“หาอะไรกินก่อนเถอะ” หญิงสาวพึมพำ
เธอกัดฟัน พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อลุกขึ้นจากเตียง แต่ร่างกายนี้อ่อนแอเกินกว่าที่คิด แค่เพียงลุกขึ้นนั่ง โลกทั้งใบก็หมุนคว้างจนเธอต้องรีบยกมือขึ้นกุมขมับ
“ไม่ได้การ...” เธอพึมพำกับตัวเอง “ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว” เ้าของร่างเดิมคงจะป่วยหนักและตรอมใจ สุดท้ายจึงสิ้นใจอยู่ที่ห้องนี้คนเดียว ปล่อยให้ิญญาจากอีกยุคหนึ่งมาแทนที่
สาวน้อยคนนั้นตอนนี้คงไปรวมตัวกับครอบครัวของเธอบน์อย่างมีความสุขแล้ว แต่ในส่วนของเมิ่งเฟย… ขืนเป็แบบนี้ต่อไป ต่อให้มีทักษะเทพอยู่ในมือ เธอก็คงไม่มีแรงแม้แต่จะนวดแป้งหรอก!
เสิ่นเมิ่งเฟยค่อยๆ ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เธอเดินโซซัดโซเซไปที่กระเป๋าเดินทางเก่าๆ และหยิบเงินเก็บทั้งหมดที่เ้าของร่างเดิมหอบหิ้วมาออกมา
ทั้งหมดมีอยู่ 258 หยวนกับอีก 5 เหมา นี่คือสมบัติทั้งหมดที่เธอมีติดตัวในตอนนี้
เธอกำเงินไว้ในมือแน่น มันเป็จำนวนเงินที่อาจจะหาได้จากการรับจ้างทำงานสัก 2 งานภายในวันเดียวสำหรับคนในยุคของเธอ แต่สำหรับที่นี่ มันคือเส้นเืใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเธอได้อีกหลายเดือนเลย
เธอซ่อนเงินส่วนใหญ่ไว้ในชั้นในสุดของเสื้อผ้า หยิบออกมาเพียงสองหยวนแล้วเดินออกจากห้องเช่าไปอย่างช้าๆ โลกภายนอกทำให้เธอรู้สึกแปลกตา ถนนยังคงเป็ดินลูกรังอัดแน่น ผู้คนส่วนใหญ่ขี่จักรยาน มีรถเมล์เก่าๆ วิ่งผ่านไปเป็ครั้งคราว ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเรียบๆ อย่างสีเทา สีน้ำเงิน หรือสีเขียว ไม่มีใครสนใจเธอที่เดินอย่างเชื่องช้าไร้เรี่ยวแรงอยู่ข้างทาง
กลิ่นหอมของน้ำซุปกระดูกหมูลอยมาแตะจมูก เธอเดินตามกลิ่นไปจนเจอกับร้านบะหมี่เล็กๆ ที่มีโต๊ะตั้งอยู่แค่สองสามตัว หน้าร้านมีหม้อน้ำซุปขนาดใหญ่ที่ส่งไอร้อนกรุ่นออกมาตลอดเวลา
“คุณป้า บะหมี่น้ำชามหนึ่งค่ะ” เธอพูดกับเ้าของร้านเสียงเบา
“ชามละ 8 เหมา” หญิงวัยกลางคนตอบกลับมาพลางตักเส้นบะหมี่ลวกลงในชามอย่างคล่องแคล่ว
เสิ่นเมิ่งเฟยนับเงินจ่ายให้ และเดินไปนั่งที่โต๊ะว่าง
ไม่นานนัก บะหมี่ชามร้อนๆ ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า มันเป็เพียงบะหมี่ซุปใสๆ ที่โรยด้วยต้นหอมซอย มีเนื้อสัตว์กับเครื่องปรุงค่อนข้างมาก ด้วยกลิ่นนี้ มันคงเป็อาหารมื้อที่หรูหราสำหรับเ้าของร่างเดิม
เธอซดน้ำซุปร้อนๆ เข้าไป ความอบอุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่หนาวสั่น ก่อนจะค่อยๆ กินเส้นบะหมี่กับเนื้อจนหมดชาม ความรู้สึกมีชีวิตชีวากลับคืนมาอีกครั้ง
หลังจากท้องอิ่ม เธอก็เดินไปยังร้านขายยาเล็กๆ ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรจีนอันเป็เอกลักษณ์
“ขอยาลดไข้หน่อย ฉันรู้สึกไม่สบาย..” เธอพูดกับหมอยาสูงวัยที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้เก่าๆ
ชายชราจับชีพจรของเธอ ก่อนจะจัดยาส่งให้อย่างคล่องแคล่ว “ทั้งหมด 1 หยวน 5 เหมา”
ค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารและยามากกว่าที่เธอคิดไว้ในตอนแรก แต่หญิงสาวก็ควักเงินออกมาจ่ายโดยไม่อิดออด
ก่อนจะกลับห้องเช่า หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปซื้ออุปกรณ์ทำแพนเค้กต้นหอมกลับไปด้วยในคราวเดียว
เนื่องจากเธอได้ทักษะทำอาหารระดับผู้เชี่ยวชาญนี้มาแล้ว เมิ่งเฟยจึงคิดว่าเธออาจจะสามารถสร้างรายได้จากสิ่งนี้ได้
พูดตามตรง ด้วยเงินเพียง 200 หยวนในมือตอนนี้ เธอรู้สึกไม่มั่นคงเลยจริงๆ แม้จะรู้ว่าด้วยค่าเงินในตอนนี้ เธออาจจะไม่อดตายเร็วๆ นี้หรอก แต่คงจะดีกว่าถ้าสามารถหาอะไรที่ทำเงินได้เร็วขึ้น
ก่อนจะข้ามมา เธอยังดิ้นรนหางานและเตรียมตัวถูกสังคมทุบตีแล้ว จึงไม่้าให้ไฟแห่งการต่อสู้นี้มอบดับไปเสียเปล่า…
เธอซื้อแป้งสาลีถุงใหญ่ 5 กิโลกรัมในราคา 5 หยวน, ต้นหอมกำใหญ่สองกำ ราคา 5 เหมา, น้ำมันหมูครึ่งกิโลกรัมราคา 2 หยวน, เกลือห่อเล็กอีก 2 เหมา
จากนั้นเธอก็ไปที่ร้านขายของใช้ในครัว เธอเลือกกระทะเหล็กก้นแบนอย่างดีที่ดูทนทานในราคา 10 หยวน, ไม้นวดแป้งและเขียงไม้อีก 5 หยวน, และกระดาษไขม้วนใหญ่ 2 หยวน รวมแล้ววันนี้เธอใช้เงินไปถึง 27 หยวน เหลือเงินติดตัวจริงๆ เพียง 231.5 เท่านั้น
หลังจากแบกวัตถุดิบทั้งหมดกลับห้องแล้ว เสิ่นเมิ่งเฟยก็กินยาและพักผ่อนเล็กน้อย จนรู้สึกว่าเริ่มมีแรงขึ้นมาบ้าง เธอจึงลุกขึ้นมาทดลองทำแพนเค้กต้นหอมครั้งแรกด้วยจิตใจที่กระตือรือร้น
เธอเทแป้งลงในอ่างผสม เติมน้ำอุ่นและเกลือ จากนั้น ทันทีที่มือของเธอัักับแป้ง ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดก็ปรากฏอีกครั้ง มือของเธอขยับนวดแป้งไปเองอย่างเป็ธรรมชาติ ราวกับเป็สัญชาตญาณของร่างกายเลยทีเดียว กล้ามเนื้อจดจำแรงที่ต้องใช้ในการนวดและคลึงแป้งได้อย่างแม่นยำ ไม่นานนัก ก้อนแป้งที่เนียนนุ่มและยืดหยุ่นก็อยู่ในมือของเธอ
เธอพักแป้งไว้ ก่อนจะหันไปล้างและซอยต้นหอมอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงตั้งกระทะเหล็กใบใหม่บนเตาถ่านเล็กๆ ทาน้ำมันหมูลงไปบางๆ กลิ่นหอมของน้ำมันหมูเริ่มส่งกลิ่นยั่วน้ำลายโดยที่ยังไม่ทันต้องทำอะไร
เมื่อได้เวลา เธอนำแป้งมาคลึงเป็แผ่นบางๆ โรยด้วยต้นหอมและม้วนเป็เกลียวอีกครั้ง ก่อนจะกดให้แบนแล้วนำลงทอดในกระทะ
ฉ่าาาาาาาาา!
เสียงแป้งกระทบกับความร้อนดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องเช่าเล็กๆ เธอพลิกแพนเค้กกลับด้านอย่างชำนาญ ไม่นานนัก แพนเค้กต้นหอมแผ่นแรกในชีวิตใหม่ของเธอก็สุกเหลืองทองอร่าม กรอบนอก และดูนุ่มในอย่างสมบูรณ์แบบ
เสิ่นเมิ่งเฟยยกแพนเค้กร้อนๆ ขึ้นมา เป่าเบาๆ ก่อนจะกัดเข้าไปคำใหญ่
ความกรอบของแป้งชั้นนอกที่แตกกระจายในปาก ตามมาด้วยความเหนียวนุ่มของแป้งชั้นในที่ชุ่มฉ่ำ และรสชาติเค็มนิดๆ ที่ตัดกับความหอมหวานของต้นหอมทำให้เสิ่นเมิ่งเฟยรู้สึกได้เลยจริงๆ ว่าเธอเป็ผู้เชี่ยวชาญในการทำแพนเค้กต้นหอมที่แท้จริงแล้ว!
แม้ว่าเธอจะไม่เคยเป็ผู้ประกอบการมาก่อน แต่หญิงสาวก็มั่นใจว่าแผ่นแป้งน้อยๆ นี้ของเธอจะต้องขายได้!
