เอาเถอะ ในเมื่อขึ้นหลังเสือแล้ว เช่นนั้นก็หาทางรับมือไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน เยวี่ยเจาหรานแอบให้กำลังใจตนเอง พลางถอนหายใจยาว ยากที่จะจินตนาการว่าชีวิตในอนาคตของตนจะเป็ไปเช่นไร
เมื่อเห็นที่ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววงไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็รู้ได้ว่าคืนนี้คงไม่ได้นอนเป็แน่ คงต้องสู้กันโต้รุ่ง ไม่เห็นอาทิตย์ขึ้นไม่เลิกรา
เยวี่ยเจาหรานในมือถือหนังสือปกปิดความไม่ยินยอมพร้อมใจในตอนนี้เอาไว้ แล้วลุกขึ้นยืน ยกมือเคาะเบาๆ ที่หัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทีหนึ่ง “มาเถอะ เราไปท่องที่ห้องหนังสือกัน” ท่ามกลางน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ ของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ว่านอนสอนง่ายราวกับลูกกระต่ายน้อย นางพยักหน้าเบาๆ แล้ววิ่งตามเขาไปที่ห้องหนังสือต้อยๆ
“บรรดาตำราพิชัยศึก หามีเทียบซุนอู่ไม่ [1] หากสามารถทำให้มหาจักรพรรดิหลี่ถังแห่งยุครุ่งเรือง [2] ตรัสชื่นชมเช่นนี้ออกมาได้ นั่นก็สามารถทำให้เข้าใจถึงความวิเศษยอดเยี่ยมของตำราพิชัยาซุนจื่อนี้ได้แล้ว” เยวี่ยเจาหรานพลิกม้วนหนังสือไปหน้าที่หนึ่ง อดถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ เขากลัวว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินแล้วจะหลั่งน้ำตาด้วยความปวดใจอีกครั้ง จึงรีบเอ่ยประโยคข้างต้นเสริมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินคำพูดนั้น กลับรู้สึกสับสนงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย ในมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถือพู่กันขนหมาป่าปลายเล็กด้ามหนึ่ง จรดลงบนกระดาษเซวียนจื่อเนื้อดิบ [3] สีขาวสะอาดซ้ายทีขวาที แล้วจึงพูดขึ้น “หามีเทียบซุนอู่ไม่? ย่อมต้องไม่มีอยู่แล้วสิ ไม่ใช่ว่าเขาล่วงลับไปแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นดวงตากลมโตที่จ้องมองมายังตนตาปริบๆ อย่างจริงจัง เยวี่ยเจาหรานถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์อวี้จึงทั้งด่าทั้งตีนางอย่างไม่ยั้งมือ นี่มันปัญญาทึบเกินสอนสั่งจริงๆ
แต่ถึงอย่างไรตนก็ขึ้นชื่อว่าเป็คนนิสัยดี จะทำหยาบคายกับแม่นางน้อยคนหนึ่งได้อย่างไร? เยวี่ยเจาหรานยกมือััที่ดวงตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว พลางพยักหน้ายิ้ม “เ้าพูดถูกแล้ว”
“แม้ว่าซุนอู่จะมีความสามารถสูงส่งในสมัยนั้น ทว่า์ไม่ได้ยืดอายุขัยให้ เมื่ออายุเจ็ดสิบกว่าปีก็จากไป” พูดเช่นนั้นจบ เยวี่ยเจาหรานเองก็ยังรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ อยู่มาตั้งเจ็ดสิบกว่าปีแล้วยังจะบอกว่า์ยืดอายุขัยให้ เป็์ลำเอียงอีก?! ช่างโลภมากจนน่าหัวเราะเสียจริงๆ
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเหมือนจะสังเกตถึงความผิดปกติได้บ้าง นางเอียงหัวคิดจะถามให้ชัดเจน ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ย กลับถูกเยวี่ยเจาหรานขัดจังหวะเสียก่อน “พูดผิดไป เขาลงจากเขาั้แ่ยังไม่ถึงอายุห้าสิบปี และไม่ได้เขียนตำรายุทธศาสตร์าอีก จะว่าไปแล้ว ก็นับได้ว่าเป็ความน่าเสียดายครั้งใหญ่ของการทหารเลยทีเดียว...”
เยวี่ยเจาหรานที่ฝืนวกคำพูดกลับมารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เอาเถอะๆ ท้องฟ้ามืดแล้ว ไม่มีเวลามาสงสัยว่าซุนอู่เกิดตายเมื่อใด มาๆ ข้าจะสอนเ้าอ่านบทประพันธ์ให้เข้าใจก่อนค่อยว่ากัน”
แท้จริงแล้วในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังคงมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรในใจของนาง นักปราชญ์ด้านการทหารผู้นี้ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเคยต่อสู้ในสนามรบ เมื่อเข้าสู่สนามรบ ดาบนั้นไม่มีตา ใครจะรู้ว่าดาบที่จ่ออยู่บนคอจะบั่นหัวของตนส่งิญญากลับปรโลกเมื่อใด? ในาที่ดาบฟาดฟันอย่างไร้ปรานีนั้น สามารถมีชีวิตอยู่ถึงห้าหกสิบปีก็ถือว่าเคราะห์ดีแล้ว อย่างเหล่าชายหนุ่มขุนพลยอดนักรบผู้เลื่องชื่อในสมัยฮั่นนั้น อายุยี่สิบกว่าๆ ก็นั่งกระเรียนไป์ [4] กันแล้ว!
ทว่าคำถามนี้ยังไม่ทันได้เอ่ยออกไปก็ถูก ‘ท่านอาจารย์เยวี่ย’ ขัดจังหวะเสียก่อน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทอดมองแสงจันทร์ด้านนอกก็รู้ว่าเวลาผ่านไปมากแล้ว จึงได้แต่ระงับความสงสัยของตนเอาไว้ แล้วก้มหน้าทุ่มเทกับตำรา ตั้งใจเล่าเรียนอย่างสุดชีวิต
“อันว่าการทหาร เป็เื่ใหญ่ของชาติ คือจุดเป็จุดตาย คือหนทางดับรอด ต้องใคร่ครวญถี่ถ้วน”
เยวี่ยเจาหรานไม่ได้ปลอมเสียงอีกต่อไป ไม่ได้พูดเสียงอ่อนหวานหรือทำเสียงเล็กเสียงน้อยอีกแล้ว ตรงกันข้ามเขากลับคืนสู่น้ำเสียงเดิมของตน เมื่อเข้าไปในหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังเซื่องซึม มันกลับน่าฟังเป็พิเศษอย่างคาดไม่ถึง แต่ยิ่งเสียงนั้นไพเราะมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เปลือกตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหนักอึ้งจนแทบจะประกบกัน เกือบหลับไปเสียแล้ว
“เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว!”
อาจเป็เพราะเขาไม่ได้รับคำตอบนานเกินไป เยวี่ยเจาหรานจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบไม้บรรทัด แล้วเคาะที่หัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบาๆ สองสามทีเพื่อปลุกให้นางตื่น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบิกตาแล้วเอ่ยขึ้นมาคนละทิศละทางอย่างไม่รู้ตัว “แว่วเสียงกวางอึงมี่ เคี้ยวหญ้าในพงพี...”
เยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กลับกันเขาหยุดการเคลื่อนไหวในมือ พลางใช้นิ้วมือสวยเรียวยาวชี้ไปยังจุดที่ตนเพิ่งอ่านไปเมื่อครู่ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดู “ที่เ้าท่องมานั่นคือคัมภีร์กวี [5] ที่พวกเรากำลังเรียนอยู่คือยุทธศาสตร์ทางการทหาร หากเ้าจะเรียนรู้จากข้อคิดอุปมานั้นก็ได้ แต่อย่าะโข้ามเร็วเกินไป ข้าเป็อาจารย์อยู่นี่ก็ตามเ้าไม่ทันแล้ว”
เมื่อพูดหยอกล้อกันเล็กน้อยจบแล้ว กลับทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหน้าแดงขึ้นมาอย่างหาได้ยาก แต่นางก็รับได้กับคำพูดเย้าแหย่เช่นนั้นของเยวี่ยเจาหราน ขอแค่อย่าเหมือนกับอาจารย์อวี้ผู้นั้นที่วันๆ เอาแต่บอกว่าตนเป็ยายแก่เข้าเล้าไก่ (ฉวยไข่) เ้าโง่ [6] ...
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังอดเกาหัวไม่ได้ นางเอ่ยอธิบายเสียงค่อย “ก่อนหน้านี้ข้าเอาแต่ท่องประโยคนี้ผิด ท่านอาจารย์อวี้ก็เลยบังคับให้ข้าท้องหนึ่งร้อยรอบเต็มๆ เป็เช่นนั้นนานเข้าก็จำได้ ตอนนี้พอมึนๆ ก็จะโพล่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เฮ้อ น่ากลุ้มจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางขมวดคิ้วอย่างห่อเหี่ยวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว เยวี่ยเจาหรานกลับรู้สึกว่ามันน่ารักมาก มุมปากจึงยกขึ้นอย่างอดไม่ได้ ทั้งรู้สึกอยากหัวเราะ ทั้งรู้สึกอยากให้กำลังใจคนตรงหน้าไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คำยกยอของเยวี่ยเจาหรานที่เคลื่อนมาถึงปากแล้วก็ถูกกลืนกลับลงท้องไอีกครั้ง อาจเป็เพราะแสร้งเป็คู่สามีภรรยากันมานาน แม้แต่คำพูดรักๆ ใคร่ๆ ก็ยังเอ่ยออกมาเรื่อยเปื่อยไม่ยั้งคิด
เยวี่ยเจาหรานคิดได้เช่นนั้น สุดท้ายจึงไม่ได้เอ่ยอะไร
“ไม่เป็ไร ประโยคนั้นก็ท่องไม่ผิด เอาไว้เ้าสามารถท่องทฤษฎีมากมายของตำราพิชัยาซุนจื่อได้คล่องเช่นนี้ก็พอแล้ว” ดวงตาดอกท้อของเยวี่ยเจาหรานไม่โกรธทั้งยังหัวเราะ แววตาที่มองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็อ่อนโยนขึ้นไม่น้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้ไปที่ประโยคนั้น บอกให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอ่านให้ตนฟัง
“อันว่าการทหาร เป็เื่ใหญ่ของชาติ คือ... คือจุดเป็จุดตาย คือหนทางดับรอด ต้องใคร่ครวญ... ถี่ถ้วน”
แม้ว่าจะติดๆ ขัดๆ แต่ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังยอมเรียน ยอมอ่าน สำหรับเยวี่ยเจาหรานก็ชื่นใจไม่น้อยแล้ว เขาพยักหน้าตาม แล้วถามอีกครั้ง “ตามความเข้าใจของเ้า ประโยคนี้ควรมีความหมายว่าอย่างไร?”
ประโยคนี้ดูแล้วเรียบง่าย ให้ตนอ่านก็ยังพอไหว แต่ถ้าให้แปล สำหรับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วมันก็ค่อนข้างจะยากลำบากอยู่บ้าง... เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเกาหัวลังเลอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดจึงลองเอ่ยหยั่งเชิงดู “อืม น่าจะหมายถึง การเป็ทหาร เป็เื่สำคัญของชาติบ้านเมือง จะต้อง...”
“ว่าได้ไม่แล้วเลยนี่นา หลังจากนั้นล่ะ? ลองพูดดูสิ”
เมื่อเห็นแววตาให้กำลังใจที่เยวี่ยเจาหรานส่งมา ในที่สุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รวบรวมความกล้า ใช้แววตาที่ดูมั่นใจตอบรับกำลังใจของเยวี่ยเจาหราน ก่อนกำหมัดแน่นด้วยความเชื่อมั่นอย่างที่สุด เอ่ยขึ้นมาเสียงดังลั่น “การเป็ทหาร คือสิ่งสำคัญสูงสุดของชาติบ้านเมือง ต้องเลือกสถานที่ฝังศพเมื่อตายแล้วเอาไว้ล่วงหน้า จะเดินทางน้ำหรือว่าเดินทางเขา ก็ต้องมีการเตรียมพร้อม!”
ในตอนนั้นเอง เยวี่ยเจาหรานถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่ากำลังใจของตนเมื่อครู่ แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่ควรให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แต่เป็สิ่งที่ควรเอาให้ตนเองมากกว่า คำพูดของนักเรียนที่คิดอะไรก็เอ่ยออกมาอย่างนั้น ไม่อาจสังเกตทั้งไม่อาจคาดเดาอย่างละเอียดได้เช่นนี้ ก็ช่างทดสอบความอดทนและความมั่นใจของเหล่าอาจารย์เสียจริง!
เชิงอรรถ
[1] ซุนอู่ (孙武) หรือ ซุนจื่อ เป็นักยุทธศาสตร์คนสำคัญในยุครณรัฐของจีน (ยุคจ้านกั๋ว) และเป็ผู้เขียนตำราพิชัยาซุนจื่อ ที่นับว่าเป็ตำรายุทธศาสตร์ทางทหาร ที่มีอิทธิพลมากของประเทศจีน
[2] หลี่ถัง (李唐) จักรพรรดิถังเสวียนจง จักรพรรดิองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์ถัง ซึ่งพระนามเดิมว่า หลี่หลงจี
[3] เซวียนจื่อเนื้อดิบ (生宣) เป็กระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยสารส้ม มีคุณสมบัติดูดซึมน้ำได้ดีกว่าแบบสุก
[4] ขี่กระเรียนสู่สรวง์ (驾鹤西归) ว่ากันว่านกกระเรียนจะบินไปทางทิศตะวันตก ตามความเชื่อของจีนจึงเชื่อว่าหากเป็ผู้มีบุญญาธิการสูง เมื่อถึงแก่กรรมลงจะได้นั่งนกกระเรียนเป็พาหนะไปสู่สรวง์
[5] คัมภีร์กวี (诗经) เป็คัมภีร์รวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน
[6] เ้าโง่ (笨蛋) พ้องเสียงกับคำว่า ฉวยไข่ (奔蛋)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้