บทสนทนาของคนสกุลโจว ชีเหนียงไม่ได้รับรู้ วันนี้นางกำลังห่วงว่าจะจัดเทศกาลปีใหม่อย่างไรดี
ตัวนางในอดีตไม่เคยร่วมเทศกาลปีใหม่ในสถานที่แห่งนี้ จากความทรงจำของร่างเดิม วันปีใหม่ก็ไม่ได้ต่างจากวันธรรมดา นางจัดสรรชุดใหม่ให้คนในครอบครัวและส่งมอบชุดใหม่สำหรับคนสกุลโจวให้แก่จูซิ่วเจิน เมื่อเห็นท่าทางซาบซึ้งของจูซิ่วเจิน ชีเหนียงก็รีบให้นางกลับไป
“เ้าเอาเสื้อผ้ากลับไปเก็บก่อน เื่เหล่านี้ข้ายังต้องขอคำชี้แนะจากเ้า ปีใหม่เช่นนี้มีข้อห้ามอะไรบ้าง” ชีเหนียงยิ้มอย่างเก้อเขิน “ข้าไม่ปิดบังเ้า สมัยก่อนที่บ้านยังฐานะไม่ดีเท่าตอนนี้ เวลาปีใหม่ก็ค่อนข้างจัดอย่างเรียบง่าย ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นแล้ว แน่นอนว่าคงจะให้ลูกๆ อดสูไม่ได้”
จูซิ่วเจินรู้ดีถึงสถานะของเ้านายอยู่บ้าง จึงรีบเอ่ย “เช่นนั้นบ่าวจะรีบเก็บของและไปหาท่านที่เรือนหน้าเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินจูซิ่วเจินใช้สรรพนามที่ไม่ค่อยเป็ธรรมชาติ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ชีเหนียงก็ได้แต่ปกปิดความใและพยักหน้ารับ
เมื่อมีการช่วยเหลือจากจูซิ่วเจิน ชีเหนียงจึงจัดการเื่ราวงานปีใหม่ได้อย่างราบรื่น สมัยก่อนเวลาปีใหม่ก็แค่ต้องเตรียมอักษรมงคลคู่ เงินแต๊ะเอียต่างๆ เนื่องจากการรักษาสภาพแวดล้อม ่ปีใหม่จึงไม่มีการจุดประทัด
“นอกจากสิ่งของเหล่านี้ ข้าวต้มล่าปากับการส่งต่อชุดใหม่ก็ขาดไม่ได้ คนที่พิถีพิถันหน่อย เวลาปีใหม่ต้องมีสุราดอกเหมย ข้าวต้มและกับเจ็ดอย่าง จานผักรับฤดูใบไม้ผลิ การตัดผ้าไหมทำนกนางแอ่น ทำเครื่องประดับศีรษะมงคลต่างๆ ล้วนต้องจัดเตรียม”
สิ่งที่จูซิ่วเจินกล่าวมาล้วนเป็สิ่งที่บ้านของตนเคยทำมาก่อน “อ้อ ใช่แล้ว ของขวัญเทศกาลปีใหม่ก็ห้ามขาด ไม่ทราบว่านายหญิงจัดเตรียมครบหมดแล้วหรือไม่เ้าคะ”
ชีเหนียงเองก็ไม่รู้ว่าที่ตนเองจัดเตรียมไว้ถูกต้องหรือไม่ “ร้านของเราทำการค้าขายขนม เื่ขนมไม่ขาดแคลนและเตรียมไว้นานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่ายังขาดเหลือสิ่งอื่นหรือไม่?”
“คือว่า…” จูซิ่วเจินลำบากใจแล้ว สถานะของครอบครัวตนเองแตกต่างจากหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ หากอิงตามขั้นตอนเ่าั้เกรงว่าคงไม่เหมาะสม
เมื่อไตร่ตรอง นางจึงกล่าวอย่างอ้อมค้อม “นายหญิงจัดเตรียมได้ดียิ่งนัก เพียงแต่หากมีญาติมิตรที่คุ้นเคยสนิทสนมและสูงศักดิ์หน่อย คงเลี่ยงไม่ได้ต้องเตรียมของขวัญล้ำค่าอีกสักหน่อย ส่วนอย่างอื่นก็เหมาะสมแล้วเ้าค่ะ”
ชีเหนียงเข้าใจความหมายของนาง เห็นทีของขวัญตอบแทนนี้ยังต้องพินิจให้ละเอียดอีกที
......
เมื่อเห็นว่าใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกที ชีเหนียงก็ยิ่งยุ่งกว่าเดิม กลางวันยุ่งกับงานในร้าน กลางคืนกลับมายังต้องคิดเื่ของวันรุ่งขึ้น ดีที่มีคนช่วยงานในบ้านเพิ่มมา ตนจึงมีเวลาหายใจ วันนี้ชีเหนียงกับตู้ิเจวียนหารือกันว่าจะปิดร้าน่ปีใหม่และแจกซองแดงกับคนงานทุกคน
รวมทั้งหวังชุนเฉ่ากับหม่าต้าฮัวในหมู่บ้านที่ช่วยเย็บตุ๊กตา พี่หลิวเองก็ได้รับเช่นกัน
สำหรับข่าวดีที่มาโดยไม่คาดคิดทำให้พวกนางดีใจ ในใจก็ยิ่งคิดเตรียมพร้อมและเพิ่มความพยายามในปีหน้า
แต่พี่หลิวที่ได้รับซองแดงกลับเกรงใจ หลายวันมานี้ชีเหนียงให้นางช่วยงานในร้านไม่น้อย นางได้รับเงินสองตำลึงทุกเดือน ตอนนี้ยังรับซองแดงอีก นางจึงเกรงใจเล็กน้อย
“พี่สาวแสนดีของข้า นี่คือซองแดงเพื่อความมงคลในปีใหม่ ทุกคนในร้านก็ได้รับ แล้วจะขาดส่วนของท่านได้เยี่ยงไร”
ชีเหนียงโน้มน้าวให้นางรับซองแดงไว้ ส่วนตนเองก็กลับไปเตรียมของปีใหม่ที่บ้าน พี่หลิวจึงไม่บอกปัดอีก ทั้งสองพากันไปจับจ่ายเตรียมของปีใหม่กลับบ้านอย่างคึกคัก
เมื่อพวกนางลงกลอนร้านค้าและเตรียมตัวจากไป จู่ๆ ก็มีร่างที่คุ้นเคยผ่านเข้าไปในตรอกด้านข้าง
ชีเหนียงพินิจชั่วครู่ก่อนจะหาข้ออ้างบอกว่ามีบางอย่างต้องทำ จึงให้พี่หลิวกลับไปก่อน ส่วนตนเองก็เดินไปยังตรอกที่ร่างนั้นหายเข้าไป
ในตรอกนั้นมีเพียงกองฟืนกระจัดกระจาย เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยก็คือทางตัน แต่นางเห็นจ้าวจือชิงเดินมาทางนี้ชัดๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็หายไปแล้ว
ขณะที่นางกำลังลังเลว่าจะรอต่อไปหรือจากไปดี บ้านหลังที่ชิดกำแพงด้านในสุด ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแ่เบา จ้าวจือชิงโผล่พรวดออกมาจากด้านใน ชีเหนียงรีบหลบไปซ่อนหลังกองฟืน
จ้าวจือชิงเดินออกมาและกวาดตามองรอบทิศ ก่อนสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนี้ชีเหนียงจึงกล้าโผล่ออกมาจากกองฟืน
ตรอกนี้อยู่ไม่ห่างจากโรงชานมนัก ด้านข้างก็คือโรงเตี๊ยมที่ตาเฒ่าหลิงเคยถูกขับไล่ออกมา ตลอดทางนางยังคงคิดว่าจ้าวจือชิงไปหาผู้ใด เหตุใดจึงมีท่าทีระแวดระวังยิ่งนัก
เมื่อนึกถึงว่าจ้าวจือชิงมีเื่ปิดบังตนเอง นางก็หดหู่ใจ ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย จู่ๆ จ้าวจือชิงก็เรียกนางจากด้านหลัง
“เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ชีเหนียงชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ยอมหันกลับไป “ข้าเห็นเ้าน่ะ แต่ไม่วางใจ ดังนั้นจึงตามมาดู”
ในเมื่อถูกเห็นเข้า ชีเหนียงก็ไม่คิดปิดบัง บางทีนางคงมีความหวังในใจว่าตนเองจะได้รับความเชื่อใจจากจ้าวจือชิงมากเพียงพอ
จ้าวจือชิงรู้ถึงสาเหตุ เมื่อครู่เขาพบว่าสัญลักษณ์ที่ตนทำทิ้งไว้ในตรอกถูกคนทำลาย หากมิใช่เพราะได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยจางๆ ตนเองคงฆ่าปิดปากไปั้แ่แรก โชคดีที่ตนเองสงสัย
เมื่อเห็นว่าจ้าวจือชิงไม่ได้มีท่าทีจะอธิบายอะไร ชีเหนียงก็โมโหและเดินสาวเท้าจากไป จ้าวจือชิงไม่รู้ว่านางเป็อะไรไป จึงรีบไล่ตาม
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร สุดท้ายชีเหนียงก็ทำลายความเงียบลง
“ครั้งที่แล้วข้าลืมถามเ้า โจรูเาเ่าั้มาได้เยี่ยงไร?” ชีเหนียงได้แต่หาหัวข้อก่อนหน้านี้มาคุย นางอยากรู้ว่าตกลงเขาปิดบังอะไรตนเองกันแน่
จ้าวจือชิงไตร่ตรอง “อิงตามกฎหมาย พวกเขาถือดาบปล้นชิง ต้องถูกจำคุกอย่างต่ำสามปี อย่างมากสิบปีและปรับเงิน”
จากคำสารภาพของคนเ่าั้ วันนี้เขากลับจากตรอกก็เพราะสัญลักษณ์ที่ทิ้งไว้ในตรอกมีการตอบกลับแล้ว หลายวันมานี้เขายุ่งกับการจดจ่อกับเื่นี้ เมื่อถึงเวลาจึงมาพบคน เพื่อ้ารู้ว่าใครคือผู้บงการเื้ั เพียงแต่คนเ่าั้ทำงานอย่างระมัดระวัง ถึงขั้นถามคำถามกับเขาอย่างละเอียดหลายเื่
โจรูเาพวกนั้นไม่ได้สารภาพละเอียดมากมายนัก เขาจึงโกหกว่าเป็เพียงลูกน้อง ครั้งนี้ลูกพี่ใหญ่ส่งเขามารับหน้าที่ เื่ราวทั้งหมดยังต้องรอลูกพี่ใหญ่มาก่อน เดิมทีเขาคิดจะไปที่ว่าการอีกรอบ ใครจะรู้ว่าผู้ที่สะกดรอยตามเขากลับเป็ชีเหนียง เขาไม่อยากให้ชีเหนียงรู้เื่เหล่านี้ ด้วยเหตุว่ากลัวชีเหนียงจะถาม ดังนั้นเวลาตอบจึงยิ่งระมัดระวังคำพูด
เหมือนชีเหนียงเองก็สังเกตจุดนี้ได้ นางหันกลับไปจ้องตาเขา “เมื่อครู่เ้าทำอะไรกันแน่!”
“ข้ากำลังจะไปที่ว่าการเพื่อหา…” จ้าวจือชิงที่กำลังจะพูดความจริงตระหนักขึ้นมาได้เมื่อรู้ตัวก็รีบหุบปาก
ชีเหนียงหรี่ตามองเขา “หืม เ้าจะไปทำอะไรที่ว่าการ?”
“รีบพูดมา! หรือว่าเ้าไปก่อความผิดอะไรมา?”
“เ้าจะพูดหรือไม่?”
ชีเหนียงตะบี้ตะบันไล่ถามเขา จ้าวจือชิงถูกดวงตาของนางจับจ้องจนเกร็ง โดยเฉพาะเมื่อร่างบางของนางแทบจะโน้มเข้าหาอ้อมอกของเขา ทำให้เขาถึงกับต้องรีบถอยหลัง
แต่หารู้ไม่ว่าท่าทางประหม่าของเขายิ่งทำให้ชีเหนียงเกิดความสงสัย
เมื่อเห็นเขาหลบตา ชีเหนียงก็รู้ว่าเขาไม่ยอมพูดแน่ นางจึงเปลี่ยนจากวิธีบังคับถามเป็ตัดพ้อ “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเ้าเองก็ไม่ได้เห็นพวกข้าคือคนกันเอง เ้าคิดจะทำอะไรก็ทำ แต่จงจำไว้ว่า หากเหนื่อยหรือง่วง ประตูสกุลลั่วก็ยังเปิดไว้ให้เ้าเสมอ”
-----