กลางดึกคืนนั้น ภวังค์อดีตก็พาผมย้อนกลับไปยังเื่ราวต่าง ๆ อีกครั้ง ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก สายฟ้าแลบอยู่ไกล ๆ พร้อมเสียงคำรามดังกึกก้อง ร่างของมยุรายังคงนั่งคอยผู้เป็สามีด้วยใจจดจ่อ ผมหันมองไปยังโมไบล์แขวนที่กำลังลู่ลมอยู่ขอบหน้าต่าง แล้วเลื่อนสายตาไปยังนาฬิกาบ่งบอกว่าเลยเที่ยงคืนไปแล้ว บริเวณโดยรอบเงียบสนิท มีเพียงแสงสลัวจากไฟดวงหนึ่งเปิดอยู่เท่านั้น
ในแววตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งงานเพราะหน้าที่ มีแต่ความโดดเดี่ยวมาตลอด ไร้ซึ่งความรัก ความห่วงหาอาทรจากสามี ไม่ว่าจะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน ก็ไม่เคยได้รับคำชม ผมค่อย ๆ เดินไปใกล้ แล้วย่อตัวลงนั่งด้านข้าง เอื้อมไปจับแขนเธอเบา ๆ ทว่าทุกอย่างในตอนนั้น ผมเป็เพียงผู้รู้ ไม่อาจแตะต้องสิ่งใดได้ แม้แต่ตัวเธอ
‘ไม่เป็ไรนะ คุณเก่งที่สุด’ ผมกำลังพูดกับตัวเองในอดีต พร้อมน้ำตาเอ่อขึ้น ก่อนปาดออกแบบลวก ๆ หันมองไปยังถนนด้านนอก ไม่มีวี่แววว่าภูมิพลจะกลับมา เสียงฝนยังคงเทกระหน่ำไม่หยุด และร่างของมยุรายังคงนิ่งเฉย ราวกับว่าความรู้สึกของเธอเ็ปจนด้านชาไปแล้ว
‘คุณทำอาหารรอเขาด้วยเหรอ’ ผมหันมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ ไม่มีควันร้อน ๆ ลอยขึ้นมา ถ้าให้เดาเธอคงทำรอเขาั้แ่เย็น ผมเดินมองไปยังเมนูที่ว่า มีไข่เจียว ต้มมะระ และแกงเผ็ดอีกหนึ่งอย่าง ไม่ใช่แค่รอเขาอย่างเดียว ดูเหมือนเธอยังไม่แตะอาหารด้วยเช่นกัน เพราะจานข้าวทั้งสอง ยังมีข้าวเหลืออยู่เต็ม
‘หิวก็แค่กิน รอทำไมให้ปวดท้อง’ ผมหันไปถามเธอ ที่นั่งนิ่งราวกับหุ่น ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุด เพื่อสงบความคับข้องใจที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนจะเดินมานั่งใกล้ ๆ เธอแล้วทอดมองไปยังรอยปานสีชมพู ที่ข้อมือเราทั้งสอง
‘ผมสัญญาว่าในชาติของผม ผมจะไม่ทำให้ตัวเองเสียใจอย่างนี้เด็ดขาด’ ผมพูดกับมยุรา ก่อนแสงไฟหน้ารถที่สว่างจ้า ค่อย ๆ แล่นเข้ามาใกล้ ร่างของมยุราเหมือนถูกกระตุก เธอลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นรถโบราณแล่นเข้ามา มือกำชายเสื้อแน่นด้วยความกังวล
ก่อนร่างของภูมิพลจะเดินเข้ามาด้วยเสื้อผ้าเปียกปอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดฝน ราวกับว่าเขายืนให้ฝนซัดไปก่อนหน้าแล้ว สองเท้ามยุราเดินไปรับเขาที่หน้าประตู แล้วเลื่อนสายตามองสามีั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ทำไมเปียกแบบนี้คะ” เขามองเธอแวบหนึ่ง หากแต่ไม่ตอบ กลับเบี่ยงกายเลี่ยงไปทางอื่น ด้วยสายตาเหนื่อยล้า
“ฝนตก ทำไมไม่ไปนอน” เขาถามขึ้นอย่างเรียบ ๆ
“คุณยังไม่กลับ ฉันรอ...” เธอตอบพร้อมหันมองไปยังสามี ที่เดินเข้าบ้านมา อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่ตอบ ยังคงเดินขึ้นบ้านไป แล้วทิ้งรอยน้ำไว้ตามพื้น
“คุณเมาด้วยเหรอคะ” เขาหยุดกลางบันได
“ไม่ต้องรอ..ต่อไปนี้ไม่ต้องรอแบบนี้อีกแล้ว” คำตอบของเขาเหมือนมีดบาง ๆ ที่เฉือนลึกในใจเธอ ผมมองทุกอย่างเงียบ ๆ แล้วกำมือแน่น ก่อนน้ำตาของเธอเอ่อขึ้น
“สามีไม่กลับ จะไม่รอได้ยังไง จะให้นอนหลับได้ยังไง”
“อยากทรมานตัวเองก็ตามใจ”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยรักฉัน!” ผมได้ยินดังนั้น จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม ทว่าท่าทีของภูมิพลยังคงเรียบเฉย ก่อนจะหันกลับมา
“ผมเคยคิด ว่าถ้าฝืน ทุกอย่างจะดีขึ้น”
“ฝืนอะไร ฝืนอยู่กับฉัน หรือฝืนไม่ไปหาพรรณี?” คำถามนั้น เหมือนแทงเข้าไปในจุดที่เขาไม่อยากให้แตะต้อง ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม
“ก็รู้อยู่แล้ว จะถามทำไม?” น้ำตาของมยุราไหลรินออกมาด้วยความเ็ป แล้วตอบกลับ
“ใช่ค่ะฉันรู้อยู่แล้ว คุณกลับบ้านแต่ละครั้ง กลิ่นน้ำหอมของพรรณีติดเสื้อคุณมาตลอด...” ผมเห็นเขาฝืนยิ้มเล็กน้อย
“ดังนั้นผมไม่ใช่คนดี ไม่เคยเป็เลยด้วยซ้ำ และผมก็ไม่เคยรักคุณ!” ผมหันมองไปยังมยุราที่ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ เหมือนขยับริมฝีปากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เงียบไป ปล่อยให้ภูมิพลเดินกลับขึ้นห้องไป โดยไม่หันมามองอาหารที่เธอเตรียมไว้แม้แต่น้อย
ผมลืมตาตื่นขึ้น...พร้อมคราบน้ำตาไหลอาบเต็มหมอน คำพูดและการกระทำของภูมิพล ฝังแน่นไม่อาจตัดออกได้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง พยายามกดความรู้สึกเ็ปนั้นกลับเข้าไปในมุมมืดของหัวใจให้ได้มากที่สุด ก่อนเลื่อนสายตามองรอบ ๆ ห้องนอนขนาดใหญ่ของตัวเอง เสียงปลุกจากโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่อง ผมหยิบมันมากดปิดโดยไม่ทันมองเวลา
ก่อนขับรถมุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัย หากเป็เมื่อก่อน สมองของผม คงมีแต่เื่สนุกเต็มไปหมด ทว่าตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป...ผมตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมา แล้วกดโทรหาหมอนาวินทันที เสียงรอสายไม่นาน เขาก็กดรับ
“สวัสดีครับ” แค่เสียงพูดของเขา ก็ทำให้หัวใจผมเต้นรัวไม่เป็จังหวะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมคีย์นะ”
“คุณอาคิราห์เหรอ มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงเขาดูเหมือนยุ่ง ๆ แต่ผมไม่สน...
“วันนี้ผมมีเรียนแค่ถึงตอนบ่าย ผมขอไปหาคุณได้ไหม?” ปลายสายเงียบในทันที ผมจึงอธิบายต่อ
“อยากทำต้มมะระให้กิน”
“ตอนนี้ผมอยู่โรงพยาบาล กำลังมีเคส” คำพูดของเขาไม่ได้มีเจตนาไล่ แต่กลับทำให้ในอกของผม รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเคยถูกเขาไล่แบบนี้ซ้ำ ๆ เป็ความรู้สึกที่ไม่เคยชินเลยสักครั้ง
“เสร็จกี่โมง” ผมถาม คราวนี้เขาเงียบนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“ผมยังไม่แน่ใจ อาจจะดึก”
“ผมรอได้”
“อย่าเสียเวลาเลย...คุณรอไม่ไหวหรอก” เขาคงไม่รู้ว่าผมเคยรอเขานานกว่านี้
“รอได้สิ เดี๋ยวบ่าย ๆ ผมไปหาที่โรงพยาบาลนะ” พูดจบผมไม่รอฟังคำตอบ หากแต่กดวางสายไปในทันที ก่อนจะเหยียบคันเร่งมุ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยแล้วปล่อยเื่ราวทุกอย่างไว้ด้านหลัง
เมื่อลงจากรถ ผมยังคงมองหาถังขยะเหมือนเดิม เมื่อไม่มีก็หันวางแก้วกาแฟไว้ท้ายรถคนอื่นอย่างเคย ก่อนจะหันตัวเดินเข้าไปในตึก แอบเห็นน้องรูแปงยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ไม่ห่าง จากที่ไม่เคยใส่ใจ ก็เริ่มรับรู้แล้วว่าการรอคอยอยู่ฝ่ายเดียวมันเ็ปยังไง ผมหันไปยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยทัก
“ถืออะไรมา” ผมมองตุ๊กตาตัวเล็กในมือของอีกฝ่าย ก่อนเธอหน้าแดง แล้วบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย
“เอามาให้ อยากให้นานแล้วแต่ไม่กล้า” ผมยิ้มแล้วเอื้อมไปรับ
“ขอบใจ” เดิมทีผมเป็พวกไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่นอยู่แล้ว จึงหันตัวกลับโดยไม่สนใจอีกฝ่าย ทว่าก้าวมาได้สองสามก้าว ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าคนเราไม่จำเป็ต้องแสดงออกแรง ๆ เพื่อปฏิเสธความรัก ควรขอบคุณความรู้สึกดี ๆ ของอีกฝ่ายด้วยจึงจะถูก ผมค่อย ๆ หันกลับไปหารูแปงแล้วยิ้มให้เธอ
“วันหลังอยากทักทาย ก็เข้ามาได้เลยนะ ไม่ต้องแอบ” พูดจบผมก็ถือตุ๊กตาตัวเล็ก มุ่งตรงไปยังตึกเรียน พร้อมสายลมอ่อนพัดมาปะทะกายเบา ๆ
“คีย์!” เสียงเรียกคุ้นหู ทำให้ผมหยุดเดินแล้วหันกลับมา พบเจย์ที่อยู่ในชุดนักศึกษา สะพายกระเป๋าสีดำ เดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้ามา
“มึงไม่ได้รออยู่ กับพวกนั้นที่ห้องเรียนเหรอ?” ผมถามมันด้วยความแปลกใจ
“กูขอคุยด้วยหน่อยดิ” ผมเดินตามมันไปยังมุมเงียบมุมหนึ่ง ที่ลับสายตาผู้คน ก่อนมันจะวางกระเป๋าสีดำที่สะพายติดตัวมา ลงกับบันได แล้วย่อตัวลงนั่ง จ้องมายังผมเหมือนมีอะไรข้องใจ
“มองกูแบบนี้ มีอะไรก็พูดมา”
“ตุ๊กตาที่มือมึงอะ ของรูแปง?” ผมมองตุ๊กตาตัวเล็กในมือ
“แล้วยังไง?” ผมไม่เห็นว่าเกี่ยวกับมันตรงไหน หรือสำคัญยังไง
“มึงรับตุ๊กตามันมา แต่มึงปฏิเสธไอริส ทั้งที่มึงเป็คนขอไอริสเป็แฟนแท้ ๆ อะนะ” ผมชะงักนิ่ง
“ไอริสเล่าให้มึงฟังเหรอ?”
“กูก็อยู่ปะ ตอนมึงขอเขา กูก็ได้ยิน เสียงพลุไม่ได้ดังขนาดนั้น” สิ่งที่มันตอบ ทำให้ผมนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเพื่อตั้งสติแล้วตอบกลับ
“กูจำไม่ได้ว่ะ”
“มึงอย่าโกหก ที่มึงขอไอริสเป็แฟน ตอนนั้นมึงยังไม่ทันโดนรถชน ความจำมึงหายก็จริง แต่มันก็หายแค่ตอนมึงโดนรถชนเปล่าวะ?”
“แล้วทำไมมึงต้องเดือดร้อน ไอริสยังไม่เดือดร้อนเลย” ผมเริ่มหมดความอดทนที่โดนมันไล่บี้ เพราะในสมองผมเอง ก็มีเื่ราวมากมายให้ครุ่นคิดเต็มไปหมด จึงเผลอหลุดอารมณ์ใส่มัน
“คีย์! กูจะบอกมึงให้รู้ไว้นะ มึงอย่าเหี้ยกับเพื่อนให้มาก” ผมพยักหน้าแล้วก้าวเท้าเข้าไปหามัน
“มึงไม่คิดบ้างล่ะ ว่าถ้ากูยังเดินหน้าเป็แฟนกับไอริส แล้วสุดท้ายกูทำให้ไอริสเ็ป กูไม่เลวกว่านี้เหรอ? กูบอกว่ากูลืม แต่มึงจะให้กูจำ มึงเองรึเปล่าวะ ที่กำลังทำตัวเหี้ยกับกู!” ผมพูดจบก็หันตัวเดินออก ก่อนจะชะงักวูบ เมื่อเห็นไอริสยืนฟังอยู่ด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ที่พวกเธอขึ้นห้องช้า เพราะมัวทะเลาะกันอยู่ ด้วยเื่ของฉันงั้นเหรอ?” เจย์รีบลุกขึ้นยืน แล้วเดินมาหาไอริสด้วยความเป็ห่วง ก่อนจะอึกอัก แล้วสะกิดชายเสื้อผม
“คือว่า....” ผมพยายามหาทางแก้ตัว
“ไม่ต้องพูด เราได้ยินหมดแล้ว” ผมหันมองหน้าเจย์ เราสองคนต่างรู้กันว่า ความรู้สึกของไอริสเป็ยังไง ก่อนเธอจะยกมือขึ้นกอดอก
“ไม่เป็อะไรเลย เราเข้าใจทุกอย่าง เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” ก่อนเธอจะเดินมาแล้วจับแขนผมและเจย์ ลากขึ้นไปยังห้องเรียน โดยที่พวกเราทั้งสอง ไม่หันมาใส่อารมณ์ต่อกันอีก