ขณะที่เซี่ยโม่กำลังขบคิดอยู่นั้น พลันมีคนเปิดประตูเดินออกมาจากในบ้าน ก่อนจะะโอย่างตื่นเต้นยินดี “ลูกพี่ น้องสาวมาแล้ว…”
เธอมองไปตามเสียง คนเปิดประตูคือพี่พั่งจื่อนั่นเอง แล้วสิ่งที่สงสัยก็ได้รับคำตอบ พี่ซ่งกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย
ซ่งมู่ไป๋ยื่นหน้าออกมาจากในห้องครัว “โม่โม่ เข้ามานั่งในบ้านก่อน อีกเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว”
เธอหันไปมอง หน้าตาพี่ซ่งดูอิดโรยเหลือเกิน ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจนเห็นเส้นเืฝอยได้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าสองสามวันที่ผ่านมาคงพักผ่อนไม่เต็มที่
เธอรีบเดินเข้าไปถามอย่างห่วงใย “พี่ซ่ง มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“ไม่เป็ไร อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มส่ายหน้า
เมื่อเห็นว่าในห้องครัวมีแค่พี่ซ่งที่ยุ่งกับการทำอาหารอยู่คนเดียว ลูกไล่ทั้งสองคนไม่ยอมเข้าไปช่วย เธอก็รู้สึกไม่เป็ธรรมแทน
“พี่ซ่ง ทำไมถึงไม่เรียกพี่โซ่วจื่อกับพั่งจื่อมาช่วยล่ะคะ ทำอาหารเยอะแยะขนาดนี้ ถ้ารู้แบบนี้ฉันคงไม่กินข้าวมาก่อน…”
ซ่งมู่ไป๋ที่กำลังวุ่นวายกับการทำอาหารพอได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักทันที หันไปมองเด็กสาวด้วยแววตาคมปลาบ “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ”
“พี่ซ่ง ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่คะ ฉันแค่ถามว่าทำไมถึงไม่เรียกพี่โซ่วจื่อกับพี่พั่งจื่อมาช่วย“ เด็กสาวถามอย่างงุนงง เมื่อครู่เธอมั่นใจว่าไม่ได้พูดอะไรผิดไป
“ไม่ใช่ประโยคนี้ ประโยคสุดท้าย”
ประโยคสุดท้าย?
เธอทำหน้าคิดอยู่สักครู่ ประโยคสุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติเช่นกัน
“ถ้ารู้แบบนี้ฉันคงไม่กินข้าวมา…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเสียก่อน “เ้าสองคนนั้นไม่ได้บอกเหรอว่า ไม่เมื่อวานก็วันนี้ตอนเที่ยงฉันจะกลับมา”
“บอกค่ะ แต่ฉันนึกว่าพี่ต้องไปที่ทำงาน ไม่คิดว่าจะตรงมาที่นี่เลย”
เซี่ยโม่ไม่กล้าพูดออกไปว่า เธอไม่อยากมาทำอาหารให้นักฆ่าในห้องครัวสองคนนั้นกิน ก็เลยชิงกินข้าวมาก่อน
สีหน้าซ่งมู่ไป๋เคร่งขรึมลง ก่อนจะพึมพำอย่างน้อยใจ “ใจร้ายชะมัด เราอุตส่าห์กลับมาทำอาหารรอ…”
แม้ชายหนุ่มจะพูดเสียงเบาพอกับเสียงกระซิบ แต่เนื่องจากเธอมีประสาทการรับฟังดีเยี่ยมเลยได้ยินประโยคเมื่อครู่อย่างชัดเจน ใบหน้าเธอขึ้นสีแดงเรื่อ เธอคิดผิดไปหรือพี่ซ่งชอบเธอจริง เด็กสาวที่ไม่มีอะไรเลยแบบเธอเนี่ยนะ?
หรือสายตาพี่ซ่งจะมีปัญหา? เธอรู้ตัวดีว่า จะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ก็ไม่มีทางที่ใครจะมาชอบเธอได้ โดยเฉพาะคนที่ดีพร้อมแบบชายหนุ่มตรงหน้า
ชาติที่แล้วด้วยความไร้เดียงสา พอถูกคนสารเลวอย่างเซี่ยวฉางเซิงตามตื๊อเข้าหน่อย จึงหลงนึกไปว่าอีกฝ่ายมาอย่างจริงใจ เธอเลยดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายอย่างดี โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกหลอกใช้เป็สะพานเพื่อให้สอบติดมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ต่อมาถูกแม่เลี้ยงวางแผนเล่นงาน ยกสิทธิ์เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยให้พี่สาวต่างมารดา ทั้งยังถูกคนลักพาตัวไปจนชื่อเสียงของเธอถูกทำลายย่อยยับ พอเซี่ยวฉางเซิงรู้ก็สลัดเธอทิ้งอย่างไม่ไยดีทันที
จากนั้นเธอก็เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจเล็กๆ จนในเวลาต่อมากลายเป็เ้าของเครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีหลายสาขา
ปีนั้นเพื่อให้อยู่รอดในโลกธุรกิจ เธอทำเหมือนว่าตัวเองคือผู้ชายคนหนึ่ง ไม่สนใจเื่แต่งเนื้อแต่งตัว เพราะทราบดีว่าชื่อเสียงตนเองเสื่อมเสียเลยไม่เคยคิดหวังในเื่ความ
แม้จะได้กลับชาติมาเกิดใหม่ แต่ตอนนี้เธอเป็แค่เด็กสาว ไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูด ตัวผอมแห้ง หน้าตาก็งั้นๆ ที่ผ่านมาเลยเห็นพี่ซ่งเป็เสมือนพี่ชาย เป็ขาทองคำให้ได้พึ่งพิง หรือทั้งหมดนี้เธอจะคิดผิดไป?
ในใจเธอสับสนอย่างหนัก ขณะถามออกไปอย่างโง่งม “พี่ซ่ง เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะคะ”
ซ่งมู่ไป๋ที่ปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็ปกติได้แล้ว มองหม้อหมูน้ำแดงที่ตุ๋นจนงวดได้ที่ก็รีบหาถ้วยมาตักแบ่ง
จากนั้นหันไปมองเด็กสาวซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เขาอยากจะตบปากตัวเองนัก อีกฝ่ายยังเด็กอยู่ เขาจะทำให้เธอใไม่ได้ รอให้โตกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน
เขามองสบตาที่มองมาอย่างสงสัยของเด็กสาวพร้อมกับเปลี่ยนเื่ “ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากมาดูเธอน่ะ ได้ยินว่าเธอทำเื่ข้ามชั้นเรียบร้อยแล้ว เก่งมาก!”
เซี่ยโม่คิดในใจ นึกแล้วเชียวว่าเธอต้องฟังผิดไปแน่ๆ
“พี่ซ่ง เป็เพราะฉันโชคดีน่ะค่ะ” เซี่ยโม่ปรับอารมณ์ตัวเองก่อนจะยิ้มน้อยๆ
เธอเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ชายหนุ่มฟังอย่างกระตือรือร้น ส่วนเื่ที่วันนี้ถูกคุณครูบ่นว่าไปสายเธอขออุบเอาไว้แล้วกัน ฟังแต่เื่ดีๆ ก็พอ
ซ่งมู่ไป๋มองเด็กสาวอย่างชื่นชม ที่แท้คนที่เขาชอบก็เรียนเก่งถึงขนาดนี้ เขานี่สายตาไม่เลวเลย
ดวงตาคู่คมมองเด็กสาวเล่าเื่ต่างๆ นานาพร้อมรอยยิ้ม ความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีก่อนนี้พลันสลายไป
“โม่โม่ ถึงเธอจะกินข้าวมาแล้ว แต่อย่างน้อยลองชิมอาหารที่ฉันทำสักหน่อยก็ยังดี”
บอกตามตรง บะหมี่เละๆ แถมรสชาติจืดชืดที่กินมาจากโรงอาหารของโรงเรียนไม่ได้ทำให้อิ่มท้องสักเท่าไร เธอยังคิดจะหาโอกาสหยิบของกินจากโกดังสินค้าออกมาอยู่เลย
ได้ยินเช่นนี้เซี่ยโม่เลยพยักหน้าตอบรับ “ฉันต้องชิมแน่นอนค่ะ”
พอได้ยินว่าเด็กสาวยังชิมไหวแม้จะกินมื้อกลางวันมาแล้ว ซ่งมู่ไป๋รู้สึกดีใจเหมือนมีนกเป็พันๆ ตัวมาบินอยู่ในอก
เวลาต่อมาทุกคนก็นั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกัน
เซี่ยโม่พบว่าอาหารมื้อนี้ไม่เพียงมีหมูน้ำแดง ยังมีปลาแห้งนึ่ง และอาหารประเภทยำอีกหนึ่งอย่าง
พอชิมแล้วเห็นว่ารสชาติอาหารไม่เลว เธอเลยกินเข้าไปไม่น้อย
ครึ่งชั่วโมงต่อมาทุกคนก็กินอิ่ม ขณะที่เซี่ยโม่เข้าไปกรอกน้ำในห้องครัว พี่พั่งจื่อก็เดินตามมา ก่อนจะแอบเอาเงินยัดใส่มือเธอ
“น้องสาว รีบเก็บเงินเร็ว อย่าให้ลูกพี่เห็นเด็ดขาด ถ้านับแล้วไม่ครบมาหาพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะ”
เธอไว้เนื้อเชื่อใจทั้งสองคน เชื่อว่าพวกเขาต้องเห็นแก่หน้าพี่ซ่ง ไม่โกงเงินเธอแน่นอน
“ฉันเชื่อใจพวกพี่ทั้งสองคนค่ะ” เด็กสาวพูดพร้อมกับเอาเงินเก็บไว้ในโกดังสินค้า
ส่งเงินเสร็จเรียบร้อยพั่งจื่อก็เดินออกจากห้องครัวไปด้วยสีหน้าเป็ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่กี่นาทีต่อมาเด็กสาวถือกาต้มน้ำออกจากห้องครัว เดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วเริ่มชงชาให้ทุกคน
ซ่งมู่ไป๋ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เมื่อครู่นี้พั่งจื่อตามเข้าไปพูดคุยอะไรกับโม่โม่ ทั้งสองคนมีความลับอะไรกัน?
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป ทำเพียงแค่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ แล้วยกชาขึ้นดื่มอย่างเงียบๆ
เซี่ยโม่มองนาฬิกาที่อยู่ในโกดังสินค้า ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นชุดที่เธอสั่งตัดให้พี่ซ่ง
น่าเสียดายที่ไม่ได้เอากระเป๋าติดตัวมา ไม่อย่างนั้นเธอคงแกล้งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบชุดออกมาให้พี่ซ่งได้
“พี่ซ่ง ฉันต้องกลับไปเรียนแล้ว ธุระที่บ้านพี่เรียบร้อยดีไหมคะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว ฉันจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
ได้ฟังดังนั้นเซี่ยโม่ก็กลับไปที่โรงเรียนอย่างวางใจ
่พักระหว่างคาบเรียน ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำเธอจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แกล้งทำเป็ว่ากำลังพักผ่อน ที่จริงแล้วเธอเข้าไปในโกดังสินค้า นับเงินที่พี่พั่งจื่อเพิ่งให้มา ดูเหมือนว่าจำนวนเงินจะมากกว่าที่คิดเอาไว้เล็กน้อย
สองคนนี้ไว้ใจได้ ต่อไปเวลาพี่ซ่งไม่อยู่ เธอสามารถทำธุรกิจกับสองคนนี้แทนได้
เซี่ยโม่ไม่รู้เลยว่า การที่เธอแอบไปมาหาสู่กับพั่งจื่อจะทำให้ซ่งมู่ไป๋รู้สึกหึงหวง แน่นอนว่าเป็เื่ราวหลังจากนี้
หลังจากการเรียนสองคาบบ่ายจบลง ก็มาถึงคาบที่สามซึ่งเป็คาบสุดท้ายของวัน คาบนี้คือวิชาพละศึกษา เซี่ยโม่เห็นคนแอบโดดเรียนจำนวนไม่น้อยก็เลยทำตามบ้าง
เธอขี่จักรยานออกนอกรั้วโรงเรียนเพื่อไปหาน้องชาย เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีเด็กหลายคนกำลังยืนเล่นและพูดคุยกันอยู่แถวหน้าประตู
นอกจากนี้ยังมีเด็กหลายคนกำลังล้อมวงทำอะไรบางอย่างกันอยู่ด้วย
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ใจเธอก็รู้สึกไม่สงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เซี่ยโม่จูงจักรยานไปไว้ตรงบริเวณที่ให้จอด คล้องโซ่เสร็จเรียบร้อยก็รีบวิ่งเข้าไปดู
กระทั่งเห็นใบหน้าเด็กสองในสามคนซึ่งอยู่กลางวงล้อมได้อย่างชัดเจน คือเซี่ยเฉินเฟิงกับสือโถวน้อยนั่นเอง
สือโถวน้อยกำลังทะเลาะกับเด็กชายตาตี่อีกคน โดยมีเซี่ยเฉินเฟิงคอยช่วยอยู่ข้างๆ
สองรุมหนึ่งเช่นนี้ เด็กชายฝั่งตรงข้ามเป็ฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
แม้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเด็กๆ ถึงทะเลาะกัน แต่ในใจเธอยามนี้กรุ่นโกรธเป็อย่างมาก เมื่อเช้าตอนมาส่งอุตส่าห์กำชับแล้วว่าห้ามทะเลาะกับเพื่อน ทำไมถึงไม่เชื่อฟังเธอ
เซี่ยโม่เข้าไปห้าม รีบจับมือของเด็กทั้งสองคนเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ห้ามทะเลาะกัน!”
เมื่อเซี่ยเฉินเฟิงเห็นพี่สาวก็วิ่งเข้าไปฟ้อง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม หน้าตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “พี่ครับ เขาแย่งขนมปังกรอบของพวกเรา”