ใจของอวิ๋นโส่วจงพลันปั่นป่วน หลงจู๊ซุนไม่ได้แนะนำที่มาที่ไปของทั้งสี่คนโดยละเอียด บอกเพียงว่าเป็ขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ที่ลาออกจากกรมโยธา
ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าเป็ขุนนางขั้นแปดหรือเก้า ไม่คิดเลยว่าจะเป็ขุนนางขั้นหก แถมยังเป็ปรมาจารย์ในด้านงานช่างอีกด้วย ขุนนางขั้นหก จะเรียกว่าขุนนางเล็กๆ ได้อย่างไร?
นายอำเภอยังเป็แค่ขุนนางขั้นเจ็ดเลย นายอำเภอของอำเภอจิ่วจิ้นของพวกเขายังเป็ขุนนางขั้นเจ็ดรองอยู่เลย แต่ผู้ที่้ารับฉี่ซานเป็ศิษย์คือท่านอาจารย์ตั่ง เช่นนั้นท่านอาจารย์หม่าที่เขาเรียกว่าตานชิง หากเขาเดาไม่ผิด...
หม่าจื้อหลิน ชื่อรองตานชิง สอบจื้อซื่อได้ในรัชศกหงอู่ปีที่สิบแห่งราชวงศ์ต้าเยี่ย ดำรงตำแหน่งขุนนางกรมโยธา เป็สหายสนิทกับอาจารย์ตั่ง ทั้งสองคนต่างก็อยู่ในตำแหน่งนี้มาตลอดชีวิต
เบื้องหน้าดูเหมือนว่าเป็อวิ๋นเหนียงที่แนะนำมา แต่เขารู้ดีว่าผู้อยู่เื้ัคือฉู่อี้ ฉู่อี้ผู้นั้น... เขาเป็ใครกันแน่?
“พี่รอง เหตุใดท่านยังยืนนิ่งอยู่อีก? รีบคุกเข่าคารวะอาจารย์เร็วเข้า!” ขณะที่อวิ๋นโส่วจงกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงของอวิ๋นเจียวดังขึ้น
อวิ๋นฉี่ซานได้สติ รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก้มคำนับท่านอาจารย์ตั่งสามครั้งเสียงดังสนั่น การกระทำของเขาทำให้อาจารย์ทั้งสองพอใจเป็อย่างยิ่ง
อาจารย์ทั้งสองมองอวิ๋นฉี่ซานด้วยสายตาชื่นชม ท่านอาจารย์สีเอ่ยขึ้น “เด็กคนนี้มีพร์จริงๆ ในเมื่อเ้าเป็ศิษย์ของอาจารย์ตั่งแล้ว เช่นนั้นข้าผู้เฒ่าคนนี้ก็จะถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดให้เ้าด้วย”
ท่านอาจารย์ชิวเสริม “อย่างไรเสียเราก็ต้องมาทำงานที่บ้านพวกเ้า ่นี้เ้าหนุ่มน้อยก็คอยตามพวกเรามา จะเรียนรู้ได้กี่มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพ่อหนุ่มเองแล้ว!” อวิ๋นฉี่ซานดีใจเป็อย่างมาก รีบคำนับขอบคุณอาจารย์ทุกท่าน
ผู้เฒ่าเฉียวมองดูอยู่ด้านข้าง ในใจรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลม ไม่เพียงเท่านั้น ยังมักจะคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ จากสิ่งที่เขาสอนได้อีกด้วย
เขารู้ว่าที่บ้านของอวิ๋นโส่วจงมีช่างที่มากฝีมือมาช่วยสร้างบ้าน แต่ไม่คิดเลยว่าอวิ๋นโส่วจงจะมีเส้นสายกว้างขวางขนาดนี้ แม้แต่บัณฑิตจื้อซื่อในสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน และขุนนางาุโที่เกษียณจากกรมโยธาก็มาช่วยสร้างบ้านให้เขาหรือ?
หลังจากที่รู้ฐานะของอาจารย์ตั่ง ผู้เฒ่าเฉียวก็รู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ตอนที่อวิ๋นฉี่ซานคุกเข่าลง เขาก็เกือบจะคุกเข่าตามแล้ว
หลังจากดูที่ดินเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นโส่วจงชวนเขามากินข้าวที่บ้าน ผู้เฒ่าเฉียวรีบปฏิเสธ เขารู้ฐานะของตนเองดี แม้ว่าอวิ๋นโส่วจงจะให้เกียรติเขา แต่เขาก็ไม่ควรทำตัวไม่รู้กาลเทศะ
หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉียวขอตัวกลับ เขาก็รีบตรงดิ่งกลับบ้าน ใช้เวลานานกว่าจะตั้งสติได้ ส่วนทางด้านอวิ๋นโส่วจง หลังจากพาอาจารย์ทั้งสี่คนกลับมาถึงบ้าน ฟางซื่อก็เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะแล้ว อาหารส่วนใหญ่ปรุงจากเนื้อกวาง ทำให้อาจารย์ทั้งสี่คนกินอย่างเอร็ดอร่อยจนเบิกบานใจเป็อย่างยิ่ง
“ในเมื่อพวกท่านมีแบบร่างคร่าวๆ สองวันนี้พวกเราก็จะปรับปรุงแบบร่างให้สมบูรณ์ จากนั้นก็หาคนมาปรับพื้นที่เพื่อวางฐานได้ นอกจากนี้วัสดุต่างๆ ก็ควรเตรียมให้พร้อมด้วย” เมื่อบรรยากาศผ่อนคลาย อาจารย์หม่าก็เอ่ยขึ้น
อาจารย์ตั่งเสริม “ถูกต้อง ต้องรีบเตรียมให้พร้อม เตรียมคนงานให้เพียงพอ รีบสร้างบ้านให้เสร็จก่อนฤดูหนาวจะมาถึง หากสามารถเข้าไปอยู่ได้ก็ยิ่งดี”
เดิมทีหากมีคนงานเพียงพอ และไม่ขาดแคลนเงินทอง การสร้างบ้านชาวนาบนที่ดินขนาดสิบหมู่ ใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองเดือนก็เสร็จแล้ว แต่บ้านของตระกูลอวิ๋นมีสิ่งแปลกใหม่อยู่มากมาย การสร้างสิ่งเหล่านี้ออกมาต้องใช้เวลา และความพยายามอย่างมาก
อวิ๋นโส่วจงพยักหน้า “แน่นอน แต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจเื่พวกนี้ ต้องใช้วัสดุอะไรบ้าง ต้องใช้คนงานกี่คน รบกวนอาจารย์ทั้งสองช่วยเขียนรายการออกมาให้ข้า เพื่อที่ข้าจะได้เตรียมการได้ถูกต้องด้วยขอรับ”
อาจารย์สีเอ่ยขึ้น “เื่คนงานท่านไม่ต้องกังวล ตาเฒ่าอย่างพวกเราสองคนจะช่วยท่านจัดการ ท่านแค่จ่ายค่าแรงก็พอแล้ว!”
อาจารย์ชิวเสริม “ถูกต้อง เื่คนงานท่านวางใจเถิด คนที่จะทำให้ตาเฒ่าอย่างพวกเราสองคนพอใจได้นั้นมีไม่มากนัก”
หลงจู๊ซุนกำชับพวกเขาเป็การส่วนตัวว่า ให้ใส่ใจกับการสร้างบ้านของตระกูลอวิ๋นอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงที่จะช่วยจัดการ เพียงเพราะเห็นแก่หน้าซื่อจื่อ แต่ตอนนี้พวกเขาเต็มใจทำด้วยความจริงใจแล้ว
อวิ๋นโส่วจง และคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง เขารีบยกจอกสุราขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ
อวิ๋นเจียวดีใจกับอวิ๋นฉี่ซานจากใจจริง การที่เขาได้กราบขุนนางกรมโยธาเป็อาจารย์ นับเป็เื่ดีอย่างยิ่ง และเป็โอกาสอันดีของเขา
ตัวนางเองก็ดีใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าสิ่งที่ตนเองเสนอไป อวิ๋นฉี่ซานคงทำคนเดียวไม่ได้ แต่ตอนนี้มีอาจารย์หลายคนคอยให้การช่วยเหลือดูแล อวิ๋นเจียวจึงมั่นใจว่าสิ่งเ่าั้สามารถทำได้จริง
พอคิดว่าก่อนฤดูหนาวจะมาถึง นางอาจจะได้อาบน้ำฝักบัว ใช้โถส้วมแบบชักโครก และเครื่องทำความร้อน... ในใจก็รู้สึกคันยุบยิบด้วยความตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ อาจารย์ทั้งสี่คนก็รีบขอตัวกลับไปเตรียมตัว ก่อนจากไป อาจารย์ตั่งเสนออย่างไม่เกรงใจว่า หากสามารถซื้อที่ดินรอบๆ เพิ่มเติมได้ก็ยิ่งดี มิเช่นนั้นหากมีที่ดินเพียงสิบหมู่ พวกเขาก็จะมีพื้นที่น้อยเกินไป ไม่สะดวกในการก่อสร้าง
สุดท้ายอาจารย์หม่าก็พูดเสริมอย่างไม่เกรงใจเช่นกันว่า ในอนาคตเขาอาจจะพาครอบครัวมาพักอาศัย ควรสร้างบ้านให้ใหญ่กว่านี้สักหน่อย
ตอนนี้อวิ๋นเจียวถึงได้เข้าใจว่า เหตุใดสองคนนี้ถึงอยู่ในตำแหน่งขุนนางกรมโยธามาตลอดชีวิต ไม่เคยได้เลื่อนขั้นไปไหน พวกเขาเพิ่งพบกันครั้งแรก แถมยังไม่รู้ฐานะทางการเงินของตระกูลอวิ๋น แต่กลับเสนออย่างไม่คิดหน้าคิดหลังว่าให้สร้างบ้านหลังใหญ่ขึ้น โดยไม่สนใจความรู้สึกและสถานการณ์ของเ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนนิสัยเหมือนกัน ตรงไปตรงมา ไม่รู้จักพูดจาอย่างแยบคาย คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไร้เล่ห์เหลี่ยมแอบแฝง อิสรเสรีอย่างแท้จริง แต่ยิ่งเป็เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็อวิ๋นโส่วจงหรืออวิ๋นเจียวก็ยิ่งวางใจมากขึ้น
ฉู่อี้ช่วยหาคนตรงไปตรงมาสองคนนี้มาช่วยพวกเขา ก็แสดงว่าเขาไม่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง น่าจะเพียงตอบแทนที่ช่วยชีวิตเขาเท่านั้น อีกอย่าง เขาเป็เ้าของร้านฝูหรงเซวียน แล้วยัง้าทำการค้าระยะยาวกับครอบครัวของนาง การที่เขาแสดงความจริงใจเช่นนี้ก็ไม่ใช่เื่แปลก
“พ่อฉี่ซาน รีบไปเช่าบ้านสักหลังเถอะ พรุ่งนี้ตาแก่สี่คนอย่างพวกเรา จะขนเสื้อผ้ามาอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว!” หลังจากส่งทั้งสี่คนขึ้นรถม้า อาจารย์ตั่งก็หันมากำชับอีกครั้ง
อวิ๋นเจียวคิดว่า เหตุใดอาจารย์ทั้งสี่คนถึงดูร้อนรนกว่าครอบครัวของนางอีกนะ? แต่การที่พวกเขาจะมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าอวิ๋นโส่วจงยินดีเป็อย่างยิ่ง จึงรีบตกลง
หลังจากกลับเข้ามาในห้อง อวิ๋นโส่วจงกำลังจะพูดว่า หากเป็เช่นนี้เงินของครอบครัวอาจจะไม่พอ ฟางซื่อก็ยื่นตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงให้เขา
“ลูกสาวท่านหาเงินมาได้!” หลังจากที่อวิ๋นโส่วจงรับตั๋วเงินไปแล้ว ฟางซื่อก็เล่าเื่ที่นางไปทำการค้ากับอวิ๋นเหนียงใน่เช้าให้ฟังคร่าวๆ
อวิ๋นโส่วจงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเจียว เขารู้สึกจนปัญญาที่จะสรรหาคำอะไรมาพูดกับบุตรสาวที่โชคดีจนเรียกได้ว่าฝืนโชคชะตาคนนี้แล้วจริงๆ
ลูกสาว เ้าหาเงินเก่งขนาดนี้ พ่อรู้สึกกดดันยิ่งนัก! นี่ลูกสาวจริงๆ หรือ? นี่เป็เทพเ้าแห่งโชคลาภชัดๆ!
เมื่อเห็นเช่นนั้น อวิ๋นเจียวก็รีบะโเข้าไปออดอ้อนในอ้อมอกของอวิ๋นโส่วจง “ท่านพ่อ ข้าแค่ลองเสนอราคาไปแบบส่งๆ ใครจะไปรู้ว่าหลงจู๊ซุนจะไม่ต่อราคา แถมยังให้เงินเพิ่มอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อวิ๋นโส่วจงก็ได้สติ โอบกอดอวิ๋นเจียวพลางเอ่ยว่า “เด็กโง่ นั่นเป็เพราะของที่เ้าขายให้นางมีค่ามากถึงเพียงนั้นไงเล่า!”