ความสูงของเจินจูไม่ถึงร้อยห้าสิบเิเ รูปร่างเอวบางน้ำหนักเบา
เสี่ยวจินร่างกายแข็งแรงกำยำ พานางขึ้นไปน่าจะสามารถบินร่อนไปได้กระมัง
เจินจูทวนคำของนางซ้ำหนึ่งรอบ เสี่ยวจินราวกับเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
นางวนไปข้างหลังของมัน ลองตบด้านหลังเบาๆ เห็นมันไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จึงลองกอดคอแล้วหมอบอยู่ด้านหลังของมัน
เสี่ยวจินหมุนตัวอย่างไม่คุ้นชิน มันไม่เคยแบกรับน้ำหนักแล้วบินเลย จึงรู้สึกไม่ชินอย่างมาก
“เสี่ยวจิน เ้าลองดู ว่าสามารถพาข้าไปถึงยอดเขาได้หรือไม่”
เจินจูชี้ไปที่ยอดเขา หากหล่นลงไปก็ไม่กลัว เพราะนางยังมีมิติช่องว่างอยู่
เสี่ยวจินเข้าใจความหมายของนาง มันกระพือปีกขึ้น น้ำหนักที่อยู่บนหลังทำให้มันปรับตัวไม่ได้อย่างมาก เลยบินไม่ขึ้นไปชั่วขณะ
“เสี่ยวจินเด็กดี ลองอีกที ช้าหน่อยไม่ต้องเครียด” เจินจูกล่าวอย่างอ่อนโยน
เสี่ยวจินตั้งหลักและวิ่งไปทางข้างหน้า ทันทีหลังจากนั้นสยายปีกสองข้างลองอีกครั้ง มันโคลงเคลงเล็กน้อยแต่บินขึ้นได้สำเร็จ
“ว้าว เสี่ยวจินสุดยอดมากเลย” เจินจูกอดลำคอที่ใหญ่และแข็งแรงของมันไว้แต่ไม่กล้าออกแรงมาก
“แว้ก” เสียงร้องมีความทะนงที่ไม่สามารถอธิบายได้ซ่อนอยู่
ยอดเขาห่างไปไม่ไกล ร่างเสี่ยวจินบินอย่างมั่นคง มุ่งตรงไปส่วนที่สูงที่สุด
เจินจูตื่นเต้นจนใจเต้นรัว สามารถบินร่อนได้อย่างอิสระท่ามกลางท้องนภา ช่างเป็ความปรารถนาของมนุษย์ตั้งเท่าไร แม้อาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบันที่มนุษย์มีเครื่องบิน บอลลูน และแม้กระทั่งยานอวกาศนานแล้ว แต่ขณะที่คนบินขึ้นและมีปีกสองข้างบินได้อย่างอิสระเหมือนของนก ช่างเป็เื่ที่น่าเหลือเชื่อมากจริงๆ
เสี่ยวจินบินได้ไม่สูง เพราะข้างหลังมีมนุษย์ที่น้ำหนักไม่เบาค่อมอยู่ มันเปลืองแรงนิดหน่อย
เจินจูมองลงไปข้างล่าง ต้นไม้เก่าแก่สูงตรงและทรงพลัง ป่าเขาสูงและชันยากแก่การเดินทาง ทั้งหมดสะท้อนเข้าสู่ม่านตา
อากาศแจ่มใสท้องฟ้าปลอดโปร่ง หมอกกระจัดกระจายและค่อยๆ หายไป กลุ่มูเาสูงสีเขียวดำยาวเหยียดติดต่อกันห่างออกไปไกลๆ ผืนป่ากว้างไกลสุดสายตามีทั้งสีเขียวอ่อนเขียวเข้ม
“เอ๋?” นางตาลายแล้วหรือ?
เมื่อครู่ระหว่างที่ราบูเาไม่กี่ลูก ราวกับมีหุบเขาเตี้ยหนึ่งผืน นางเหมือนเห็นกลุ่มสัตว์หลายฝูงไปชั่วขณะ
เสี่ยวจินวนไปเวียนมา ในที่สุดก็ร่อนลงอยู่บนหินตรงยอดเขา
หลังจากเจินจูลงมายืนที่พื้นอย่างระมัดระวังได้มั่นคงแล้ว จึงปล่อยมือที่โอบรอบลำคอของมันออก
“ว้าว” หยุดอยู่บนที่สูงมองไปรอบๆ กลุ่มเขายาวเหยียดไม่ขาดตอนต่อเนื่องกันไปเป็ระลอก ระยะห่างระหว่างท้องฟ้ากับผืนดินราวกับห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว
“เหมียว” เสี่ยวเฮยะโขึ้นมาทันทีทันใด หยุดอยู่ข้างขาของนาง
“จี๊ดๆ” ส่วนเสี่ยวฮุยหยุดอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยที่ไม่ไกลออกไป
ไอ๊หยา ช่างเป็เหล่าตัวร้ายกาจจริงๆ ความเร็วขึ้นเขาหนึ่งตัวดีกว่าอีกหนึ่งตัวนัก
ลมูเาเย็นสบายพัดเข้ามาปะทะใบหน้า พัดพาความร้อนที่อยู่เต็มทั่วร่างกายของเจินจูไป นางนั่งอยู่บนหินด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง ซึมซับทิวทัศน์ที่มาจากยอดเขาไม่เหมือนกัน
“จี๊ดๆ” บนยอดเขาเสียงร้องของหนูขนสีเทาดังชัดเจนเป็พิเศษ
มันกำลังร้องอยู่ด้านหน้าป่ารกขนาดย่อมหนึ่งผืนที่ไม่ไกลออกไป ตรงนั้นล้อมรอบไว้ด้วยพุ่มไม้เตี้ยและกำแพงหินรอบด้าน มองแล้วรูปทรงคล้ายถ้วยและในถ้วยนั้นก็เขียวชอุ่ม
“ในป่ามีอะไรหรือ?” เจินจูประหลาดใจ บนยอดเขาไร้เส้นทางให้เดินได้ นางจึงให้เสี่ยวจินพาเข้าไปอีกครั้ง
เสี่ยวจินมีประสบการณ์จากเมื่อครู่ ครั้งนี้ร่อนอยู่ในอากาศได้ราบรื่นมาก เวลาเพียงชั่วขณะลมหายใจก็หยุดอยู่ข้างเสี่ยวฮุย
เสี่ยวฮุยใจนสะดุ้งโหยง พุ่งตัวไปหลบอยู่หลังต้นไม้แห้งต้นหนึ่ง
“ฮ่าๆ หลบอะไรกัน เสี่ยวจินไม่ทำอะไรเ้าหรอก” เจินจูหยุดพัก หัวเราะแล้วดุขึ้นทันที “เสี่ยวฮุย เ้านำทางข้าขึ้นมาที่สูงเพียงนี้เพื่ออะไร? ข้าขึ้นมาไม่ง่ายเลยนะ เ้าห้ามเล่นตุกติกกับข้าล่ะ”
“จี๊ดๆ” เสี่ยวฮุยยังคงวิ่งต่อไปท่ามกลางแสงแดดในป่ารกร้าง และไม่นานก็หยุดอยู่บริเวณที่ราบรกไปด้วยวัชพืชแห่งหนึ่ง
เจินจูหยิบกิ่งไม้แห้งหนึ่งท่อนขึ้นมา ปัดไปสองข้างทางแบบสุ่มๆ แล้วถึงเดินไปทางเสี่ยวฮุย
“นี่คืออะไร?” นางนั่งยองลงบนพื้น มองพืชข้างตัวเสี่ยวฮุย รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย
“…บ้าจริง นี่เป็โสมคนใช่ไหม”
เจินจูนึกถึงใบโสมคนที่ขุดครั้งก่อนขึ้นมาได้ ราวกับจะมีหน้าตาเช่นนี้ แต่ใบโสมคนตอนนั้นทั้งน้อยและเล็ก ส่วนใบของต้นนี้งอกงามเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวายิ่งนัก
แต่ไม่ใช่แค่หนึ่งต้น เจินจูเบิกสองตากว้าง
“หนึ่ง สอง สาม สี่…” นางยื่นนิ้วมือออกไป จ้องแล้วนับบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด “…แปด เก้า เก้าต้น! มีโสมคนเก้าต้นเลยหรือนี่!”
ว้าว... ร่ำรวยแล้ว!
เจินจูอยากแหงนหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
หนูขนสีเทาพุ่งไปข้างหลังบริเวณย่อมหญ้ารกแล้วร้องเรียก
นางเลี่ยงโสมคนอย่างระมัดระวังและเดินเข้าไป
“ยังมีอีกหรือนี่!” เจินจูตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…” ทางนี้ห้าต้น เช่นนั้นทั้งหมดก็มีโสมคนสิบสี่ต้น นี่นางเข้ามาในพื้นที่ขยายพันธุ์โสมคนแล้วใช่หรือไม่
เสี่ยวฮุยก้าวไปยืนข้างหน้า ลูกตาดำแป๋วมองนางด้วยความใสซื่อ ครั้งก่อนที่นางกับเสี่ยวเฮยขุดโสมคน เสี่ยวฮุยจำได้ เพราะเป็เช่นนี้ทันทีที่ค้นพบพื้นที่โสมคนผืนนี้บนูเา มันจึงรีบไปขอรับความดีความชอบจากนางอย่างอดทนรอไม่ได้
“เสี่ยวฮุย ไม่เลว บันทึกหนึ่งผลงานของเ้าไว้”
เจินจูลูบหัวเล็กๆ ของมัน แล้วล้วงก้านผักกวางตุ้งหนึ่งก้านจากมิติช่องว่างยื่นไปให้มัน
เสี่ยวฮุยรับไปอย่างเบิกบานใจ แล้วแทะขึ้นอย่างเอร็ดอร่อย
“เหมียว” เสียงร้องคับแค้นใจดังขึ้น
“นี่ มีส่วนของเ้าด้วย” เจินจูล้วงหนึ่งก้านออกมาโดยไม่รอช้า แต่ละตัวล้วนเป็บรรพบุรุษตัวน้อย [1] ทำให้ไม่พอใจไม่ได้
ดีที่ว่าเสี่ยวจินเดินเล่นอยู่ข้างนอกป่ารกร้าง ไม่ได้เข้ามาด้วย
เจินจูหยัดกายยืนขึ้นแล้วลูบคาง จะขุดโสมคนเหล่านี้ตอนนี้เลยหรือ? ขณะนี้ที่บ้านไม่ได้ขาดแคลนเงินอยู่ชั่วคราว
สภาพการเติบโตของโสมคนที่นี่มีชีวิตชีวานัก ดูแล้วสภาพแวดล้อมการเจริญเติบโตเหมาะกับโสมคน จึงตัดสินใจยังไม่ขุดดีกว่า เวลาที่้าค่อยมาขุดแล้วกัน อย่างไรเสียูเาสูงที่นี้ก็เดินทางลำบาก หลายปีมานี้ล้วนไม่มีคนค้นพบ
ในใจเจินจูคิดคล้อยตาม นั่งยองลงบนพื้นแล้วยื่นนิ้วมือไปที่รากของโสมคนที่ใกล้ที่สุดต้นหนึ่ง
มีน้ำเล็กน้อยไหลรินออกมาจากระหว่างนิ้ว ไหลลงในดินที่อุดมสมบูรณ์ซึมไปตามส่วนรากของโสมคน
ทันทีที่นางเคลื่อนไหว เสี่ยวเฮยก็พุ่งเข้ามาประท้วง “หง่าว”
“กลับไปจะทำของอร่อยให้เ้า เ้าอย่าเพิ่งกวน”
เจินจูย้ายมันออกไป รดน้ำลงไปที่โสมคนอีกหนึ่งต้น
น้ำแร่จิติญญาจากมิติช่องว่างมีประสิทธิภาพกระตุ้นการเจริญเติบโต คาดว่ารดน้ำไม่กี่ครั้ง อายุปีน่าจะสามารถเพิ่มขึ้นได้
เจินจูไม่แน่ใจว่าถ้าขุดโสมคนออกมา จะสามารถย้ายมาปลูกในมิติช่องว่างได้หรือไม่ จึงรดน้ำแร่จิติญญาไปก่อนเสียเลย
หลังวนรดน้ำหนึ่งรอบ นางก็ขุดโสมคนหนึ่งต้นสุดท้ายที่ไม่ได้รดน้ำออกมาด้วยความระมัดระวัง
ขนาดสองนิ้วมือ เล็กกว่าที่ขุดได้ครั้งก่อนเล็กน้อย
เจินจูปรากฏเข้าไปในมิติช่องว่าง ปลูกมันไว้ตรงมุมหนึ่งในที่นา หลังรดน้ำด้วยน้ำแร่จิติญญาแล้วจึงออกมาจากมิติช่องว่าง
เมื่อร่างของเจินจูปรากฏออกมา หนึ่งแมวหนึ่งหนูร้องขึ้นพร้อมกัน
ราวกับการหายไปอย่างกะทันหันของนางทำให้พวกมันตื่นใเข้า
ปลอบหนึ่งแมวหนึ่งหนูแล้ว เจินจูจึงนำทางพวกมันออกมาจากป่ารกร้าง
เสี่ยวจินบินวนเวียนอยู่บนอากาศ พอเจินจูกวักมือมันก็ร่อนลงมาด้วยความเร็วสูง
เจินจูหันมองไปทางกลุ่มเขาที่ไกลออกไป เมื่อสักครู่นางน่าจะเห็นไม่ผิด หลังเขาสองสามลูกนั้นเป็หุบเขาใหญ่แห่งหนึ่ง ในหุบเขามีสัตว์กินพืชอยู่หลายฝูง เหมือนเป็กวางป่ากับแพะูเาป่า
“เสี่ยวจิน ในหุบเขาทางนั้น มีสัตว์มากมายใช่หรือไม่ เหมือนแพะูเากับกวางเหมยฮวา [2] พวกนั้น” เจินจูชี้ไปทางหุบเขา ทำมือวาดความสูงของสัตว์ แล้วทำท่าทางวิ่งอย่างสุดกำลัง
“แว้ก” เสี่ยวจินตอบรับหนึ่งที สัตว์ในหุบเขาล้วนเป็แหล่งอาหารของมัน มันย่อมรู้อย่างแน่นอน
เจินจูฟังความหมายของมันออก อดมองตาโตไม่ได้ เป็เนื้อกวางกับเนื้อแพะที่เกิดในป่าเลยนะ สุรุ่ยสุร่ายจริงๆ “เ้ากินแพะหรือกวางทั้งตัวหมดเลยหรือ?”
นางประหลาดใจ แม้รูปร่างของนกอินทรีทองจะโตไม่น้อย แต่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะกินแพะทั้งตัวได้กระมัง
“แว้ก” มันแค่กินส่วนที่มันชอบกินเท่านั้น
“…” สุรุ่ยสุร่ายจริงๆ
เจินจูมองไปทางหุบเขา หากให้เสี่ยวจินพานางไป นางจะสามารถจับแพะูเาหรือกวางป่าที่วิ่งหนีอย่างรวดเร็วไว้ได้หรือไม่นะ?
ชัดเจนมาก... ทำไม่ได้สิ
นางลู่ไหล่สองข้างลงพร้อมกับถอนหายใจหนึ่งที อาหารจำพวกเนื้อเต็มูเาและหุบเขา ได้แต่มองไม่อาจเข้าใกล้ [3]
อาจเป็เพราะสายตาของนางมองอย่างร้อนแรงไปทางหุบเขา สองตาเฉียบคมของเสี่ยวจินจ้องเจินจูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็วิ่งส่งแรงบินพุ่งขึ้นไปในอากาศ ไม่ถึงชั่วพริบตาก็หายเข้าไปกลางกลุ่มูเา
“อ้าว ทำไมมันบินไปแล้ว?”
พอไม่ทันมอง พาหนะลงเขาของนางก็บินจากไปแล้ว เจินจูงุนงงและตะลึงงัน
เป็เช่นนี้แล้วนางจะลงเขาอย่างไร?
เจินจูหันกลับไปมองเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยข้างหลัง เ้าสองตัวนี้กำลังกอบก้านผักครึ่งก้านแทะอย่างเอร็ดอร่อย
“…”
ลมูเาเย็นสบายพัดมาเอื่อยๆ เจินจูยืนอยู่บนยอดเขาสูงเฝ้ามองไปทางที่เสี่ยวจินบินหายไป
อีกเดี๋ยว... มันคงกลับมากระมัง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เงาร่างของเสี่ยวจินก็ปรากฏออกมาสู่สายตาเฝ้ารอของเจินจูจากที่ไกลๆ
ในขณะที่ปรากฏออกมายังมีเหยื่ออยู่ในกรงเล็บแหลมคมของมันด้วย
กวางคอหักห้อยลงหนึ่งตัว
ร่างของเสี่ยวจินสั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากวางป่าวัยรุ่นๆ หนึ่งตัวน้ำหนักไม่เบา
“ตุบ” เสียงกวางล่วงลงตรงที่ไม่ไกลจากเจินจู
เจินจูอ้าปากค้างมองเสี่ยวจินที่ร่อนลงมาอยู่ข้างกายนาง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
...กว่านางจะกลับมาถึงบ้านก็เลยเวลาอาหารกลางวันไปแล้ว
หลี่ซื่อดุนางด้วยความไม่พอใจอยู่สองสามประโยค แล้วให้นางรีบทานอาหารกลางวัน
เจินจูยิ้มรับคำแล้วจึงวิ่งไปหลังบ้าน นางให้เสี่ยวจินทิ้งกวางไว้หลังบ้าน ตอนนี้ต้องไปดูสักหน่อย
ข้างห้องครัว หลัวจิ่งกับเสี่ยวจินกำลังจ้องมองกัน
หลัวจิ่งได้ยินการเคลื่อนไหวหลังบ้านจึงออกมาสำรวจดู ถูกกวางป่าที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นทำให้ใ เขาคิดจะเข้าไปใกล้ดูให้ละเอียด แต่เสี่ยวจินบินลงมาจากท้องฟ้า ร่อนลงมาอยู่ข้างกวางป่าแล้วจ้องมองเขา
สายตาคมกริบนั่นแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเหยื่อนี่เป็ของมันเอง ผู้ใดก็ล้วนห้ามแตะต้อง
เงากายของเจินจูปรากฏออกมาอย่างกระฉับกระเฉง หนึ่งคนหนึ่งนกอินทรีมองไปโดยพร้อมเพรียง
“เสี่ยวจิน ความเร็วของเ้าเร็วจริงๆ ข้ายังไม่ถึงบ้าน เ้าก็เอากวางมาส่งให้แล้ว ใช้ได้จริงๆ” เจินจูชื่นชมโดยไม่ลังเล
“แว้ก” มันเชิดหัวขึ้นอย่างลำพองใจ
“เ้าพักสักหน่อย รอเดี๋ยวข้าจะเพิ่มอาหารให้เ้า” เจินจูตบปีกของมันเบาๆ
“…เ้าขึ้นเขามา?” หลัวจิ่งมองเศษโคลนบนชายกระโปรงและผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยของนาง แล้วถามด้วยเสียงกลัดกลุ้ม
“อื้ม ใช่แล้ว ข้ากับเสี่ยวเฮย แล้วยังมีเสี่ยวจินกับเสี่ยวฮุยด้วย ไปที่หลังเขามารอบหนึ่ง เจินจูนั่งยองลงบนพื้น กวางตัวนี้น่าจะประมาณหนึ่งร้อยชั่งต้นๆ เขากวางแข็งแรงใหญ่โตและแหลมคม น่าจะเป็กวางตัวผู้ที่โตเต็มวัย
คิ้วยาวเอียงของหลัวจิ่งขมวดขึ้น นางมักชอบเข้าไปในูเาด้วยตัวเองตามอำเภอใจ ราวกับไม่สนอันตรายที่ซ่อนอยู่บนูเาเลยสักนิดเดียว
“เสี่ยวฮุยคืออะไร?” เขาถาม
“…เอ่อ เป็หนูตัวอ้วนหนึ่งตัว” นางตอบตามความจริง
“หนู?!” หลัวจิ่งตื่นตระหนก เด็กสาวผู้นี้รับเลี้ยงหนูมาอีกหนึ่งตัวเมื่อไรกัน? เด็กผู้หญิงไม่ใช่ว่าล้วนรังเกียจพวกงูแมลงและหนูกันทั้งหมดหรือ? ทำไมพอเป็นางผู้นี้ ทั้งหมดล้วนกลับตาลปัตรไปหมดได้
“อื้ม เป็แค่หนูขนสีเทาใสซื่อหนึ่งตัว น่ารักมากๆ” เจินจูยิ้ม
หนูน่ารัก? หลัวจิ่งมุมปากกระตุก เกรงว่ามีเพียงนางที่คิดเช่นนี้กระมัง
“เจินจู” หน้าบ้านมีเสียงเรียกหาอย่างคุ้นเคยแว่วมา
หวังซื่อมาแล้ว...
เชิงอรรถ
[1] บรรพบุรุษตัวน้อย คล้ายคลึงกับภาษาไทยว่า พ่อทูนหัว
[2] กวางเหมยฮวา (梅花鹿) คือ กวางซีกา
[3] ได้แต่มองไม่อาจเข้าใกล้ หมายถึง ไกลเกินเอื้อม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้