ใน่เวลาวิกฤติหลี่ซานตาไวมือไว รีบประคองชายชราและเด็กน้อยเอาไว้ก่อนที่จะถลึงตาใส่ทุกคนแล้วะโว่า “อย่าเบียดกัน!”
เขามีรูปร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงอีกทั้งน้ำเสียงก็ดังก้องกังวาน เมื่อะโออกไปเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกใ ทุกคนไม่กล้าขยับอีก บางคนถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ชายชราผมขาวรีบยืนให้มั่นคงสงบใจให้ดี ส่วนเด็กน้อยถึงกับร้องไห้งอแงออกมา
“นี่ข้าให้เ้าไว้กิน อย่าร้องเลย” หลี่ซานเห็นเด็กร้องไห้ก็รู้สึกสงสาร จึงมอบขนมแป้งทอดกรอบให้เขาชิ้นหนึ่ง
เด็กน้อยมองขนมแป้งทอดกรอบด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาแต่กลับไม่ยอมรับไว้
“บ้านเ้าส่งลูกชายสี่คนไปเรียนหนังสือ หลานข้าจะกล้ารับแป้งทอดของบ้านเ้าโดยไม่จ่ายเงินได้อย่างไร” ชายชราผมขาวหยิบเงินออกมาสามทองแดง ซื้อขนมแป้งทอดกรอบไปสองชิ้น จากนั้นจึงอุ้มเด็กน้อยที่หัวเราะดีใจเพราะได้ของกินแล้วเดินจากไป
หลี่ซานจดจำเหตุการณ์นี้ไว้ในใจ ภายภาคหน้าหากมีคนมากจะต้องคอยเตือนไม่ให้พวกเขาเบียดกันอีก
หลี่ซานขายของเสร็จ มีเงินทองแดงกองใหญ่อยู่ในสาบเสื้อเช่นนี้พานให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก เขานึกไปถึงคำพูดของบุตรีสุดที่รักที่ว่าไม่ให้อยู่ที่ตลาดนาน จึงรีบขับเกวียนลากลับบ้านทันที ระหว่างทางไม่พักผ่อนไม่รับคน เพียงพริบตาเดียวก็กลับถึงหมู่บ้าน
่ฤดูใบไม้ร่วงท้องฟ้ามืดเร็ว ตอนนี้ดวงอาทิตย์ตกแล้ว คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีอาการตาบอดกลางคืนและไม่อยากจุดตะเกียงน้ำมันให้สิ้นเปลือง เมื่อกินข้าวเสร็จก็เอาแต่อยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนอีก
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังนั่งรออยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อได้ยินเสียงเกวียนลาจึงอาศัยแสงจันทร์มองไปพบว่าเป็หลี่ซานกำลังขับเกวียนลาเข้ามาจริงๆ จึงรีบวิ่งไปต้อนรับ
สามพ่อลูกนั่งเกวียนลากลับบ้านด้วยความดีอกดีใจ เมื่อครอบครัวรู้ว่าขายขนมแป้งได้ทั้งหมด โดยเฉพาะขนมแป้งทอดกรอบที่ได้รับความนิยมเป็อย่างมาก ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก
หลี่สือและหลี่หรูอี้ยกอาหารร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเข้ามา หนึ่งในนั้นมีขนมแป้งทอดกรอบชามใหญ่ด้วย
“ขนมแป้งทอดกรอบอร่อยจริงๆ!”
“ใส่น้ำมันและงามากเพียงนี้ หากไม่อร่อยก็แปลกแล้ว”
“ท่านอารองเป็คนนวดแป้งที่ใช้ทำขนมแป้งทอดกรอบในวันนี้เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้ตั้งใจกล่าวชมเชยหลี่สือ ทำให้อีกฝ่ายยิ้มจนตาหยี
“อาหารของบ้านเราอร่อยที่สุดในหมู่บ้านแล้ว”
ทั้งครอบครัวนั่งล้อมโต๊ะกินข้าวด้วยกันอย่างอบอุ่น
เมื่อกินอาหารเสร็จ จ้าวซื่อเห็นว่าหลี่ซานยังนั่งนิ่งอยู่ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ซาน ท่านนำเงินที่ได้จากการขายของออกมาให้หรูอี้เถิด”
“อ้อ... ข้าเกือบลืมเื่นี้ไปเลย” เมื่อครู่หลี่ซานตั้งใจฟังบุตรชายทั้งสี่กล่าวถึงเื่แปลกใหม่ที่สำนักศึกษาจนลืมเื่เงินจากการขายของ “หรูอี้ ระหว่างทางข้ารีบกลับบ้าน จึงยังไม่ได้นับเงินเลย”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้านับเอง” หลี่หรูอี้นับเงินไปสามรอบท่ามกลางสายตาคาดหวังของคนในครอบครัว “ห้าร้อยเก้าทองแดง”
จ้าวซื่อและเด็กชายทั้งสี่คุ้นชินกันมานานแล้ว ทว่าก็ยังคงดีใจ
หลี่ซานกล่าวอย่างตื่นเต้น “มากเพียงนี้เชียวหรือ!” เขาและหลี่สือทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยน หนึ่งวันรวมกันแล้วเพิ่งจะได้เงินห้าสิบทองแดง
ริมฝีปากแดงระเรื่อของหลี่หรูอี้ยกขึ้นเป็รอยยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านอย่าลืมนะเ้าคะ ว่าในนี้มีเงินทุนและค่าแรงด้วย วันนี้พวกเราทำขนมแป้งทอดกรอบสามร้อยชิ้นและขนมแป้งย่างต้นหอมห้าสิบชิ้น ของที่ใช้ก็มีแป้งขาว น้ำมัน ต้นหอม และ งาขาว รวมแล้วประมาณหนึ่งร้อยทองแดง ทั้งยังมีฟืน ค่าเสื่อมสภาพของเตาและเกวียน ค่าแรงของท่าน ของข้า และท่าน อารอง เมื่อคำนวณดูแล้วราวร้อยทองแดง บ่ายนี้กำไรสุทธิที่ได้จากการขายของจึงมีราวสามร้อยเก้าทองแดง”
หลี่ซานยิ้มไม่หุบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า “เหตุใดต้องคำนวณค่าแรงด้วย?”
หลี่หรูอี้กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “ท่านและท่านอารองไปทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยนได้เงินวันละห้าสิบทองแดง ตอนนี้ต้องทำงานขายขนมแป้งอยู่ที่บ้าน ข้าจึงคำนวณค่าแรงให้พวกท่านห้าสิบทองแดง”
หลี่ซานรีบเอ่ย “ทำงานสร้างกำแพงเมืองเหนื่อยมาก แต่ขายขนมแป้งไม่เหนื่อย เหตุใดจึงได้ค่าแรงถึงห้าสิบทองแดงเล่า?”
“ท่านพ่อ ท่านอยากซื้อที่นามิใช่หรือ เงินเหล่านี้ท่านก็เก็บไว้ซื้อที่นาเถิด”
จ้าวซื่อยิ้ม “หรูอี้ เ้าจะไปหยอกท่านพ่อทำไมเล่า”
“ข้าพูดจริงเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้นับเงินออกมาห้าทองแดงก่อนส่งให้หลี่ซาน ท่ามกลางสายตาของจ้าวซื่อและพี่ชายทั้งสี่
หลี่ซานเก็บเงินเอาไว้โดยไม่พูดอะไรอีก
จ้าวซื่อปรายตามองหลี่ซานครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย “ดูเถิด หรูอี้จำได้ตลอดว่าท่าน้าซื้อที่ดิน”
หลี่ฝูคังรีบฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ ลูกค้าในเมืองไม่ถามถึงพวกเราพี่น้องเลยหรือ”
“ถาม” หลี่ซานนึกถึงลูกค้าเก่าในตลาด มีเก้าในสิบคนชมเชยว่า บุตรชายทั้งสี่ของตนฉลาดเฉลียวจนได้เรียนหนังสือ ในใจจึงรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก
หลี่เจี้ยนอันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ประเดี๋ยวเดือนสิบสองพวกเราหยุดเรียนจะไปช่วยขายของที่เมืองด้วยขอรับ”
แววตาของหลี่ซานทอประกายอบอุ่น กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเ้าตั้งใจเรียนไปเถิด ภายหน้าจะต้องสอบเป็ซิ่วไฉให้ได้”
“ซิ่วไฉจะสอบได้ง่ายดายเช่นนั้นที่ไหนกันเ้าคะ ท่านพ่ออย่าได้สร้างแรงกดดันให้พวกพี่ชายเลย” ก่อนหน้านี้หลี่หรูอี้ได้ยินหวังจื้อเกากล่าวว่า ทั่วทั้งอำเภอมีนักเรียนเกือบพันคน ผู้ที่สอบได้ซิ่วไฉมีเพียงไม่กี่คน หากกล่าวถึงหมู่บ้านหลี่ หลายสิบปีมานี้ก็ไม่มีซิ่วไฉแม้แต่คนเดียว
“ค่อยเป็ค่อยไป ไม่รีบร้อน” จ้าวซื่อประจักษ์แจ้งดีว่าการสอบเคอจวี่ยากเพียงใด
ตอนที่ยังอยู่บ้านเดิม พี่ชายทั้งสามคนของนางเริ่มเรียนั้แ่อายุห้าขวบ ไปเรียนที่สำนักศึกษาั้แ่อายุเจ็ดขวบ อายุสิบสี่สิบห้าจึงเริ่มสอบเคอจวี่ ครั้งแรกสอบได้ถงเซิง แต่ไม่ได้ซิ่วไฉ
บุตรชายทั้งสี่ของนางเข้าเรียนที่สำนักศึกษาช้ากว่าพี่ชายทั้งสามของนางสี่ถึงหกปี เท่ากับว่าเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ช้ากว่าสี่ถึงหกปีเลยทีเดียว
“พวกเราจะไปอ่านหนังสือ” หลี่เจี้ยนอันกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องน้องชายทั้งสามขอตามไปด้วย
จ้าวซื่อนั่งอยู่ครู่หนึ่ง พริกดูตำราของบุตรชาย พบว่ามีตำราห้าเล่มที่อยู่เหนือความคาดหมาย ได้แก่ เจียอวี่ (ภาษาบ้าน) เสี้ยวจิง (คัมภีร์กตัญญู) สืออี้เจ๋อจง (กลอนสายกลาง) ซูจิงถูซัว(ประมวลภาพวาด) และซ่วนซู่ (วิถีคำนวณ) นอกจากนี้ยังมีแบบคัดอักษรของผู้ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ตำราในแคว้นต้าโจวมีราคาแพงมาก ตำราเจียอวี่เล่มบางๆ ที่ขายอยู่ในร้านหนังสือของเมืองตำบลก็มีราคาห้าร้อยทองแดงแล้ว
ตำราที่จางซิ่วไฉมอบให้นักเรียนล้วนเป็ตำราที่นักเรียนเป็ผู้คัดลอก ทำให้มีราคาถูกกว่าตำราในร้านหนังสือมาก ตำราห้าเล่มและเทียบคัดลายมือของบุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งหมดสี่ชุด คิดราคากับสี่พี่น้องบ้านหลี่เพียงสามตำลึง
“พวกเ้าเข้าสำนักศึกษาแล้ว ก็ต้องเรียนตำราเหล่านี้หรือ”
หลี่เจี้ยนอันตอบ “ขอรับ”
หลี่ฝูคังเห็นมารดามีท่าทีตื่นเต้นจึงอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านแม่ วันนี้ท่านอาจารย์ทดสอบพวกเราด้วยตำรา ซานจื้อจิง (คัมภีร์สามอักษร) ไป๋เจียซิ่ง (ตำราร้อยสกุล) เชียนจื้อเหวิน (ตำราร้อยอักษร) และการคำนวณ พวกเราตอบได้ทั้งหมดเลยขอรับ”
“ท่านแม่ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านสอนอักษรและการคำนวณให้พวกเรา มิเช่นนั้นวันนี้พวกเราคงตอบคำถามท่านอาจารย์ไม่ได้แล้ว”
“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวต่อไป “ท่านแม่ ท่านเข้าใจตำราเหล่านี้หรือไม่”
“เข้าใจ”
“ท่านแม่มีความรู้มากจริงๆ”
“พวกเ้าตั้งใจเรียนให้ดี มีส่วนใดไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้” จ้าวซื่อได้กลิ่นหอมของหมึกบนตำราก็ยื่นมือออกไปลูบกระดาษอยู่นาน เมื่อปีนั้นนางมีพร์ด้านการเรียนมากกว่าพี่ชายทั้งสาม จนบิดากล่าวหลายครั้งว่า หากนางเป็บุตรชายก็คงดี
ไม่ทราบว่าหลี่หรูอี้เข้ามาเมื่อใด เมื่อเห็นแสงตะเกียงส่องสลัวก็กลัวพี่ชายเสียสายตา จึงนำตะเกียงในห้องนอนของตนออกมาวาง แล้วนำตะเกียงในห้องโถงไปเพิ่มให้ห้องของหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หาน
ยามค่ำคืนอันเงียบสงบ มีเสียงจ้าวซื่อแว่วมาจากเตียงในห้องนอนว่า “พี่ซาน ท่านจะเก็บเงินไปซื้อที่หรือเ้าคะ?”
“ไม่ใช่ ข้าเอาไว้ให้หลี่สือ” ตอนนี้ครอบครัวเรามีเงินแล้ว บุตรชายทั้งสี่ก็ได้ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษากันทุกคน เขาจึงคิดให้หลี่สือผู้เป็น้องชายแต่งภรรยา
หลายวันมานี้เฟิงซื่อและหม่าซื่อบอกกับจ้าวซื่อเป็นัยๆ ว่า ต้องให้หลี่สือแต่งงานแล้ว ให้เขาแยกบ้านออกไปเสีย
.............................