และเพลิดเพลินไปกับเกียรติยศ เ้าไม่จำเป็ต้องเป็ห่วงนางอีกต่อไป”
คำพูดของหลินเฟิงเสมือนดาบอันแหลมคมที่ทิ่มแทงไปยังหัวใจของหลิ่วชั่งหลัน หลิ่วเฟยลูกสาวของเขาจะแต่งงานและเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลต้วนได้อย่างไรกัน?
“ถ้าเ้าตายไป บางทีิญญาของทุกคนในนิกายหยุนไห่อาจจะได้พักผ่อนอย่างสงบ เพราะพวกเขาได้รับรู้แล้วว่าพวกเขาได้ตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่จำเป็ต้องคาดหวังอะไรอีก”
ทุกคำพูดที่แหลมคมของหลินเฟิงล้วนทำให้หวั่นไหว จากนั้นั์ตาของหลิ่วชั่งหลันได้ปิดลง และนำมือข้างขวาที่ยกไปในตอนแรก ในท้ายที่สุดก็ค่อยๆ นำมือลงอย่างช้าๆ
ใช่แล้ว ถ้าเขาปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ แล้วเป้าหมายของต้วนเทียนหลางก็จะสำเร็จ จากนั้นเฟยเฟยจะทำอย่างไร มิหนำซ้ำนิกายหยุนไห่ก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว ใครจะปกป้องนาง?
เมื่อเห็นหลิ่วชั่งหลันนำมือลง จึงทำให้แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของทุกคนพลันหายไปในทันที กลายเป็ความขอบคุณแทน พวกเขาเข้าใจแล้วว่าหลินเฟิงนั้นจงใจใช้คำพูดถากถางเพื่อกระตุ้นหลิ่วชั่งหลัน สิ่งนี้ได้ทำให้หลิ่วชั่งหลันละทิ้งแิที่จะทำลายการบ่มเพาะของตัวเองไป
โชคดีที่หลินเฟิงอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่านี้
แน่นอนว่าคำพูดของหลินเฟิงนั้นรุนแรงเป็อย่างมาก มันเป็เหมือนกับดาบอันคมกริบที่แทงลึกเข้าไปในหัวใจ
“ดูแลท่านแม่ทัพของพวกเ้าให้ดีๆ นิกายหยุนไห่ไม่ได้เกลียดหรือโทษเขา ผู้าุโเป่ยก็ยังคิดถึงมาโดยตลอดก่อนที่เขาจะจากไป ส่วนหญิงชราก็ได้ให้อภัยเขาแล้ว”
หลินเฟิงไม่ได้มองหลิ่วชั่งหลันอีกต่อไป แต่เขากลับเดินไปที่กองทหารและพูดด้วยเสียงโทนต่ำกับเมิ่งฉิง
หลังจากที่หลินเฟิงเดินไปเป็เวลานาน หลิ่วชั่งหลันก็ได้ลืมตาขึ้นมา ในแววตาเปล่งประกายไปด้วยความรู้สึกดีเยี่ยม จึงทำให้เหล่ากองทหารต่างปีติยินดี เพราะท่านแม่ทัพของพวกเขาได้กลับมาแล้ว
“ทุกคนจงฟัง ณ หุบเขาแห่งนี้จะกลายเป็สุสาน และเหล่าผู้ที่จากไปของนิกายหยุนไห่จะถูกฝังอยู่ที่นี่”
หลิ่วชั่งหลันเริ่มสั่งด้วยน้ำเสียงอันสงบเงียบ
“นอกจากนี้ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปนิกายหยุนไห่จะถูกปิดลง หากไม่มีคำสั่งจากข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามห้ามย่างกรายเข้ามาที่นี่ หากฝ่าฝืนก็จงฆ่าผู้นั้นเสีย”
บรรยากาศในขณะนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่บรรดาทหารกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้าและะโออกมาว่า “ขอรับ!”
หลิ่วชั่งหลันยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากนั้นหลิ่วชั่งหลันก็ปีนไปที่้าของหุบเขาในทันที และสายตาของเขาก็ได้มองออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังหาหลินเฟิงอยู่
“ท่านแม่ทัพ”
ในขณะนั้นมีทหารคนหนึ่งเดินไปยังด้านหน้าของหลิ่วชั่งหลัน
“มีอะไร?” หลิ่วชั่งหลันกล่าวถาม
“ท่านแม่ทัพ เด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้ก่อนที่เขาจะไป ได้ฝากข้ามาบอกท่านแม่ทัพว่า นิกายหยุนไห่นั้นไม่โทษท่าน และผู้าุโเป่ยก็คิดถึงท่านมาโดยตลอดก่อนที่เขาจะจากไป นอกจากนี้ภรรยาของประมุขคนก่อนก็ได้ยกโทษให้ท่านแล้ว”
ร่างกายของหลิ่วชั่งหลันสั่นเทาขณะยืนอยู่ตรงนั้น
หลิ่วชั่งหลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งหาใดเปรียบนี้ จู่ๆ ได้มีน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตา
“โปรดให้อภัยศิษย์คนนี้ที่ไม่ได้ความด้วย”
หลิ่วชั่งหลันถอนหายใจขณะก้มหัว หลังจากนั้นในแววตากลับมาดูมีจิติญญาอีกครั้ง และขณะมองไปยังถนนที่อยู่ห่างไกล เขาก็บังเอิญเห็นร่างเงาของคนคนหนึ่ง
“หลินเฟิง!”
หลิ่วชั่งหลันไม่เคยเจอหลินเฟิงมาก่อน เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้จากปากของหลิ่วเฟย ในตอนนั้นเขากำลังครุ่นคิดว่าเด็กหนุ่มเป็คนแบบไหนกัน ถึงคุ้มค่าที่จะเป็ความหวังของนิกายหยุนไห่และได้ละทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเขา
และในตอนนี้ มีบางอย่างที่หลิ่วเฟยไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแค่เหตุผลเดียวเขาก็มองหลินเฟิงออกว่า หลินเฟิงนั้นไม่ใช่แค่เด็กธรรมดาทั่วๆ ไป
ถ้าหลินเฟิงเป็เพียงคนธรรมดา จะสามารถพูดด้วยวาจาอันคมคายได้อย่างไร?
ถ้าหลินเฟิงเป็เพียงเด็กหนุ่มอายุ 16 ปีธรรมดา จะกล้าเผชิญกับลมปราณอันทรงพลังของกองทหารม้าโลหิตได้อย่างไร? แม้กระทั่งแววตาและสีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ถ้าหลินเฟิงเป็เพียงคนธรรมดา เขาคงจะไม่ทิ้งประโยคเดียวแล้วหายไป แต่หลินเฟิงกลับเลือกติดตามเขา เพราะต้วนเทียนหลางและคนอื่นๆ ในตอนนี้ต่างหมายเอาชีวิตของหลินเฟิง เพียงแค่อยู่ข้างกายเขาก็จะปลอดภัยมากที่สุด
ถึงแม้ผู้าุโเป่ยจะให้เขาไปหาหลิ่วชั่งหลัน แต่หลังจากที่เขาพบหลิ่วชั่งหลัน ก็ยังคงเลือกที่จะจากไป หากอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขา แล้วเมื่อไรถึงจะมีพละกำลังอันแข็งแกร่ง
แต่หลินเฟิงตระหนักดีว่า ตระกูลต้วนนั้นแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ แต่ในทวีปเก้า์กลับเป็เพียงได้แค่ตระกูลธรรมดา แม้กระทั่งคำว่า ‘จักรพรรดิ’ ของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่ก็ยังไม่คู่ควรพอ
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะที่แท้จริงของจักรพรรดินั้นมีพลังอันมหาศาล คนประเภทนี้หากโกรธเกรี้ยวขึ้นมาคือต้องตาย และสามารถทำลายอาณาจักรเสวี่ยเยว่ได้อย่างง่ายดาย
หลินเฟิงนั้น เขายังมีหนทางอีกยาวไกล
ในตอนนี้หลินเฟิงและเมิ่งฉิงได้ยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ขณะมองหลิ่วชั่งหลันกำลังควบม้าลงเนินเขาจากระยะไกล
“ไปกันเถอะ” จากนั้นหลินเฟิงและเมิ่งฉิงก็ะโลงจากก้อนหินใหญ่และมุ่งไปตามถนนเส้นเล็ก เพราะพวกเขาจงใจหลีกเลี่ยงหลิ่วชั่งหลัน
“เ้ามีคำถามมากมายที่อยากจะถามข้าใช่หรือไม่?”
หลินเฟิงกล่าวถามเมิ่งฉิงด้วยโทนเสียงต่ำ
“เ้าไม่อยากบอก ข้าก็จะไม่ถาม” น้ำเสียงที่เมิ่งฉิงตอบยังคงเฉยเมย ดูเหมือนว่าจิตใจของนางจะยังไม่เคยหวั่นไหวมาก่อน นี่จึงทำให้หลินเฟิงอยากจะรู้ว่าถ้าเมิ่งฉิงหัวเราะขึ้นมา นี่คงเป็เื่ที่แปลกใหม่มาก
“ท่านแม่ของข้าเคยบอกไว้ว่า ขณะที่ผู้ชายกำลังโศกเศร้า อย่าไปรบกวนเขา เพราะนี่คือวิธีที่ดีที่สุด”
ดูเหมือนว่าเมิ่งฉิงกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ขณะมองหลินเฟิงผ่านผ้าคลุมหน้า ดูเหมือนว่านางจะ้าคำยืนยันจากปากของหลินเฟิง ว่าคำพูดท่านแม่ของนางจะถูกหรือไม่?
“เ้ารู้จักโลกภายนอก ล้วนรู้มาจากท่านแม่ของเ้า?”
“อืม” เมิ่งฉิงพยักหน้า
“ท่านแม่ของเ้ายังบอกเ้าเกี่ยวกับผู้ชายเื่อะไรอีกบ้าง?” หลินเฟิงกล่าวถาม สำหรับโลกใบนี้ เมิ่งฉิงก็เหมือนกับเขาตอนที่มายังทวีปนี้โดยที่ไม่รู้เื่อะไรเลย แต่ตัวเองกลับเป็เ้าของความทรงจำทั้งสองโลก แต่สำหรับเมิ่งฉิงแล้ว ในความทรงจำของนางอาจมีเพียงแค่หุบเขาเฮยเฟิงเท่านั้น
“ท่านแม่ของข้ายังบอกอีกว่า ผู้ชายนั้นมักจะเป็คนที่ไม่ดี” เมิ่งฉิงกล่าวตอบ
“...” พลันปรากฏรอยหยักขึ้นบนหน้าผากของหลินเฟิง เขามองเมิ่งฉิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อได้ยินเื่นี้แล้วมันช่างฟังดูคุ้นๆ หรือเป็เพราะว่าท่านแม่ของเมิ่งฉิงจะเคยได้รับความเ็ปจากคนรักมาก่อน ถึงเป็เหตุผลว่าทำไมต้องมาอาศัยในชนบทที่ทุรกันดารอย่างหุบเขาเฮยเฟิง?
“ผู้ชายเ่าั้มักจะมองข้าไปในทางที่ไม่ค่อยดี แต่ดูเหมือนว่าเ้าจะ... เป็คนที่ดี ไม่เหมือนกับท่านแม่ที่เคยบอกไว้”
เมิ่งฉิงเป็คนที่สวยงามและดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเื่ของโลกภายนอก แต่นางนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มิเช่นนั้นนางคงไม่มีทางแอบหนีตามหลินเฟิงมาอย่างแน่นอน
จู่ๆ หลินเฟิงก็หัวเราะขึ้นมา เพราะความงดงามนั้นทำให้ผู้คนมีความสุขอย่างแท้จริง
“แล้วอะไรอีก? ท่านแม่ของเ้ายังบอกอะไรกับเ้าอีก?”
“ยังมีอีกมากที่ท่านแม่เคยบอกกับข้าไว้” เมิ่งฉิงพยักหน้าขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าวต่อว่า “แต่ข้าจะไม่บอกเ้า”
“...”
เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่ เป็เมืองที่งดงามและยังมีเนื้อที่อันกว้างใหญ่
เฉพาะในเมืองนี้ก็มีประชากรอาศัยอยู่นับล้านคน แต่ผู้คนก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
เมืองหลวงมีถนนสายหลักจำนวนมาก ถนนแต่ละสายล้วนกว้างขวาง ต่อให้มีคนนับร้อยก็ยังสามารถเดินเป็แถวหน้ากระดานได้สบาย
แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ถนนสายหลักของเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาด้วยการเดินเท้า แต่บางคนที่ขี่ม้าต่างมีลักษณะเงียบๆ เป็พิเศษ แม้แต่ตอนเดินบนถนนก็ยังต้องจูงม้าไปด้วย
ในเมืองหลวงมีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหน ก็ล้วนพบเห็นได้อย่างง่ายดาย บนท้องถนนมีหลายคนขี่สัตว์อสูรปีศาจหน้าตาแปลกๆ อย่างคึกคัก ความเร็วของสัตว์อสูรเ่าั้เร็วยิ่งกว่ารถ BMW เสียอีก
ไม่กี่วันต่อมา ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็ได้สถาปนาขึ้น นอกจากนี้อาณาจักรเสวี่ยเยว่มักมุ่งเน้นในการสรรหาคนรุ่นเยาว์ที่มีพร์ ซึ่งเป็เพียงการหาคนรุ่นเยาว์ที่มีพร์จากนิกายใหญ่ๆ ทุกแห่ง แต่แค่นี้ยังไม่สามารถสนองความ้าของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้
โอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ฝูงชนจะไม่รีบมาได้อย่างไร? มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายั้แ่อายุ 6 - 18 ปี ทุกคนต่างหวังว่าจะสามารถกลายเป็หนึ่งในศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้ ในภายภาคหน้าอาจกลายเป็สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรเสวี่ยเยว่
ในตอนนั้นเองได้มีร่างเงาที่กำลังเดินอยู่บนถนนสายหลัก ร่างเงานั้นค่อนข้างดึงดูดความสนใจพอสมควร ในกลุ่มนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งสวมชุดสีแดงเพลิง และมีใบหน้าที่งดงาม ขณะนั้นได้มีกลิ่นอายของน้ำแข็งและไฟปล่อยออกมาจากตัวนางอย่างต่อเนื่อง
“คนเหล่านี้้าเป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่า การเข้าร่วมของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่มันยากแค่ไหน นอกจากจะมีพร์เหมือนกับเชียนเชียนซึ่งเป็คนที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่นั้นได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถเทียบเคียงเชียนเชียนได้”
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวอย่างประจบประแจง จึงทำให้มุมปากหลินเชียนในชุดสีแดงเพลิงพลันปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าน่าหลันเฟิงได้อยู่ในเมืองหลวง และครั้งนี้ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็ได้ให้ความสำคัญกับนาง ไม่รู้ว่าเื่นี้จริงหรือเท็จกันแน่”
หลินหงที่อยู่ข้างๆ หลินเชียนกล่าว นี่จึงทำให้หลินเชียนต้องขมวดคิ้ว ครั้งสุดท้ายที่นางเจอน่าหลันเฟิง พวกนางยังมิได้ตัดสินเป็ที่แน่ชัดว่าใครคือผู้ชนะ
เมื่อนึกถึงการประลองยุทธ์ของเมืองหยางโจว หลินเชียนอดไม่ได้ที่จะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันที ครอบครัวของนางที่เคยถูกมองว่าเป็ขยะ และยังต้องถูกขับไล่ออกจากนิกายอีก
ในวันนั้น ชายผู้นั้นได้ทำให้ผู้คนทั้งเมืองหยางโจวต่างประหลาดใจเป็อย่างมาก จากนั้นชายผู้นั้นจึงกลายเป็คนที่มีชื่อเสียงของเมืองหยางโจว
ผู้คนในเมืองหยางโจวไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อ ‘หลินเฟิง’
เขาสามารถจับตัวน่าหลันเฟิงเป็ตัวประกันต่อหน้าสาธารณชนได้ และใช้นางเป็ใบเบิกทางเพื่อออกไปจากเมืองหยางโจว โดยที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งของตระกูลไหนกล้าติดตามไปสังหาร
“ตอนนี้นิกายหยุนไห่ได้พังพินาศไปแล้ว บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
หลินเชียนในตอนนี้รู้สึกสับสน และนางยังมีความรู้สึกที่ซับซ้อนทั้งทุกข์และสุขผสมปนเปกันไป
