มีใครในเมืองหลวงบ้างที่ไม่รู้ว่าหลัวเลี่ยหลงใหลหลานฉายหลิง
เพื่อให้เป็ไปตามแผนยั่วยุหลัวเลี่ยให้เกลียดหลิวหงเหยียน ชงจ้านหยวนต้องใช้กำลังอย่างมากในการตามหาตระกูลหลาน เพื่อบอกเื่ที่หลัวเลี่ยจะถูกตัดสิทธิในการสืบทอดตำแหน่งอ๋องหนานหลี่ และบอกเป็นัยว่าตระกูลชงของพวกเขาจะขึ้นมาปกครองแคว้นเป่ยสุ่ยแทน ตระกูลหลิวถึงได้รับหลานฉายหลิงมา
“พี่หลัว มีบางเื่ที่ข้าช่วยเ้าไม่ได้จริงๆ” ชงจ้านหยวนแสร้งทำหน้าจริงใจ
หลัวเลี่ยกอดอกมองเขาด้วยรอยยิ้มนิดๆ แล้วพูดว่า “ทำไมท่านต้องขอโทษข้าด้วย”
“เ้าดูสิ ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ว่าเ้าชอบหลานฉายหลิง นางเปรียบเหมือนชีวิตของเ้า แต่จะทำอย่างไรล่ะ ฉายหลิงทุ่มเทกับข้ามาก นางอยากเป็ผู้หญิงของข้าอย่างสุดหัวใจ ถึงขนาดขู่จะฆ่าตัวตาย ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับนาง หวังว่าเ้าจะไม่โทษข้า” ชงจ้านหยวนพูดเหมือนรู้สึกผิด ทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
หากเป็ท่านอ๋องน้อยหลัวเลี่ยตัวจริงคงเป็บ้าไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่หลัวเลี่ยคนปัจจุบันไม่สนใจที่จะมองหลานฉายหลิงสักนิด เพราะเมื่อเทียบกับหลิวหงเหยียนและเสวี่ยปิงหนิงแล้วนางนับว่าธรรมดาเกินไป และที่สำคัญกว่านั้นคือจิตใจของผู้หญิงคนนี้โหดร้ายเกินไป
หลัวเลี่ยคนก่อนหลงใหลในตัวนาง แต่ในเวลานี้นางกลับปล่อยให้ชงจ้านหยวนใช้ประโยชน์จากเื่นี้ จิตใจแบบนี้อาจกล่าวได้ว่าเ็ายิ่งกว่าชงจ้านหยวน
เมื่อเห็นว่าหลัวเลี่ยไม่ตอบสนอง ชงจ้านหยวนก็กังวลเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปตบบั้นท้ายของหลานฉายหลิงหนึ่งครั้ง “ฉายหลิง เ้ายังไม่ได้ตอบพี่หลัวเลยว่าเ้าคิดอย่างไร”
หลานฉายหลิงดูเขินอาย และพูดเบาๆ “ท่านอ๋องน้อย ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งในอดีตที่ท่านทำเพื่อฉายหลิง ฉายหลิงรู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่ฉายหลิงนับถือท่านเป็พี่ชายเสมอ”
“ฮ่าๆ ช่วยไม่ได้ที่ฉายหลิงรักข้า แล้วยังรักแบบคลั่งไคล้เลยด้วย” ชงจ้านหยวนกล่าวอย่างภูมิใจ
“สิ่งที่ฉายหลิงชื่นชมที่สุดคือวีรบุรุษ และจ้านหยวนคือวีรบุรุษในใจของข้า แม้จะต้องเป็นางบำเรอคนที่เก้าของเขาก็เป็เกียรติของข้า” ฉายหลินกล่าว ทำให้ชงจ้านหยวนตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดใบหน้าของหลัวเลี่ยก็มืดมน
เขาคิดว่าหลัวเลี่ยในอดีตไม่คุ้มเลย
ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ ถ้านางถูกบังคับ นางจะพูดคำหยาบๆ แบบนี้ออกมาได้อย่างไร อยากเป็นางบำเรอคนที่เก้าของคนอื่นนับเป็เกียรติหรือ อันที่จริงนี่ไม่ใช่แค่การประชดประชันเยาะเย้ยถากถาง แต่เป็ความอัปยศอดสู
หลัวเลี่ยหายใจเข้าลึกๆ และในที่สุดก็มองไปที่หลานฉายหลิง นี่เป็ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เขาพูดกับหลานฉายหลิงเพียงสิบคำ
“เป็ขยะจะแต่งงานได้อย่างไร!”
หลานฉายหลิงรู้สึกละอายใจและโกรธ นาง้าตอบโต้ แต่นางก็เห็นว่าหลัวเลี่ยไม่ได้มองมาที่นางเลย ราวกับว่ารู้สึกขยะแขยงที่จะมองนาง หรือบางทีนางอาจไม่มีคุณสมบัติพอให้หลัวเลี่ยมอง
ความเฉยเมยแบบนั้นเป็สิ่งที่ิ่หลานฉายหลิงอย่างร้ายแรงที่สุด
หลัวเลี่ยยิ้มให้ชงจ้านหยวน “พี่ชง พวกท่านสองคนเหมาะสมกันจริงๆ ดูสิ ความอัปลักษณ์ของท่าน โอ้ ไม่ใช่ เป็ความงามแบบธรรมชาติ กับอีกหนึ่งคนก็เป็ความงามที่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่า นี่ไม่ใช่คู่ที่สมบูรณ์แบบหรอกหรือ”
ชงจ้านหยวนโกรธมาก
หลัวเลี่ยไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด “ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ตั้งใจจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ จะโทษท่านก็ไม่ได้ หากจะหาคนผิด ก็ควรเป็พ่อของท่าน ใครใช้ให้พ่อของท่านหน้าตาเหมือนหมาป่าเล่า ตามธรรมชาติแล้วลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ดังนั้นหากจะตีก็ต้องไปตีพ่อของท่าน ข้าจะไปตีพ่อของท่านเดี๋ยวนี้”
“อย่างเ้าน่ะหรือจะไปสู้กับท่านพ่อของข้า” ชงจ้านหยวนเย้ยหยัน
จากนั้น...
จากนั้น
จากนั้นหลัวเลี่ยก็ยกมือขึ้นแล้วตบตัวเอง และพูดว่า “ตีพ่อของเ้า”
หลังจากตบเสร็จเขาก็เดินออกไป
ปล่อยให้ชงจ้านหยวนและหลานฉายหลิงตกตะลึงอยู่ในห้องโถง
แม้ว่าชงจ้านหยวนจะฉลาดหลักแหลม แต่เมื่อเทียบกับวิธีการของหลัวเลี่ยที่มาจากศตวรรษ 21 เขาใช้เวลาสักพักจึงคิดได้ เขาคำรามด้วยความโกรธจัด “หลัวเลี่ยเ้าอย่าบ้า อีกครึ่งเดือนเ้าจะต้องสูญเสียตำแหน่งอ๋องหนานหลี่ ถึงตอนนั้นข้าจะคอยดู ว่าต่อหน้าข้า เ้าจะบ้าได้อีกแค่ไหน!”
เสียงของหลัวเลี่ยดังมาจากนอกประตู
“พ่อเ้าควรโดนตี”
“หลัวเลี่ย ข้าสาบาน ข้าจะทำให้เ้ารู้สึกอยู่ไม่สู้ตาย”
“พ่อเ้าควรโดนตี”
“หลัวเลี่ย เ้ามันขี้ขลาด ผู้หญิงโดนข้าชิงมาแล้วเ้ายังพูดจาเหลวไหล”
“พ่อเ้าควรโดนตี”
ในที่สุดชงจ้านหยวนก็ออกจากจวนอ๋องหนานหลี่ไปอย่างอารมณ์เสีย
ตอนที่มองดูพวกเขาจากไป หลัวเลี่ยก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“เ้าทำเกินไปแล้ว” เสวี่ยปิงหนิงยิ้ม นางมาพบหลัวเลี่ย ชงจ้านหยวน และหลานฉายหลิง
หลัวเลี่ยยักไหล่ “ที่จริงข้าคิดว่าชงจ้านหยวนคงจะกวนประสาท ด้วยนิสัยที่เ้าเล่ห์เขาคงจะทำอะไรบางอย่าง ข้าขอให้ซูชิวเชิงและคนอื่นๆ เตรียมตัวให้พร้อม ใช้โอกาสนี้ตอกกลับพวกเขา คิดไม่ถึงว่าแม้เขาดูโกรธจัด แต่เขาก็ยังอดกลั้นไว้ได้ ชงจ้านหยวนผู้นี้ฉลาดกว่าที่เห็นภายนอกมาก”
เสวี่ยปิงหนิงกะพริบตามองการวิเคราะห์ของหลัวเลี่ยแล้วรู้สึกแปลกๆ สิ่งนี้แตกต่างจากในอดีตจริงๆ “ชงจ้านหยวนเดิมทีมีไหวพริบ และเขาก็เตรียมพร้อมในการมาครั้งนี้ แต่ใครจะคิดว่าเ้าจะไม่สนใจเกี่ยวกับบททดสอบผู้พิชิตเลย และยังไม่ใส่ใจหลานฉายหลิงด้วย นี่นับว่าเขาพลาดแล้ว”
“อ่า ใช่แล้ว บททดสอบอะไรหรือ” หลัวเลี่ยถาม
เสวี่ยปิงหนิงอธิบายให้เขาฟัง
บททดสอบผู้พิชิตถูกส่งต่อมาจากสมัยของราชันผู้พิชิตแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย
ราชันผู้พิชิตในตอนนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านการต่อสู้ กล่าวได้ว่า ราชันผู้พิชิตในเวลานั้นทำให้แคว้นเป่ยสุ่ยเป็หนึ่งในสิบแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแคว้นเล็กๆ กว่าแปดร้อยแคว้น
อย่างไรก็ตาม ราชันผู้พิชิตไม่เคยพบผู้สืบทอดที่เหมาะสม และก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้จัดตั้งบททดสอบผู้พิชิตขึ้น
ในบททดสอบผู้พิชิตมีทั้งหมดสี่ด่าน หากเ้าสามารถผ่านทั้งสี่ด่านได้ก่อนที่เ้าจะอายุสิบแปดปี เ้าจะสามารถรับปริศนาที่ราชันผู้พิชิตทิ้งไว้ในด่านที่สี่ได้
จนถึงตอนนี้เป็เวลากว่าสองร้อยปีแล้วที่ยังไม่มีใครผ่านบททดสอบของราชันผู้พิชิตได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สามด่านแรก ด่านที่สี่ยังเป็ปริศนาอยู่เสมอ และไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าด่านที่สี่มีแบบแผนอย่างไร
ตอนนี้มีข่าวลือว่าผู้ที่เข้าใกล้มากที่สุดก็คือชงจ้านหยวน
ชงจ้านหยวนเป็อันดับหนึ่งในรุ่นเยาวชน และชงจ้านหยวนยังบอกด้วยว่า เมื่อเขาอายุสิบแปดปี เขาจะเข้าร่วมทดสอบผู้พิชิตเช่นกัน
“เมื่อเทียบกับด่านที่สี่ สามด่านแรกนั้นค่อนข้างง่ายกว่า โดยปกติหากเ้าฝึกฝนร่างกายถึงระดับที่หกได้แล้ว ก็สามารถข้ามผ่านไปได้แน่นอน” เสวี่ยปิงหนิงกล่าว “อย่างไรก็ตาม เ้าเป็ข้อยกเว้น การฝึกร่างกายแม้จะอยู่ระดับที่สามไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
“ดูจะมั่นใจในตัวข้ามาก” หลัวเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
เสวี่ยปิงหนิงเม้มปากแล้วยิ้ม “ไม่ใช่ตัวเ้า แต่เป็เคล็ดวิชาั์ต่างหาก”
หลัวเลี่ยประหลาดใจกับรอยยิ้มของเสวี่ยปิงหนิง ต้องรู้ว่าเสวี่ยปิงหนิงมีชื่อเสียงในด้านความมีเสน่ห์ แต่กลับไม่ค่อยปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง และรอยยิ้มที่มีเสน่ห์แบบนี้ยิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
“พี่ปิงหนิง ในอนาคตท่านยิ้มให้มากขึ้นหน่อยเถิด” หลัวเลี่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ใช่หงเหยียนนะ นางเป็จักรพรรดินี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง แต่หากข้ายิ้มทุกวัน คงโดนพวกผู้ชายน่าเบื่อพวกนั้นทำให้รำคาญทุกวันแล้ว” เสวี่ยปิงหนิงกล่าว
หลัวเลี่ยพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ๆ ท่านไม่ต้องสนใจผู้ชายพวกนั้นหรอก แค่ยิ้มให้ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
เสวี่ยปิงหนิงเบิกตาโตใส่เขา
ขณะที่พูดคุยและหัวเราะทั้งสองก็มาถึงลานหลักที่หลัวเลี่ยอยู่ และคนรับใช้ทั้งหมดก็ออกไปเหลือเพียงคนสองคน
“ข้าคิดถึงบททดสอบผู้พิชิต” หลัวเลี่ยลูบจมูก “อันที่จริง ข้าสนใจการทดสอบที่สี่มากกว่า”
เสวี่ยปิงหนิงเม้มริมฝีปาก และพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกข้าพอจะเดาได้ นี่สอดคล้องกับบุคลิกของราชันผู้พิชิต ไม่อย่างนั้นทำไมเ้าถึงเหมาะกับทักษะหมัดผู้พิชิตล่ะ ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเ้าฝึกฝน” นางพูดในขณะที่หยิบไข่มุกออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุณ “นี่คือไข่มุกเชื่อมั”