เมื่อเห็นว่ายามนี้บรรยากาศไม่ถูกต้อง ฮองเฮาด้านข้างจึงยืนขึ้นมา
“เสด็จแม่ ฝ่าาตรัสถูกต้องแล้ว บัดนี้มีเพียงหลิงเอ๋อร์สามารถตรวจสอบได้ว่าโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกำเริบได้อย่างไร ยามนี้ควรลงโทษก็ลงโทษพอแล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกเราลงโทษหลิงเอ๋อร์เช่นนี้ต่อไป จะให้เซี่ยวอวี่คิดอย่างไร ทั้งชีวิตของเซี่ยวหนานก็ฉุกเฉิน พวกเรามิอาจทำเพื่อโทสะเพียงครู่หนึ่ง มายื้อเวลารักษาเซี่ยวหนาน”
ฮองเฮายังคงกล่าวด้วยใบหน้าอ่อนโยน ทำให้คนมองอันใดไม่ออก แต่ในใจคิดอะไรอยู่ มีเพียงนางเองเท่านั้นที่รู้
คำกล่าวนี้ของฮองเฮาภายนอกนั้นช่วยพูดแทนมู่จื่อหลิง แต่ความนัยมู่จื่อหลิงกลับเข้าใจอย่างชัดเจน นางต้องแอบยกนิ้วโป้งสูงๆ ให้กับฝีมือการซ่อนเข็มไว้ในคำพูดของฮองเฮาอีกครั้ง
วาจานี้ของฮองเฮาพูดได้ดีนัก!
ตอบรับคำตรัสของฮ่องเต้เสียก่อน และส่งสัญญาณอย่างเงียบๆ ไม่ให้ไทเฮาลงโทษนางอีก แสดงให้เห็นว่าไทเฮามีเมตตา สามารถกอบกู้พระพักตร์กลับมาได้อีกครั้ง
มาถึงตอนนี้ยังไม่ลืมยกเซี่ยวอวี่กลับมา แล้วให้นางไปรักษาหลงเซี่ยวหนาน เช่นนี้ไทเฮาก็สามารถสวมบทบาทท่านย่าผู้แสนดีคนหนึ่งได้
และโรคของหลงเซี่ยวหนานมีเพียงนางที่ดูออกจริงๆ หากเป็เพราะไทเฮากักขังนางไว้ จนทำให้หลงเซี่ยวหนานเกิดเื่ พอถึงเวลานั้นที่ไทเฮาจะเสียคงไม่ได้มีแค่หน้าตา
ฮองเฮามักเตือนสติอย่างเงียบๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าไทเฮา พัดลมโหมไฟ ไทเฮาย่อมฟังคำในคำพูดของฮองเฮาออก บัดนี้ฮ่องเต้มารับตัวคนด้วยตนเอง หากนางยังไม่ปล่อยมู่จื่อหลิงก็เท่ากับว่าไม่ไว้หน้าฮ่องเต้
คำพูดคลุมเครือแต่ความนัยชัดเจนนัก
ทุกประโยคของฮองเฮามีเหตุผล สุดท้ายผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็ยังเป็ไทเฮา ไทเฮาจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องรั้งตัวมู่จื่อหลิงไว้อีกแล้ว
ไทเฮาจึงโบกมืออย่างขอไปทีด้วยท่าทางที่ทั้งใจกว้างทั้งหมดทางเลือก “ยังเป็ฮองเฮาที่พิจารณาได้อย่างรอบคอบ ช่างเถิดๆ อายเจียจะให้โอกาสฉีหวางเฟยทำคุณชดเชยโทษอีกสักครั้ง หากวันนี้นางมิอาจรักษาเซี่ยวหนานจนหายได้ อายเจียจะไม่ปรานีอีกแล้ว”
ยามนี้ไทเฮาเรียกศักดิ์ฐานะของมู่จื่อหลิงโดยตรง หากมู่จื่อหลิงไม่รักษาหลงเซี่ยวหนานให้หายจนถึงที่สุด ผู้ที่ประสบกับเคราะห์กรรมไม่ได้มีแค่มู่จื่อหลิงเพียงคนเดียว หลงเซี่ยวอวี่เองคงถูกลากไปด้วย
มู่จื่อหลิงเย้ยหยันในใจ สตรีสองคนนี้ช่างร่วมมือกันได้ดีนัก ผู้หนึ่งร้องผู้หนึ่งรับ ร้องเข้าคู่กันเสียงกระจ่างใส ยามนี้ยังสามารถทำท่าทางสุภาพใจกว้างและเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงได้อยู่อีก
วันนี้นางได้รับความอัปยศอย่างงงงันแล้วก็ผ่านไปในชั่วรอยยิ้มเดียว บัดนี้ไทเฮาชราผู้ยิ่งใหญ่ไม่ถือสาคนต่ำต้อยปล่อยนางให้มีทางรอดชีวิต นางมิเพียงมิอาจพร่ำบ่น แต่ยังรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณที่พวกนางไม่ฆ่าด้วยซ้ำ
ควรรู้ั้แ่แรกภายใต้อำนาจ ไร้ความยุติธรรมให้เอ่ยถึง นางในตอนนี้ควรตอบแทนจากใจจริงเสีย
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเห็นดังนั้นก็มิได้อยากตรัสไร้สาระอีก ออกพระโอษฐ์ทันที “เจิ้นก็มิได้ไปเยี่ยมเซี่ยวหนานมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็ไปพร้อมกับพวกเ้าเลยแล้วกัน หามเกี้ยวไปตำหนักหนานเหอ”
พูดจบ ฮ่องเต้เหวินอิ้นก็โบกพระหัตถ์ใหญ่โต เดินออกจากตำหนักโซ่วอันก่อน
หลังจากฮ่องเต้ออกไป ไทเฮาฮองเฮาก็เตรียมจะตามไปด้วยเช่นกัน ก่อนฮองเฮาเดินออกไปก็ยังมิวายเดินผ่านหน้ามู่จื่อหลิง มองมือของมู่จื่อหลิงที่ได้รับาเ็ แสร้งพูดอย่างปวดใจ “หลิงเอ๋อร์ เป็อย่างไร ยังเจ็บหรือไม่ จะให้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูหรือไม่”
มู่จื่อหลิงสะบัดมือที่ได้รับาเ็อย่างแรง เจ็บเสียจนนางเกือบสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าแสร้งเผยความเคารพซาบซึ้ง
“แค่าแเล็กๆ เท่านั้น มิใช่เื่ใหญ่ วันนี้ยังต้องขอบพระทัยไทเฮา ฮองเฮา บุญคุณที่สอนสั่งหม่อมฉันในวันนี้ หม่อมฉันต้องจดจำให้ขึ้นใจเป็แน่เพคะ!”
จดจำให้ขึ้นใจ!
ความอัปยศอดสูและความเ็ปจากเข็มทิ่มแทงที่พวกเ้ามอบให้ข้าในวันนี้ ข้าจะไม่จำให้ขึ้นใจได้อย่างไร?
ฮองเฮาได้ยินคำของมู่จื่อหลิง ก็มิได้มีท่าทีไม่พอใจอันใด ยังคงมีสีหน้าเป็มิตร พูดด้วยสีหน้าใจดี “ไม่เป็อันใดก็ดี รีบไปเร็วเข้าเถิด อย่าให้เสด็จพ่อของเ้ารอจนร้อนรน”
พูดจบก็ยกเท้าก้าวออกไปอย่างสง่างาม
มู่จื่อหลิงมองเงาร่างของฮองเฮาที่ไกลออกไป หัวคิ้วขมวดน้อยๆ นางรู้สึกว่าฮองเฮาในวันนี้ผิดปกตินัก หากเมื่อครู่ฮองเฮาไม่พูดถ้อยคำเ่าั้กับไทเฮา วันนี้ไทเฮาคงไม่ปล่อยนางไปอย่างง่ายๆ
ตามหลักแล้วหากเกิดเื่ขึ้นกับหลงเซี่ยวหนาน ฮองเฮาควรจะเป็ผู้ที่พึงพอใจ เหตุใดยามนี้ยังเกลี้ยกล่อมไทเฮาให้นางไปรักษาหลงเซี่ยวหนานอย่างใจดี
ดูเหมือนจะได้กลิ่นแผนการเข้าแล้ว ทำให้ต้องเพิ่มการระมัดระวังตัวขึ้น
นางไม่ลืมวันนั้นหลังจากที่นางรักษาหลงเซี่ยวหนาน คำพูดคลุมเครือแฝงนัยที่ฮองเฮาพูดกับไทเฮา เพียงแต่ยามนั้นหลงเซี่ยวอวี่ทิ้งกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยอยู่ดูแล นางจึงวางใจไม่คิดฟุ้งซ่าน
บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมพัดผ่านไม่ได้ ดูท่าบัดนี้กำแพงที่ลมพัดผ่านได้ ทำให้ผู้ประสงค์สมความปรารถนาโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่ทราบ
ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกำเริบด้วยสาเหตุใด
ขอเพียงให้นางรู้ว่าใครออกอุบายอยู่เื้ั นางจะต้องทวงคืนศักดิ์ศรีในวันนี้กลับคืนมาอย่างแน่นอน
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงข่มกลั้นเช่นนี้ ในใจก็ไร้รสชาตินัก จับจ้องไปที่าแของมู่จื่อหลิงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เปี่ยมไปด้วยความปวดใจ “พี่สะใภ้สามหรือจะเชิญหมอหลวงมาพันแผลก่อนดี แล้วพวกเราค่อยไปดูพี่ห้า”
จู่ๆ หลงเซี่ยวเจ๋อก็วางท่าทีเคร่งขรึมต่อมู่จื่อหลิง ทำให้นางไม่ชินอยู่เล็กน้อย
นางฉีกยิ้ม พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า ”ไม่เป็อันใด ข้าพกยารักษาาแติดตัวมา รอทาระหว่างทางก็ไม่เป็ไรแล้ว”
มู่จื่อหลิงมองหลินมามาที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ั์ตากระจ่างใสก็ทอประกายเ็า ล้วงยาขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นใส่มือของหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างเงียบเชียบ เอ่ยกระซิบว่า “ยามี่ลู่ที่ให้เ้าไปยังมิได้ใช้กระมัง ลองใช้กับขวดนี้ดูสิ”
หลงเซี่ยวเจ๋อพลันดวงตาวาววับ เข้าใจทันที หลังจากรับยามาจากมู่จื่อหลิง ก็แสร้งไปเตะหลินมามาดูว่าตายแล้วหรือยัง โปรยยามี่ลู่และยาที่มู่จื่อหลิงให้มาไปที่ตัวของนางอย่างไร้สุ้มเสียง
หลังจากนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อจึงลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน เดินออกจากตำหนักโซ่วอันตามมู่จื่อหลิงอย่างไม่สนผู้ใด
ในขณะนี้เองก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าบนยอดหลังคาตำหนักโซ่วอัน มีบุรุษชุดแดงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าสวมหน้ากากผีเสื้อสีเงินปิดไปครึ่งหนึ่งส่องประกายวาววับภายใต้แสงแดดยามเช้าอันอ่อนโยน ทั่วทั้งสรรพางค์กายดูแล้วเหมือนดั่งเทพเซียน ห่างไกลเกินไขว่คว้า
บุรุษชุดแดงยืนมือไพล่หลัง ทอดมองไปยังทิศทางที่พวกมู่จื่อหลิงจากไปอย่างลุ่มลึก ดวงตาเฉลียวฉลาดภายใต้หน้ากากเต็มไปด้วยความอาดูร
พวกมู่จื่อหลิงเพิ่งจากไปก็มีบ่าวไพร่ในพระราชวังมาแบกหลินมามาที่หมดสติ เพียงแต่ยังไม่ทันยกขึ้นมา ก็มีฝูงผึ้งพิษฝูงใหญ่บินเข้ามาทางประตู
เพียงครู่เดียวทั่วทั้งตำหนักโซ่วอันก็ปั่นป่วนวุ่นวาย ขันทีนางกำนัลทั้งหมดวิ่งโซซัดโซเซวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ก็พากันล้มลงบนพื้น ไม่มีรอดพ้นไปได้
หลังจากนั้นไม่นาน ผึ้งพิษฝูงนั้นทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็หนอนน่าสะพรึงกลัวไต่ยั้วเยี้ยไปทั่วทั้งตำหนักโซ่วอัน ทำให้ผู้พบอดที่จะรู้สึกพะอืดพะอมไม่ได้
ฉากนี้ล้วนอยู่ในสายตาของบุรุษชุดแดงบนหลังคาทั้งหมด มุมปากของเขาค่อยๆยกขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ เล็กน้อย
ต่อให้สวมหน้ากากก็ยังคงจินตนาการออกว่าภายใต้หน้ากากนั้นเขายิ้มได้งดงามอย่างยิ่ง ราวกับดอกถานฮวาที่ผลิบานอย่างเงียบเชียบยามราตรี พริบตาเดียวความมืดมิดยามค่ำคืนก็สว่างไสวขึ้นมา งดงามจนทำให้ผู้คนมิกล้าจ้องตรงๆ
เขาร่อนตัวลงมาอย่างเงียบๆ เอื้อมมือไปปิดประตูใหญ่ตำหนักโซ่วอันจนสนิท จากนั้นเงาร่างก็กะพริบก่อนจะหายวับไปจากที่เดิม
หลังจากนั้น เมื่อไทเฮากลับมาถึงตำหนักโซ่วอัน แวบแรกที่เห็นฉากซากศพไม่กี่ซากนี้มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ก็รับไม่ได้ หายใจไม่ออก เป็ลมไปด้วยความขยะแขยง
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา นางก็สั่งให้สืบเื่นี้อย่างละเอียด ทว่าสืบหามานานแล้วแต่ไม่พบเงื่อนงำใดๆ เลย
ต่อมามีคนแพร่ข่าวลือว่าตำหนักโซ่วอันต้องคำสาป สุดท้ายไทเฮาได้ยินเข้าก็เชื่อ จึงตั้งใจเชิญพระอาจารย์มาประกอบพิธีกรรมเป็พิเศษ เผาตำหนักโซ่วอันทั้งตำหนักแล้วสร้างขึ้นมาใหม่
ทว่านี่มิได้บรรเทาความหวาดกลัวในใจของไทเฮาได้เลยแม้แต่น้อย นางยังคงฝันร้ายทั้งคืน ฝันว่าร่างกายตนเองเต็มไปด้วยหนอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ท้ายที่สุดก็ใตื่นขึ้นมา ทำตนเองนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แน่นอนว่า นี้ล้วนเป็เื่ราวในภายหลัง
-
ระหว่างทาง มู่จื่อหลิงนำยาบางส่วนออกมาจากระบบซิงเฉิน ใช้พันแผลนิ้วที่ได้รับาเ็ นางยินดีอย่างเงียบๆ อีกครั้งหนึ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อมาได้ทันเวลา มิเช่นนั้นนิ้วนี้คงต้องเสียเปล่าแล้ว
หลงเซี่ยวเจ๋อจ้องมู่จื่อหลิงหยิบยา หยิบผ้าพันแผล หยิบนั่นนี่ออกมาจากแขนเสื้อ ก็รู้สึกไม่อยากเชื่อ
ยามนี้เขาแทบจะทนไม่ไหวมุดศีรษะเข้าไปในแขนเสื้อมู่จื่อหลิง ดูว่าข้างในวางสิ่งใดไว้บ้าง แขนเสื้อของพี่สะใภ้สามใหญ่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ เขามองว่าเล็กมากนัก เหตุใดจึงวางของได้มากมายเหมือนกับกล่องสมบัติอย่างไรอย่างนั้น อยากได้สิ่งใดก็มีสิ่งนั้น
มู่จื่อหลิงจัดการเสร็จจึงพบว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจับจ้องที่แขนเสื้อนางมาโดยตลอด ราวกับ้าจ้องแขนเสื้อนางจนเป็รู ในใจนางก็ประหม่าเล็กน้อย
หมอนี่คงมิได้สังเกตเห็นอันใดใช่หรือไม่ เมื่อครู่ห่วงแต่จัดการาแของตนเอง จนลืมการมีอยู่ของหลงเซี่ยวเจ๋อไปเสียสนิท มัวสนใจตนเองหยิบของออกมาจากระบบซิงเฉินมากมายเพียงนั้น หลงเซี่ยวเจ๋ออย่าได้ถามเป็อันขาดว่าเหตุใดแขนเสื้อนางสามารถนำของออกมาได้เยอะแยะเพียงนี้
ทว่า์ไม่เข้าข้าง
“พี่สะใภ้สาม แขนเสื้อท่าน” หลงเซี่ยวเจ๋อเพิ่งเอ่ยปาก
มู่จื่อหลิงคิดวิธีได้อย่างด่วนจี๋ กอดมือที่ได้รับาเ็ร้องเสียงดัง “ไอ้หยา มือข้าเจ็บนัก”
ดังคาดทันทีที่ร้อง ความสนใจของหลงเซี่ยวเจ๋อก็เบี่ยงเบนไป เขาร้องอย่างร้อนรนตามไปด้วย “เป็อันใดๆ”
“เมื่อครู่จู่ๆ มือก็เจ็บ ยามนี้ไม่มีเื่แล้ว” มู่จื่อหลิงเห็นท่าทางซื่อบื้อของหลงเซี่ยวเจ๋อ ในใจก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
“ไม่มีอันใดก็ดี แขนเสื้อเ้า”
“อ๊า มือเจ็บนัก!”
......
แสงแดดอบอุ่นยามรุ่งเช้าสอดส่องบนพื้น นิ่งสงบราบเรียบ ไม่มีบรรยากาศเอ็ดตะโร ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายเบิกบาน
เพียงแต่ภายในตำหนักหนานเหอในเวลานี้ เสียงร้องะโอันเ็ปที่ต่อเนื่องไม่หยุดของหลงเซี่ยวหนานก็ทำลายความเงียบสงบนั้น
คนกลุ่มหนึ่งยกโขยงมาที่ตำหนักหนานเหอ แต่ยังไม่เข้าประตูก็ได้ยินเสียงคำรามที่จวนเจียนจะบ้าคลั่งของหลงเซี่ยวหนาน ทั้งยังมีเสียงร่ำไห้กระซิกของลี่เฟย
ฮ่องเต้เหวินอิ้นส่งองครักษ์สองคนไปทำให้หลงเซี่ยวหนานสลบไปทันที ไม่ถึงครู่หนึ่งภายในห้องก็เงียบเสียงลง
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในตำหนักหนานเหอ ลี่เฟยก็พุ่งไปเบื้องหน้ามู่จื่อหลิง คว้าหัวไหล่มู่จื่อหลิงไว้แน่น ร้องไห้โฮถามว่า “ฉีหวางเฟย เ้ามิได้บอกว่ารักษาโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานหายแล้วหรือ เหตุใดวันนี้จึงกำเริบขึ้นมาเสียเล่า”
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเห็นลี่เฟยดึงทึ้งมู่จื่อหลิงโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เช่นนี้ ก็ขมวดพระขนงน้อยๆ อย่างไม่พอพระทัย สายพระเนตรอันหนาวถึงกระดูกตวัดไปทางลี่เฟย “พอแล้ว สนมรัก หยาบคายสะเพร่าจนเหมือนอันใดแล้ว ตกลงอาการของหลงเซี่ยวหนานเป็เช่นใด ก็ให้หลิงเอ๋อร์ตรวจดูก่อนแล้วค่อยพูด”
เห็นดังนั้นลี่เฟยจึงสงบลงในชั่วพริบตา และปล่อยมือที่คว้ามู่จื่อหลิงไว้ มองมู่จื่อหลิงอย่างคาดหวัง
ลี่เฟยมิได้ไม่เชื่อมู่จื่อหลิง ั้แ่ได้สนทนากันสั้นๆ นางก็รู้สึกว่าฉีหวางเฟยผู้นี้ไม่ธรรมดา
ทั้งยังมีใจคิดจะรักษาบุตรชายนางจริงๆ เพียงแต่ยามนี้โรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบอีกครั้ง นางกังวลใจลางๆ ว่าครั้งนี้บุตรชายนางโรคเก่ากำเริบเป็เพราะถูกคนลอบทำร้าย
มู่จื่อหลิงย่อมเข้าใจความรู้สึกของลี่เฟย จึงไม่ได้ถือหาความกับนาง เพียงพูดเรียบๆ ว่า “ลี่เฟยวางใจ เปิ่นหวางเฟยจะต้องรักษาองค์ชายห้าจนหาย”
มู่จื่อหลิงทิ้งท้ายไว้อย่างง่ายๆ หนึ่งประโยคแล้วมิได้พูดสิ่งใดอีก เดินเข้าไปในฉากกั้นด้วยตนเอง จากนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อก็ตามเข้าไปด้วยทันที......