ย้อนเวลากลับมาเป็แฟนหนุ่มที่ดีแบบ 300%
Chapter 6
/
ร้านชุดทำงานราคาหลักพันต้น ๆ เป็ตัวเลือกแรกที่แซคเดินเข้าไปสำรวจดูหลังจากได้รับอีเมลตอบรับเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าผ่านการสัมภาษณ์แล้วเป็ที่เรียบร้อย จะไม่ให้ผ่านได้ไงล่ะ ในเมื่อครอบครัวของเขาถือหุ้นเยอะที่สุดและที่สำคัญซีอีโอยังเป็คนเดียวกันกับที่เขาเรียกว่าพ่อ
เพราะฉะนั้นหลังรู้ข่าวแซคจึงใช้มารยาออดอ้อนคนรักให้พามาซื้อเสื้อผ้า โดยมีมารดาเป็สปอนเซอร์หลักเนื่องจากดีใจที่ลูกชายเพียงคนเดียวทำงานเป็หลักเป็แหล่งเสียที…
แซคไม่คิดว่าตัวเองในอดีตจะยอดแย่ขนาดนี้ เพราะทันทีที่เอ่ยปากบอกใครต่อใครว่าจะเริ่มทำงานเก็บเงิน ไม่เที่ยว ไม่ดื่มทุกคนต่างเอาน้ำสาดเพราะคิดว่าเขาผีเข้า โดยเฉพาะไอ้เหี้ยแบร์ ไอ้หน้าสัตว์นี่ชวนจานินเดิมพันว่าเขาจะทำตัวดีได้สักกี่วันและที่สำคัญยัยนี่ดันเล่นด้วยนี่สิ :-(
“เข้าผิดร้านหรือเปล่า”
“ครับ?”
“เมื่อก่อนใส่เสื้อผ้าแบรนด์นั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเปลี่ยน” แบรนด์ที่จานินเอ่ยถึง คือเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่แซคคลั่งไคล้เสียจนต้องเก็บทุกคอลเลกชันแม้ราคาจะแพงอย่างไร้เหตุผลก็ตาม
“อ๋อออ แซคอยากเปลี่ยนบ้างครับ เห็นในรีวิวบอกว่าเนื้อผ้าดีแถมราคายังย่อมเยาอีก” ชายหนุ่มแก้ตัวด้วยเหตุผลที่ดูเป็ไปได้มากที่สุด จะให้บอกได้ไงล่ะว่าเ้าของแบรนด์เหี้ยนั่น อีกยี่สิบปีข้างหน้ามันจะมีข่าวฉาวเพราะล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน ม.ต้นน่ะ ถึงตอนนี้มันจะยังไม่ได้ทำแต่ทว่าแซคก็อุดหนุนไม่ลงอยู่ดี
ไอ้พวกเงี่ยนกับเด็กควรตายห่าไปให้หมด
“เมื่อก่อนไม่เห็นจะสนใจเื่ราคา”
“ต่อไปนี้ต้องสนแล้ว เพราะแซคจะเก็บเงินไว้ซื้อบ้านหลังใหญ่ ๆ อยู่กับเธอ” ความจริงหากเอ่ยปากขอแม่ บ้านเดี่ยวราคาหลายสิบล้านคงตกมาอยู่ในมือของเขาอย่างง่ายดาย แต่นี่โตเป็หนุ่มแล้วไง เลยอยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้างเผื่อจะได้มีเื่ไปเล่าให้ลูก ๆ ในอนาคตฟังว่าพ่อพวกหนูแม่งเก่ง แม่งเจ๋งแค่ไหน
อ๋อ และแม่ของลูกต้องเป็จานินเท่านั้นนะ ล็อกมงไว้แล้ว
“แซค”
“...”
“แซค คิดอะไรอยู่เนี่ย” แม่ตัวดีเท้าสะเอวมองกันหน้าเง้า จนแซคอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือเอาฮู้ดคลุมหัวอีกฝ่ายแล้วโน้มตัวไปหอมขมับแรง ๆ หนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว นี่ถ้าอยู่ในห้องด้วยกันสองคนป่านนี้ชวนปี้ไปแล้วเรียบร้อยไม่ปล่อยให้ทำตัวน่ารักเรี่ยราดแบบนี้หรอก
“คิดถึงงานแต่งงานของเรา—โอ๊ย!”
เพียะ!!
มือมังคุดน้อย ๆ ทว่าหนักเสียยิ่งกว่ากำปั้นนักมวย MMA ถูกฟาดลงบนหัวไหล่ของแซคอย่างแรงจนเขาอดไม่ได้ที่จะร้องซี้ดออกมาด้วยความแสบสัน พวกทำร้ายร่างกายผัว ตายไปล้วนเป็เปรต!
“มัวแต่ลีลา รีบ ๆ เลือกได้แล้ว”
“ค้าบ”
เราทั้งคู่เดินไปยังโซนชุดทำงาน ที่มีั้แ่สไตล์เรียบหรูไปยังกึ่งทางการและเท่าที่ศึกษามาคร่าว ๆ แผนกการตลาดของพีดีกรุ๊ป ไม่ได้ซีเรียสเื่การแต่งตัวมากนักเพียงแต่ให้อยู่ในขอบเขตของคำว่ากาลเทศะก็เป็พอ
“เธอเลือกให้หน่อย แค่ตัวเดียวก็ได้ เอาฤกษ์เอาชัยหน่อยครับ” จานินกลอกตามองบนกับความเยอะของคนรักแต่กระนั้นก็ละเมียดละไมตั้งใจเลือกเสื้อเชิ้ตแม้จะไม่สันทัดทางด้านแฟชั่นเท่าไรนัก
“ขยับมาใกล้ ๆ หน่อย”
“ครับ” เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทาบลงบนตัวของคนรักก่อนจะตามด้วยเบลเซอร์ตัวสีชมพูกะปิที่คิดว่าน่าจะเข้ากันได้มากที่สุด—เป็ความจริงที่จานินไม่มีเทสต์ด้านการแต่งตัวแต่อย่าลืมสิว่าเขาทำงานเป็ Game artist เพราะฉะนั้นการจับคู่สีจึงเป็เื่ที่ค่อนข้างเบสิกสำหรับเขา
“ใส่คู่กับกางเกงสีขาวน่าจะโอเค”
“เนี่ย แซคใส่สีชมพูโคตรขึ้นเลยอะ”
“หลงตัวเอง” ร่างบางยัดเสื้อผ้าใส่มืออีกฝ่ายก่อนจะเดินแยกไปดูเนกไทเพราะตั้งใจจะซื้อเป็ของขวัญให้แก่คนรัก ซึ่งฐานเงินเดือนไม่กี่หมื่นอย่างเขามีปัญญาซื้อได้แพงสุดก็แค่หลักพันกลาง ๆ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าซื้อไปแล้วจะเสียเปล่าหรือไม่ เพราะพ่อคุณเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับคำว่าแบรนด์ด้วยนี่สิ
แต่เอาเถอะ ถือว่าซื้อให้แล้วจะใส่ไม่ใส่ก็แล้วแต่
“ทั้งหมดสี่พันหนึ่งร้อยเก้าสิบบาทค่ะ”
“จ่ายเป็บัตรนะครับ”
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจทำบัตรสมาชิกไหมคะ ได้ส่วนลดถึง 10% เลยนะคะ” หล่อนเอ่ยเสียงหวานพร้อมกับยิ้มกว้างเพื่อเป็การคะยั้นคะยอลูกค้าแต่หารู้ไม่ว่าร่างสูงที่พ่วงด้วยนามสกุลปณัยภาคย์ย่อมไม่สนใจกับส่วนลด—
“ทำครับ”
ส้นตีนเถอะ เห็นคนสวยหน่อยไม่ได้สันดานโผล่เชียวนะ
“เธอจะไปไหน” เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างกันหมุนตัวเดินหนี มือหนาก็รีบคว้าเรียวแขนเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จะไปรอข้างนอก” จานินตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ก่อนจะดึงข้อมือตัวเองออกห่าง จากนั้นก็เดินถือถุงกระดาษที่ด้านในเป็เนคไทยี่ห้อดังราคาเกือบสามพัน นี่ถ้าไม่ติดว่ามันราคาแพงฉิบหายป่านนี้ได้ไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในถังขยะไปแล้ว :-(
ร่างบางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ยาว สายตาก็จดจ้องไปยังเคาน์เตอร์คิดเงินที่คนรักและพนักงานสาวกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส อีกทั้งยังหัวเราะยิ้มแย้มราวกับรู้จักกันมานานนับสิบปี ความปวดหนึบแล่นไปทั่วทั้งหัวใจจนสุดท้ายจานินเลือกที่จะเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองภาพเ่าั้ให้ระคายสายตาอีกแล้ว...
“เอ่อ พี่ครับ” น้ำเสียงแหบห้าวของเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นเรียกสติให้โอเมก้าตัวขาวเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะมองเท่าไรก็ไม่รู้สึกคุ้นตากับใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“เรียกพี่...เหรอ?” นิ้วเรียวชี้เข้ามาหาตัวเองและนั่นทำให้เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดนักเรียนหลุดยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู—สารภาพว่าเขามองคนคนนี้ั้แ่เดินออกจากร้านเสื้อผ้าจนเพื่อนจับได้ก่อนจะเอ่ยยุยงให้เข้าไปขอเบอร์เพราะเห็นว่าเ้าตัวนั่งอยู่คนเดียว
“ครับ”
“อา แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“ผมสนใจพี่ครับ อยากทำความรู้จั—”
“ที่รัก” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากขอช่องทางการติดต่อ น้ำเสียงเข้มพร้อมกับไอเย็น ๆ ที่ชวนเสียวสันหลังก็ดันโพล่งขึ้นมาเสียก่อน เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ผิดที่ผิดทางรีบโค้งศีรษะขอโทษพี่คนสวยและแฟนของเ้าตัวก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนสนิทที่บัดนี้ก็หน้าซีดไม่ต่างกัน
เ้าที่โคตรแรง
“เหม็น” ร่างบางเอ่ยเสียงแ่พร้อมกับเบือนหน้าหนีเมื่อคนรักปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาเพื่อข่มอัลฟ่ารอบตัวและแน่นอนว่าคนที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ คือจานินที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย
“ค้าบ ใครจะไปตัวหอมเหมือนไอ้เด็กเหี้ยนั่นล่ะ” ว่าพร้อมกับคว้าร่างบางมาซุกใต้วงแขนก่อนจะใช้ฝ่ามืออีกข้างขยี้กลุ่มผมคนที่ทำตัวสวยเรี่ยราดด้วยความมันเขี้ยว
“อื้อ อย่าแกล้ง!”
“...” นั่น หน้าบู้บี้เหมือนปลาทูแม่กลองไม่มีผิด
“นิสัยไม่ดี มีสิทธิ์อะไรไปเรียกคนอื่นว่าเด็กเหี้ย” จานินหน้ายุ่งแต่กระนั้นก็ยินยอมให้แซคใช้สองมือจัดทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
“ก็มันเหี้ยจริง เด็กดี ๆ ที่ไหนจะมาพรากผู้ใหญ่ แม่ง นึกแล้วก็ขอโทรแจ้งตำรวจหน่อยเหอะ” แซคแสร้งหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ แต่ทว่าก็ไม่ได้โทรออกแต่อย่างใดเพราะไอ้คดีพรากผู้ใหญ่มันไม่มีในหนังสือกฎหมายเลยด้วยซ้ำ
“ประสาท ทีตัวเองคุยกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์เสียงหวานไม่ยักเห็นเป็อะไร” จานินบ่นออกมาอย่างเหลืออดก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเผลอปล่อยไก่ตัวโตออกไปอย่างไม่น่าให้อภัย
“เธอหึงแซคเหรอ”
“...”
“ว่าไงคะ ที่รักหึงแซคเหรอ?” อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่หายวับไปกับตาเมื่อเห็นปฏิกิริยาแสนน่ารักของคนตรงหน้า แซคกลั้นยิ้มจนหน้าเบี้ยวเพราะโดยปกติแล้วจานินเป็พวกเก็บอาการค่อนข้างเก่ง นาน ๆ ครั้งจะหลุดเพราะฉะนั้นนี่จึงเป็ปรากฏการณ์ที่หาได้ค่อนข้างยาก
“เพ้อเจ้อ”
“แน่ะ”
“...”
“โอเค ๆ ไม่แซวแล้ว—แซคเห็นเธอมองรองเท้าอยู่นานเลยสอบถามพนักงานดู เห็นว่าต้องสั่งจองเท่านั้นไม่มีวางขายหน้าร้าน” ริมฝีปากสีสดขบเม้มเข้าหากัน เพราะั้แ่เดินเข้าร้านมาสายตาของจานินเอาแต่จดจ้องรองเท้าผ้าใบที่วางอยู่บนตู้โชว์และที่น่าแปลกใจมากไปกว่านั้นคือการที่อีกฝ่ายสังเกตเห็นทั้ง ๆ ที่กำลังตั้งอกตั้งใจเลือกชุดทำงานอยู่แท้ ๆ
“ไม่ได้สนใจซักหน่อย”
“ครับ ๆ ไม่สนใจก็ไม่สนใจ” แต่ตานี่เป็ประกายเชียวนะ ประโยคด้านหลังแซคเอ่ยกับตัวเองในใจเพราะขืนไล่ต้อนอีกฝ่ายต่อไปรับรองว่าเขาโดนหมัดแมวหวดอีกเป็แน่…
/
ทันทีที่ซื้อเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวครบแล้วเป็ที่เรียบร้อย เราทั้งคู่ก็ลงมายังแผนกของสดเพื่อซื้อเนื้อสัตว์ไปทำอาหารสำหรับมื้อเย็นที่จะถึงนี้
แซคไสรถเข็นไปยังโซนผักสดก่อนจะเลือกพวกตะไคร้ ใบมะกรูด เพราะเมื่อคืนคนข้างกายเปรยขึ้นมาลอย ๆ ว่าอยากกินต้มยำกุ้งน้ำข้น หากเป็เมื่อก่อนแซคคงบ่ายเบี่ยงไม่อยากทำเพราะขั้นตอนมันยุ่งยากแล้วไล่ให้อีกฝ่ายโทรสั่งจากร้านอาหารเอา
ตัดมาที่ตอนนี้สิ อยากกินอะไรทำให้ได้หมด!
“ใส่หมึกด้วยไหมหรือเธอจะเอากุ้งอย่างเดียว”
“เอาหมึกด้วย แต่เอาหมึกสายแทนได้ปะอยากกิน”
“เอาสิ ซื้อไปซักกิโลเผื่อทำผัดกะเพราพรุ่งนี้ด้วย” เวลาเดียวที่เราทั้งคู่จะมีความเห็นตรงกันคือยามที่เดินเลือกซื้ออาหาร ไม่ก็ของใช้อย่างพวกครีมอาบน้ำ ยาสีฟัน เว้นก็แต่สกินแคร์หรือเครื่องประทินผิวเพราะแซคค่อนข้างสำอางและซีเรียสเื่แบรนด์จนโดนคนรักดุเื่ใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่บ่อย ๆ
“ครีมโกนหนวดหมดยังอะเธอ” ว่าพร้อมกับใช้มือลูบปลายคางสาก ๆเพราะตอหนวดที่เริ่มเขียวครึ้ม
“เหลือนิดเดียวเองมั้ง ซื้อไปเลยก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องออกมาหลายรอบ”
“งั้นเดี๋ยวแซคไป W แป๊บหนึ่ง รออยู่นี่นะอย่าเพิ่งไปไหน”
“อือ” จานินตอบรับในลำคอก่อนจะมองอีกคนที่สาวเท้ายาว ๆ ย้อนกลับไปยังทางที่เราทั้งคู่เพิ่งเดินผ่านมาจนลับตา จากนั้นจึงเดินไปเลือกผลไม้ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็ของโปรดของอีกฝ่ายทั้งสิ้น
เป็ความจริงที่จานินไม่ได้รู้สึกกับอีกฝ่ายเท่าเดิมแต่ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความผูกพันและความห่วงใยนั้นยังคงมีเหมือนเดิมไม่แม้แต่จะจืดจาง–
“ไม่คิดจะทักกันหน่อยเหรอครับ”
ใบหน้าที่ถอดแบบมารดามาอย่างกับแกะ เงยหน้าสบตากับเ้าของเสียงที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะผงะถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัว—ดวงตากลมเหลือบมองไปด้านหลังที่มีบิดาและภรรยาใหม่ยืนโอบบ่าลูกชายคนเล็กอย่างแแ่มิต่างอะไรจากครอบครัวสุขสันต์ในละครภาคค่ำ
“กี่ปีแล้วนะครับ ที่พี่ไม่ได้กลับบ้าน...”
“...”
“รู้ไหมว่าผมคิดถึงพี่สุดหัวใจเลยล่ะ” ว่าจบก็เอื้อมมือมารั้งตัวเขาเข้าไปกอด ซึ่งจานินพยายามขัดขืนอย่างเต็มที่แต่ทว่าก็ไม่เป็ผลเพราะอีกฝ่ายนั้นแรงเยอะกว่ามาก เขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ แม้ในความเป็จริงจะรู้สึกขยะแขยงจนแทบอ้วกก็เถอะ
“ป…ปล่อย”
“โธ่ ผมแค่กอดนิดหน่อยเอง”
“ธันวา มานี่” ประมุขของบ้านเอ่ยเสียงทุ้มพร้อมกับดึงลูกชายคนเล็กให้ออกห่างจากโอเมก้าผู้ซึ่งมีสถานะเป็ลูกชายคนโตแต่ทว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ใช้นามสกุลหรือรับสินสมบัติใด ๆ ในนามของทายาท...
“ไม่คิดจะไหว้ฉันกับคุณหญิงหน่อยหรือ”
“สวัสดีครับ” จานินยกมือไหว้โดยที่ไม่แม้แต่จะสบตาและแน่นอนว่าเขาถูกผู้เป็บิดาตำหนิทางคำพูดอย่างรุนแรงราวกับเขาเป็ผีห่าสักตัวที่แสนชั่วช้า
“เื่แค่นี้ยังต้องให้บอก พวกโอเมก้านี่ทำตัวเหมือนกันหมดจริง ๆ”
“อย่าไปว่าแกเลยค่ะ ไม่มีแม่คอยสั่งสอนก็เป็แบบนี้แหละ” ร่างบางสบตาผู้เป็แม่เลี้ยงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ามองปลายเท้าและเผลอกำชายเสื้อแน่นด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างท่วมท้นเสียจนจานินอยากวิ่งหนีจากตรงนี้ ไม่ก็ะเิอารมณ์ใส่บุคคลตรงหน้า แต่ทว่าสิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่นิ่งเงียบและภาวนาให้คนทั้งสามเดินไปจาก ณ ที่แห่งนี้เสียที...
หมับ
“ถ้ามีแม่คอยสั่งสอนแล้วสันดานเป็แบบนี้ไม่มีน่าจะดีกว่า–ฮ่า ๆ หยอก ๆ นะครับ” ข้อมือขาวถูกใครบางคนที่ลอบมองเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่งเดินเข้ามาดึงรั้งให้ไปอยู่ข้างหลังและใช้ลำตัวบังอีกฝ่ายเอาไว้อย่างถือวิสาสะ
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาว่าแม่กู” เด็กหนุ่มที่คาดคะเนจากสายตาน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบตรงดิ่งมากระชากคอเสื้อเขาด้วยความไม่พอใจ ซึ่งแซคทำเพียงแค่ปัดมืออีกฝ่ายทิ้งอย่างแรงและแสร้งกดสายตาลงต่ำเพื่อย้ำเตือนว่าไม่ควรล้ำเส้น
“แล้วแม่มึงมีสิทธิ์อะไรมาว่าคนอื่น”
“ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจผิดนะครับ ครอบครัวของเราทักทายกันแบบนี้เป็เื่ปกติอยู่แล้ว คุณเป็คนนอกคงไม่รู้อะไร” ชายวัยกลางคนดูมีภูมิฐานดึงลูกชายให้กลับไปยืนข้างกายก่อนจะเผชิญหน้ากับอัลฟ่าวัยกลัดมันที่จดจ้องมายังเขาอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“ถ้าคุณมองว่าการทักทายแบบนี้เป็เื่ปกติ ผมว่าตัวคุณเองนั่นแหละที่ไม่ปกติ” แซคตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งซึ่งนี่คงเป็อีกหนึ่งข้อดีของคนที่เคยอายุสี่สิบสามเพราะนอกจากจะทำให้เขารู้จักระงับอารมณ์แล้ว ยังสอนวิธีตอบโต้แบบผู้ใหญ่ถึงแม้คู่สนทนาจะเป็ผู้ใหญ่ที่โตมาทำไมก็เถอะ
“ถ้าไม่อยากมีปัญหาผมว่าคุณถอยดีกว่านะครับ เผื่อไม่รู้ว่าผมเป็พ่อของโอเมก้าข้างหลังคุณ” แม้แต่คำว่าลูกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็พ่อยังไม่แม้แต่จะเปิดปากพูดออกมา แม่ง โคตรเหลือเชื่อเลยว่ะ
“ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมเพิ่งทราบว่าคุณเป็พ่อ...”
“ไม่เป็ไร—”
“ไม่ใช่ว่าแอบอ้างหรอกนะครับ เพราะคงไม่มีพ่อดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้ลูกตัวเองโดนคุกคามจากคำพูดแย่ ๆ หรอก ใช่ไหมครับ?”
“ไอ้เหี้ยนี่ต้องโดนสักทีนะมึง!” อัลฟ่าเืร้อนตั้งใจจะหวดหมัดใส่หน้าเขา แต่ทว่าแซคไวกว่าเลยเบี่ยงตัวหลบก่อนจะยื่นเท้าไปสกัดท่อนจนอีกฝ่ายหน้าคว่ำล้มลงกับพื้น
“ธันวาเป็อะไรไหมลูก!?” หญิงวัยกลางคนรีบทรุดตัวนั่งลงก่อนจะใช้สองมือพยุงร่างลูกชายให้ลุกขึ้น โดยที่ประมุขของบ้านทำเพียงยืนนิ่ง ๆ แม้ในความเป็จริงจะรู้สึกอับอายกับสายตานับสิบคู่ที่มองมาก็เถอะ
“ฉันจะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย แกเตรียมตัวไปนอนคุกได้เลย” หล่อนหันมาตวาดดังลั่นอีกทั้งยังปล่อยฟีโรโมนข่มขู่ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบมีเพียงจานินที่ยืนอยู่ด้านหลังของคนรักแต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแย่เท่ากับตอนที่เผชิญหน้ากับบุคคลทั้งสามเพียงลำพัง
“ทำร้ายร่างกายอะไรกันครับ ลูกชายคุณเป็ฝ่ายเข้ามาทำร้ายผมก่อนแต่ดันโง่ต่อยไม่โดนเลยล้มหน้าคะมำอย่างที่เห็น”
“...”
“จะขอดูกล้องวงจรปิดก็ได้นะครับ ไม่ติด”
“นี่—”
“พอได้แล้ว ไม่อายคนบ้างหรือไง” เสียงกัมปนาทเอ่ยตวาดภรรยาก่อนจะจ้องเขม็งไปยังโอเมก้าที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงก้าวนำภรรยาและลูกชายให้เดินออกจากบริเวณนี้อย่างหัวเสีย
“เธออยากซื้ออะไรเพิ่มไหม หรืออยากกลับเลย” คนที่ทำตัวเป็ฮีโรเมื่อครู่หมุนตัวมาพูดคุยกับคนรักด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้พูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจานินคงรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่จะตอบ
“กลับเลยก็ได้”
“โอเคครับ เธอจะไปรอที่รถเลยไหมเดี๋ยวแซคคิดเงินเสร็จแล้วตามไป”
“ไม่เอา” จานินส่ายหน้าก่อนจะเผลอออกแรงกำชายเสื้อของคนรักเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกกดดันจนคนถูกกระทำรับรู้มันได้
“งั้นไปคิดเงินเลยดีกว่า จะได้รีบกลับบ้านของเราเนาะ” คำว่า ‘บ้านของเรา’ ทำให้คนที่ไม่เคยััแม้กระทั่งสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าบ้านขอบตาร้อนผ่าว—แซคมองคนรักอย่างเอ็นดูก่อนจะตัดสินใจรั้งมือเรียวที่กำชายเสื้อมากุมเอาไว้อย่างทะนุถนอม
/
ทันทีที่กลับมาถึงคอนโดฯ ร่างบางที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะตัวเล็กลงอย่างน่าใจหายปลดปลอกคอสีดำวางทิ้งไว้บนโซฟา ก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในห้องทำงานซึ่งเป็เพียงเซฟโซนเดียวของอีกฝ่ายที่แม้แต่แซคก็ไม่ถูกอนุญาตให้พาตัวเองเข้าไปหากไม่จำเป็
ดวงตาคมมองนาฬิกาดิจิตอลก่อนจะพบว่าอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น เขาจึงพาตัวเองไปนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูเพราะมั่นใจว่ากลิ่นของคู่แห่งโชคชะตาเยียวยาอีกฝ่ายได้ดีกว่าเสื้อผ้าของเขาอย่างแน่นอน
“ที่รักเอาไอศกรีมไหมครับ”
“...”
“หรือจะเอาเสื้อยืดดี เดี๋ยวแซคถอดให้”
“...” อีกฝ่ายยังคงเงียบ ไม่ยอมตอบโต้ซึ่งนั่นทำเอาร่างสูงเป็กังวลจนขมวดคิ้วมุ่น ใจจริงเขาอยากพังประตูเข้าไปแต่ก็กลัวว่าการกระทำไร้ซึ่งความยั้งคิดของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายปวดใจยิ่งกว่าเก่า ฉะนั้นสิ่งเดียวที่แซคทำได้คือการรอ—รอแม้จะมองไม่เห็นจุดหมายเลยก็ตาม
“เธอจำได้ไหม วันที่แซคสารภาพกับเธอว่าแซคเคยติดยาแถมยังมั่วเซ็กซ์...ตอนนั้นแซคโคตรกลัวเลย กลัวว่าเธอจะรับไม่ได้—”
“...”
“แต่รีแอกชันของเธอทำแซคใจเต้น เธอบอกว่าไม่เป็ไรมันผ่านมาแล้ว เธอไม่คาดคั้นอีกทั้งยังไม่ตัดสินแซคจากอดีต…”
“...”
“เพราะงั้นเธอพูดมันได้นะ ทุก ๆ อย่างที่อยู่ในใจ แซคไม่ตัดสินเธอหรอก”
ร่างบางที่นั่งกอดเข่าอยู่ใต้โต๊ะทำงานยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาราวกับเขื่อนแตก เขาอยากลุกออกจากตรงนี้แต่ทว่าดันมีโซ่ล่องหนล่ามขาเอาไว้และยากที่จะปลดออก...
จานินสะอื้นจนตัวโยน ภาพความทรงจำที่พยายามลืมเลือนหลั่งไหลเข้ามาในหัว ก่อนจะค้นพบว่าเื่ราวของตัวเองแม่งไม่น่าฟังเลยสักนิด—ถูกทอดทิ้งเหมือนเศษขยะ ทั้งยังถูกกระทำไม่ต่างจากสัตว์เพียงเพราะเกิดเป็โอเมก้าในครอบครัวที่บูชาอัลฟ่าจนหลงลืมแม้กระทั่งความเป็คน
“แม่งเอ๊ย!” แจกันถูกปาใส่ผนังเพื่อระบายอารมณ์จนแตกออกเป็เสี่ยง ๆ–จานินเกลียดไอ้เด็กเหี้ยนั่น เกลียดแม่ของมันและที่สำคัญเขาเกลียดพ่อ…เกลียดเสียจนอยากภาวนาต่อเทพเทวาว่าขอให้อีกฝ่ายตายห่าให้พ้นหูพ้นตาไปเสียที
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้จานินหลุดจากภวังค์ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตอบปฏิเสธอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“อย่าทุบประตู”
“เมื่อกี้เสียงอะไร”
“...”
“ตอบดิวะ แม่ง ถ้าเธอไม่ออกมาแซคจะพังประตูเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” ร่างสูงเอ่ยอย่างหัวเสีย ตอนนี้เขาทั้งห่วง ทั้งโกรธ จากที่เคยสาบานว่าจะไม่ล้ำเส้น แซคกลับคำและเลือกที่จะทุบประตูอีกครั้งเพื่อบอกอีกฝ่ายเป็นัย ๆ ว่าเขาไม่ได้ขู่
“อย่าเข้ามา”
ปึก!
“อึก ถ้าเข้ามาเราเลิกกัน!” เพียงหนึ่งประโยคการเคลื่อนไหวของคนด้านนอกก็หยุดลงราวกับถูกสตัฟฟ์เอาไว้ และเมื่อแน่ใจว่าพายุขนาดเล็กสงบลงแล้วคนที่ดวงตาบวมฉึ่งก็ค่อย ๆ เดินมาเปิดประตูซึ่งสิ่งแรกที่เห็นคือเนื้อตัวสั่นเทากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกังวล
“เธอ...เธอไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม” แซคใช้สองมือประคองคนรักก่อนจะกวาดสายตาหาร่องรอยของาแและเมื่อมั่นใจว่าไม่มีเขาก็ทอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“...”
“ดีแล้วครับ ดีแล้ว”
...หลังมือที่บอบช้ำจากการทุบประตูเอื้อมไปปาดน้ำตาที่ยังคงไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย เขาใช้ฝ่ามือโอบแก้มนุ่มเอาไว้พร้อมกับพร่ำบอกว่าไม่เป็อะไรซ้ำไป ซ้ำมา
นี่อาจจะเป็การกระทำที่ใกล้เคียงกับประโยคที่ว่าเราไม่ตัดสินกัน
“กอดกันไหม”
“...”
“ลองคิดเสียว่าแซคเป็ขอนไม้ หรือเป็อะไรก็ได้ตามใจเธอ—”
หมับ
ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจนจบประโยค ร่างบอบบางที่เต็มไปด้วยความบอบช้ำก็โถมร่างกายเข้ามากอดกันเอาไว้อย่างเต็มแรง แซคยกมือขึ้นกอดตอบพร้อมกับโยกตัวคนรักเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม
ชายหนุ่มโอบอุ้มคนรักไว้ในอ้อมแขนก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ ไปยังโซฟาจากนั้นจึงทิ้งตัวลงนั่งแล้วเอื้อมมือหยิบทิชชูมารองใต้จมูกที่บัดนี้มีน้ำมูกย้อยออกมา ซึ่งภาพที่เห็นทำเอาแซคเกือบหลุดขำแต่ทว่ายังดีที่ยั้งตัวเองทัน มิฉะนั้นลูกแมวบนตักได้วิ่งเตลิดกลับไปที่เดิมเป็แน่
“อึก อะไร”
“สั่งน้ำมูกเร็วครับ...เก่งมาก” ทันทีที่เอ่ยจบจมูกโด่งก็กดลงบนขมับขาวชื้นเหงื่ออย่างไม่นึกรังเกียจ
“แซค”
“ครับ?”
“ที่ทำแบบนี้ หวังอะไรหรือเปล่า” หวังว่าเราจะกลับไปเป็เหมือนเดิม? หรือหวังว่าเขาจะให้โอกาส? จานินเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าอีกฝ่าย้าอะไร
“หวังครับ”
“...” นั่นไง ก็คนอย่างแซค
“หวังว่าเธอจะไม่ร้องไห้”
“...”
“หวังว่าเย็นนี้เธอจะกินข้าวเยอะ ๆ”
“...”
“หวังว่าคืนนี้เธอจะไม่ฝันร้าย...”
“...”
“และหวังสุดท้าย แซคหวังดี”
เราสบตากันทันทีที่จบประโยคและจานินรู้ดีว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดเมื่อครู่ อีกฝ่ายไม่ได้พูดเพื่อเอาใจ—ไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย
แขนเรียวโอบกอดคนรักเอาไว้อย่างแแ่ กลิ่นฟีโรโมน ความอบอุ่นที่ช่วยเยียวยาแผลใจทำเอาจานินอดไม่ได้ที่จะบดเบียดเรือนกายเข้าหาตามประสาแม่พันธุ์ที่ได้รับาเ็…
“แซค”
“ครับ”
“ทำกันไหม”
ช่างเป็การแก้ปัญหาที่โคตรไม่ตรงจุด แต่แล้วยังไงล่ะอย่างน้อยความกระสันซ่านก็ปลดปล่อยมนุษย์เราจากความทุกข์ระทมแม้จะเพียงแค่ชั่วขณะหาใช่ชั่วนิรันดร์ก็เถอะ
Tbc
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้