เยว่เฟิงเกอกำลังจะลงจากรถม้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับได้ยินม่อหลิงหานพูดกับราษฎรว่า “ที่แห่งนี้มีโรงเตี๊ยมหรือไม่? ”
ราษฎรได้ยินเช่นนั้นก็พากันพยักหน้า “มีขอรับท่านขุนนาง ห่างจากที่นี่ไปยี่สิบเมตรขอรับ”
คนคนนี้พูดจบ ราษฎรคนอื่นๆ ก็พากันชี้ไปยังทิศทางที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นตั้งอยู่
ม่อหลิงหานส่งเสียงอืมให้ราษฎรคนนั้นแล้วหมุนกายกลับขึ้นรถม้า
“เฉียวเฟย ไปโรงเตี๊ยม” เฉียวเฟยบังคับรถม้ามุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม
ทุกคนพร้อมใจแหวกเป็ทางให้รถม้าดำเนินไป ก่อนจะจดจ้องรถม้าคันงามตาไม่กะพริบ
พวกเขาต่างไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถม้าคันนั้นเป็ใคร แต่ดูจากท่าทางเ็าของม่อหลิงหานเมื่อครู่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนที่นั่งอยู่ด้านในคงไม่ใช่คนที่ราชสำนักส่งมา
ที่จริงแล้วที่เมื่อครู่ม่อหลิงหานลงจากรถม้า ทั้งหมดเป็เพราะประสบการณ์ก่อนหน้าที่เคยพบพาน ทำให้เขาอยากลงจากรถม้าแล้วเข้าใกล้ราษฎรเหล่านี้ให้มากสักหน่อย
สถานที่แห่งนี้ม่อหลิงหานมาเป็ครั้งที่สองแล้ว ครั้งก่อนที่เขามาก็คือเมื่อสองสามปีก่อน
ตอนนั้นแคว้นเป่ยชวนและเฟิงหลันกำลังรบรากัน หลังจากม่อหลิงหานและช่างตีเหล็กหลิวได้รับาเ็ก็ได้ราษฎรเมืองสือเยี่ยนนี่แหละที่แบกกลับมาที่เมืองแห่งนี้
ตอนนั้นคนทั้งสองมีเืท่วมร่าง แต่เพราะอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่อยู่ ทำให้ชาวเมืองสือเยี่ยนรู้ว่าพวกเขาเป็ชาวเป่ยชวน
หลังจากชาวเมืองช่วยพวกเขาทั้งสองออกมาจากสนามรบแล้ว ก็ยังพาไปซ่อนในห้องใต้ดิน
ชาวบ้านไม่เพียงตั้งอกตั้งใจดูแลพวกเขาอย่างดี แต่ยังเอาแต่พูดว่าพวกเขาเป็วีรบุรุษ
โชคดีที่ฮ่องเต้ทราบข่าวอย่างรวดเร็ว จึงส่งคนมาพาม่อหลิงหานและช่างตีเหล็กหลิวกลับอวิ๋นจิงโดยเร็ว
หากไม่ได้ชาวบ้านที่นี่ช่วยลากพวกเขาทั้งสองที่าเ็ออกมาจากสนามรบ เกรงว่าพวกเขาคงจะตายไปนานแล้ว
เมื่อครู่ตอนที่ม่อหลิงหานลงมาก็ได้ยินชาวบ้านที่นี่พูดกันว่าเป็ไปได้มากที่ตัวเขาจะเป็ขุนนางที่ราชสำนักส่งตัวมา
อันที่จริงตอนที่ต้องได้ยินคำพูดเหล่านี้ จิตใจของเขาก็ให้รู้สึกไม่ค่อยดีเล็กน้อย เพราะราชสำนักไม่ได้ส่งตัวเขามา หรือหากจะให้พูดให้ถูกก็คือ คนในราชสำนักเ่าั้ลืมพวกเขาไปจากความทรงจำนานแล้ว
ในที่สุดม่อหลิงหานก็ทนไม่ไหวจึงได้ะโลงจากรถม้า
ทว่า ชั่วขณะนั้นกลับไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรกับราษฎรเ่าั้ดี จึงถามแค่ว่าแถวนี้มีโรงเตี๊ยมหรือไม่ ซึ่งราษฎรที่นี่ก็มีน้ำใจยิ่ง รีบช่วยชี้ทางให้เขาอย่างไม่อิดออด
สิ่งนี้ทำให้ใจของม่อหลิงหานยิ่งซาบซึ้งกว่าเดิม เขาค้นพบว่าราษฎรที่นี่ยังคงมีน้ำใจและใสซื่อเช่นเดิม
รถม้ามาถึงโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ม่อหลิงหานลงจากรถม้า จากนั้นก็ช่วยประคองเยว่เฟิงเกอลงมา
คนที่เหลือเองก็ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ซึ่งในตอนนั้นเสี่ยวเอ้อกำลังเช็ดโต๊ะอยู่
อันที่จริงเมื่อครู่เสี่ยวเอ้อได้ยินเสียงคนด้านนอกะโโหวกเหวกว่าคนของราชสำนักมาแล้ว เขาจึงรีบวิ่งออกไปดู และได้เห็นรถม้าหรูหราที่มีคุณชายคนหนึ่งขี่ม้าตามหลังมา
เขารีบร้อนกลับมาเช็ดโต๊ะเก้าอี้ เพราะคิดว่าอีกเดี๋ยวแขกจะต้องมาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมอย่างแน่นอน
ในเมืองสือเยี่ยนนี้มีโรงเตี๊ยมของพวกเขาแห่งนี้แค่แห่งเดียว
เยว่เฟิงเกอลงจากรถม้ามา ยังไม่ทันได้ชื่นชมทิวทัศน์โดยรอบ ก็ถูกม่อหลิงหานจูงมือเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว
นางเห็นว่าโต๊ะเก้าอี้ด้านในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนทำขึ้นจากหินทั้งหมดจนอดแอบคิดในใจคนเดียวไม่ได้ว่า เตียงที่นี่คงไม่ได้ทำขึ้นจากหินด้วยหรอกนะ หากเป็เช่นนั้น ตอนนอนลงไปคงได้หนาวพิลึก?
เสี่ยวเอ้อเห็นว่าคณะเดินทางมาถึงกันแล้ว ก็รีบยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับ
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เองก็เดินออกมาจากหลังโต๊ะ ยิ้มแย้มต้อนรับ
“พวกท่านจะเข้าพักในโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่ขอรับ” เมื่อเถ้าแก่เห็นว่ามีคนถือเงินมาให้ถึงที่แล้ว ก็รีบแย้มยิ้มประสานมือคารวะไปยังม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานพยักหน้า การกระทำของเขาถือเป็การตอบรับอีกฝ่าย
เยว่เฟิงเกอรีบร้อนถามขึ้น “เถ้าแก่ โต๊ะเก้าอี้ในโรงเตี๊ยมท่านทำจากหินทั้งหมด คงไม่ใช่ว่าแม้แต่เตียงก็ทำขึ้นจากหินกระมัง? ”
เถ้าแก่ได้ยินเยว่เฟิงเกอถามเช่นนี้ก็ยิ้มตาหยี กล่าวตอบ “ฮูหยินโปรดวางใจ ถึงแม้เตียงของโรงเตี๊ยมเราจะทำขึ้นจากหิน แต่ก็ไม่ใช่หินธรรมดา เป็หินหมอกขาว [1] เชียวนะขอรับ”
“ยามที่นอนลงไปไม่เพียงไม่รู้สึกเย็นเฉียบ กลับกันมันจะให้ความรู้สึกอบอุ่นกำลังดีแทนน่ะขอรับ”
“หากพวกท่านคิดว่าร้อนเกินไปก็เพียงปูผ้าทับลงไปบนเตียงหินหมอกขาว เท่านี้ก็จะรู้สึกเย็นสบายขึ้นทันตาขอรับ”
เมื่อได้ยินเถ้าแก่พูดเช่นนี้ เยว่เฟิงเกอก็เริ่มรู้สึกคาดหวังต่อเตียงหินหลังนั้นแล้ว
ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเยว่เฟิงเกอ กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนู พวกเรากินข้าวกันก่อนเถิดเ้าค่ะ ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็หิวกันแล้ว”
เนื่องจากก่อนออกจากจวน เยว่เฟิงเกอได้กำชับพวกนางไว้แล้วว่าออกมาข้างนอกไม่ต้องเรียกนางว่าพระชายา แต่ให้เปลี่ยนไปเรียกเป็คุณหนูแทน
เช่นนี้จะได้เป็การปิดบังสถานะพระชายาของนาง
เช่นนี้ไม่ว่าจะทำเื่ใดก็ล้วนสะดวกสบาย
เยว่เฟิงเกอเองก็หิวเล็กน้อยเช่นกัน นางจึงนั่งลงบนเก้าอี้หิน กล่าวกับเสี้ยวเอ้อของร้านว่า “เสี่ยวเอ้อ ยกอาหารที่ดีที่สุดในร้านนี้ขึ้นโต๊ะแล้วเตรียมข้าวสวยมาหกถ้วย”
เสี่ยวเอ้อยิ้มแฉ่งรับคำสั่ง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
ทุกคนรวมถึงซ่างกวานม่อิต่างนั่งลงในโต๊ะเดียวกัน เพียงแต่สุดท้ายซ่างกวานม่อิกลับถูกสายตาของม่อหลิงหานขับไล่ไสส่งให้ไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง
เมื่อข้าวปลาอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะแล้ว หลังจากซ่างกวานม่อิลองนับดูแล้วก็พบว่ามีข้าวแค่หกถ้วย ขาดส่วนของเขาไป จึงเอ่ยขึ้นว่า “เยว่เฟิงเกอ เหตุใดไม่มีส่วนของข้า? ”
เยว่เฟิงเกอหรี่ตามองซ่างกวานม่อิไปทีหนึ่ง “เ้าอยากกินก็บอกเสี่ยวเอ้อเอาเองสิ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินเสียหน่อย”
ซ่างกวานม่อิลูบถุงเงินข้างเอว ตอนนี้เขามีแค่เศษเงินอยู่เล็กน้อย ไม่พอให้จับจ่ายใช้สอยด้วยซ้ำ จึงอดนึกเสียใจภายหลังไม่ได้ที่ตอนหนีออกจากบ้านไม่ได้พกของมีค่าหรือเงินทองมาเยอะๆ
ตอนนี้เป็อย่างไร แม้แต่เงินจะกินข้าวก็ยังไม่มี
ฉิงเอ๋อร์เห็นว่าซ่างกวานม่อิยากจนจึงอดสงสารยิ่งไม่ได้ นางดึงชายเสื้อเยว่เฟิงเกอ กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนู จะอย่างไรเขาก็ติดตามเรามาตลอดทางนะเ้าคะ ให้เขาได้มานั่งโต๊ะเดียวกันกับเราเถิดเ้าค่ะ”
ชิงจื่อเองก็เห็นว่าซ่างกวานม่อิน่าสงสาร คนขี่ม้าตามรถม้ามาตลอดทาง โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ
แม้บางครั้งซ่างกวานม่อิจะอยากเข้ามาสนทนากับเยว่เฟิงเกอบ้าง แต่ทุกครั้งล้วนถูกนางไล่ตะเพิด
ในฐานะสตรี แน่นอนว่าย่อมต้องมีความเห็นอกเห็นใจมากเป็ธรรมดา
ชิงจื่อกล่าวกับเยว่เฟิงเกอเสียงเบาว่า “คุณหนู ดูสิเ้าคะ เขาน่าสงสารนัก ให้เขามานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับเราเถิดเ้าค่ะ”
เยว่เฟิงเกอหรี่ตามองไปยังโต๊ะของซ่างกวานม่อิ เห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงเหม่อมองโต๊ะตรงหน้าด้วยใจที่ล่องลอยไปไกล
เยว่เฟิงเกอจึงหันศีรษะไปมองม่อหลิงหาน ก่อนจะได้ยินเขากล่าวว่า “ขอแค่เขาสงบปากสงบคำ ไม่พูดมากระหว่างกินข้าวก็สามารถมาร่วมโต๊ะกับเราได้”
เยว่เฟิงเกอพยักหน้า นับว่าเห็นด้วยที่จะให้ซ่างกวานม่อิมานั่งโต๊ะเดียวกัน
ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบเรียกซ่างกวานม่อิมานั่งด้วยกัน
ตอนนี้เองใบหน้าของซ่างกวานม่อิถึงได้ปรากฏรอยยิ้มออกมาก่อนจะหันบอกให้เสี่ยวเอ้อยกข้าวมาอีกถ้วยหนึ่ง
เยว่เฟิงเกอกอดจิ๋วปิ่งอยู่ตลอด และไม่ลืมที่จะคีบเนื้อปลาป้อนให้เขาในระหว่างที่กำลังกินข้าวของตนไปด้วย
จิ๋วปิ่งกินด้วยความพออกพอใจ ตอนนี้เขายิ่งชอบการได้อิงแอบอยู่บนร่างเยว่เฟิงเกอมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เขาราวกับมองเห็นเงาร่างของเ้านายซ้อนทับร่างของเยว่เฟิงเกอ
เมื่อก่อนเ้านายเขาก็ดูแลเขาเช่นนี้
ทางด้านซ่างกวานม่อิ เขาเองก็รู้ความยิ่ง ไม่พูดมากเช่นก่อนหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเยว่เฟิงเกอด้วยซ้ำ ยามนี้เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวของตน
ในที่สุดคนทั้งคณะก็กินข้าวเสร็จ เสี่ยวเอ้อถึงได้เริ่มแบ่งสันห้องนอนให้แต่ละคน โดยเยว่เฟิงเกอกับม่อหลิงหานถูกจัดให้นอนอยู่ห้องเดียวกัน ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์พักห้องเดียวกัน
เดิมจิ๋วปิ่งเองก็อยากพักอยู่ห้องเดียวกันกับเยว่เฟิงเกอ แต่กลับถูกม่อหลิงหานเตะออกไป
สุดท้ายจึงทำได้แค่ต้องไปขอเบียดที่ห้องของชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์
ส่วนเฉียวเฟยและถานอี้นั้นถูกจัดให้พักอยู่อีกห้องหนึ่ง และมีแค่ซ่างกวานม่อิที่พักอยู่คนเดียว
ทันทีที่เยว่เฟิงเกอเข้าไปในห้องก็รีบร้อนพุ่งไปดูเตียงนอนเป็อันดับแรก
นางเห็นว่าบนเตียงมีผ้าบางๆ ปูไว้ เพียงนั่งลงไปก็รับรู้ได้ถึงความเย็นสบาย
นางลองเอาผ้าปูเตียงออกตามที่เถ้าแก่เ้าของโรงเตี๊ยมบอก แล้วลูบไปที่เตียงหินหลังนั้นอีกครั้ง
ความเย็นสบายในคราแรกถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่น
“ว้าว เตียงหินนี้ไม่ธรรมดาเลย” เยว่เฟิงเกอเดี๋ยวก็ปูผ้ากลับไปเช่นเดิมแล้วเอนกายลงอย่างสบายใจ แต่สักพักก็ดีดตัวขึ้น เอาผ้าปูเตียงออกแล้วเอนกายลงไปใหม่ นางทำเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้งหลายครา
นางเล่นสนุกไม่หยุด ขณะที่ม่อหลิงหานได้แต่ยืนมองนางประเดี๋ยวเอนกายลงประเดี๋ยวยืนขึ้น
ทำไปทำมาเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง เยว่เฟิงเกอก็เหงื่อออกแล้ว
ในที่สุดนางก็เหนื่อยแล้ว ถึงได้กล่าวกับม่อหลิงหานว่า “ท่านอ๋อง คืนนี้ทรงนอนที่พื้นเถิดเพคะ หม่อมฉันอยากนอนบนเตียง หม่อมฉันชอบเตียงหลังนี้เหลือเกิน”
ม่อหลิงหานมุมปากกระตุก เขามองเตียงหินไปทีหนึ่งสลับกับมองเยว่เฟิงเกอ ก่อนจะอดกลั้นความคิดที่อยากจะผลักร่างนางให้เอนกายลงบนเตียง กล่าวกับนางว่า “ชายารักอยากให้เปิ่นหวางนอนพื้น? ”
เยว่เฟิงเกอมองพื้นที่ทำขึ้นจากหินเช่นกันพลางคาดเดาว่ามันคงจะหนาวเย็นไม่น้อย
ดังนั้น เมื่อเห็นว่าม่อหลิงหานไม่มีทีท่าจะยอมนอนบนพื้นง่ายๆ เยว่เฟิงเกอถึงได้ถอนใจ
นางลากผ้าห่มลงมาจากเตียงอย่างยอมรับชะตากรรม ปูมันลงบนพื้น
“ในเมื่อท่านอ๋องอยากนอนบนเตียง เช่นนั้นหม่อมฉันนอนบนพื้นก็ได้เพคะ” เยว่เฟิงเกอพูดพลางคิดจะเอนกายลง
ทว่า การกระทำนี้ของเยว่เฟิงเกอกลับทำให้ม่อหลิงหานโมโหจนแยกเขี้ยวยิ้ม เขาอุ้มเยว่เฟิงเกอขึ้นมาแล้ววางนางลงบนเตียงหินหมอกขาว
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หินหมอกขาว(白雾石)หินหมอกสีขาวที่เป็ผลมาจากการผุกร่อนและการแยกตัวของกรวดหยกที่ทับถมกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้