ทุกคนในบ้านรีบลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็เห็นผู้เฒ่าอวิ๋นเดินมือไพล่หลังเข้ามาในห้องโถง อวิ๋นเจียวตาไวสังเกตเห็นว่าในมือของผู้เฒ่าอวิ๋นว่างเปล่าไม่ได้ถือกล้องยาสูบที่ไม่เคยห่างกายเอาไว้
เด็กๆ “ท่านปู่!”
อวิ๋นโส่วจง “ท่านพ่อ!”
ฟางซื่อ “ท่านพ่อ เชิญนั่งเ้าค่ะ ชุนเหมย ไปหยิบชามตะเกียบมาเพิ่มให้ท่านพ่ออีกชุด”
แม้ว่าเมื่อคืนจะทะเลาะกันจนแยกย้ายกันไปด้วยความไม่พอใจ แต่ผู้เฒ่าอวิ๋นก็เป็บิดาของอวิ๋นโส่วจง และเป็ปู่ของเด็กๆ ทั้งสามคน ในฐานะลูกหลาน ก็ต้องมีมารยาทที่เหมาะสม
“พวกเ้ากินกันไปเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้ากินข้าวมาแล้ว” ผู้เฒ่าอวิ๋นแสร้งทำเป็มองอาหารบนโต๊ะอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่แป้งแผ่นที่ทำจากแป้งสาลีอย่างดีในตะกร้านั้น ก็มีจำนวนพอๆ กับแป้งแผ่นที่อยู่บนโต๊ะของผู้ชายในบ้านพวกเขาแล้ว
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ บ้านเ้ารองเป็แป้งแผ่นทำจากแป้งสาลีอย่างดี ส่วนบ้านของพวกเขาเป็แป้งแผ่นที่ทำจากแป้งหยาบ เท่านี้ยังไม่พอ บนโต๊ะของบ้านเ้ารองยังมีกับข้าวที่ทำจากเนื้ออีกสองจาน! เ้ารอง… ร่ำรวยจริงๆ! ผู้เฒ่าอวิ๋นพูดจบก็เดินไปนั่งที่ข้างเตียงอุ่น โบกมือให้ลูกหลานนั่งลง
หมู่บ้านไหวซู่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแคว้นต้าเยี่ย ทุกบ้านล้วนมีเตียงอุ่นก่อไว้ในห้องโถง ซึ่งทำไว้เพื่อให้มีที่อุ่นๆ สำหรับกินข้าวในฤดูหนาว
ฟางซื่อเห็นผู้เฒ่าอวิ๋นไม่นั่งร่วมโต๊ะด้วยก็ไม่ได้คะยั้นคะยอ เพียงแต่สั่งให้ชุนเหมยชงชาให้ หลังจากที่บ้านตระกูลอวิ๋นมีเื่ทะเลาะเบาะแว้งกันหลายครั้ง ต่อให้ฟางซื่อจะเป็คนใจกว้างเพียงใด ต่อจากนี้ไปนางคงปฏิบัติต่อผู้เฒ่าอวิ๋นเพียงแค่ให้เกียรติในฐานะพ่อสามีเท่านั้น
“ท่านพ่อ ดึกดื่นป่านนี้ยังมาที่นี่ มีเื่อันใดหรือขอรับ?” หากไม่มีอะไรก็คงไม่มา ยิ่งไปกว่านั้นในใจของอวิ๋นโส่วจงก็หมดหวังแล้ว จึงไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับผู้เฒ่าอวิ๋น
“ได้ยินว่าฉี่เยว่ไปเรียนที่สำนักศึกษาในตำบลแล้วหรือ?” ผู้เฒ่าอวิ๋นเอ่ยถามหลังจากที่ชุนเหมยยกน้ำชาเข้ามา
อวิ๋นโส่วจงพยักหน้า “ใช่ขอรับ เพิ่งไปเช้านี้”
“ดี! ดี! ดี!” ผู้เฒ่าอวิ๋นพูดคำว่า ‘ดี’ ติดต่อกันสามครั้ง แต่อวิ๋นเจียวสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความยินดีออกมาแม้แต่น้อย
“ตระกูลอวิ๋นมีบัณฑิตติดต่อกันถึงสองคน ต้องขอบคุณบรรพบุรุษที่คุ้มครอง เพียงแต่ฉี่เยว่ยังเด็กอยู่ ไม่รู้ว่าจะสามารถตามบทเรียนของสำนักศึกษาได้ทันหรือไม่”
พอเขาพูดจบ สีหน้าของฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงก็พลันเปลี่ยนไป ลูกชายท่านอายุสิบห้าถือว่าโต ส่วนลูกชายข้าอายุสิบสามถือว่าเด็กเกินไปงั้นหรือ?
อวิ๋นฉี่เยว่มีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาราวบ่อน้ำลึกสงบนิ่งไร้คลื่นสั่นไหว “ขอบคุณท่านปู่ที่เป็ห่วง หลานเคยศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาในเมืองหลวง ั้แ่เด็กก็ขยันหมั่นเพียร มิเคยเกียจคร้านแม้แต่น้อย ครั้งนี้ได้กลับมาบ้านเกิดและเข้าเรียนที่สำนักศึกษาในตำบล หลานไม่รู้สึกว่ายากลำบาก กลับรู้สึกว่าสบายกว่าตอนอยู่ที่เมืองหลวงเสียอีก”
ผู้เฒ่าอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ขยันหมั่นเพียรหรือ... การอ่านตำราเรียนต้องดูที่พร์ด้วย อย่างเช่นอาห้าของเ้า มีพร์ในการเรียนสูง เ้ายังเด็กอยู่ อย่าไปบังคับตัวเองมากเกินไป พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน อย่างไรเสียก็มีแซ่อวิ๋นเหมือนกัน หากเ้าเรียนไม่ไหวก็ไม่เป็ไร รอจนกว่าอาห้าของเ้าสอบได้เป็ขุนนาง เขาคงไม่ลืมพวกเ้าหรอก”
จริงๆ แล้วผู้เฒ่าอวิ๋นอยากจะพูดว่าหากไม่มีพร์ก็อย่าไปเรียนเลย สำนักศึกษาใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปเรียนก็ได้งั้นหรือ? ไม่สู้เอาเงินค่าเล่าเรียนของอวิ๋นฉี่เยว่ไปให้อวิ๋นโส่วหลี่ใช้ดีกว่า ผู้เฒ่าอวิ๋นหวังว่าเ้ารองจะเป็คนฉลาด รับรู้ความนัยจากคำพูดนี้และเข้าใจเขา!
แน่นอนว่าอวิ๋นโส่วจงเป็คนฉลาด ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทุกคนในครอบครัวล้วนเป็คนฉลาด พวกเขาเข้าใจความหมายของผู้เฒ่าอวิ๋นเป็อย่างดี
แต่… ท่านคิดว่าตัวเองใหญ่นักหรือ? อวิ๋นโส่วหลี่จะสอบได้เป็ขุนนางหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับบ้านพวกเขาด้วย? อย่าว่าแต่บ้านพวกเขาไม่ได้รวมอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋นเลย แม้แต่ในบันทึกทะเบียนตระกูลก็ยังไม่มีชื่อบ้านพวกเขาด้วยซ้ำ! ที่สำคัญคือท่านไม่ได้ฟังคำพูดของอวิ๋นฉี่เยว่เลยสักนิด!
อวิ๋นเจียวหัวเราะเยาะในใจ พลางแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจและยิ้มหวานให้กับผู้เฒ่าอวิ๋น เอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงใสๆ “ท่านปู่ พี่ใหญ่ไม่ได้บังคับตัวเอง เพียงแต่รู้สึกว่าบทเรียนของสำนักศึกษาในตำบลนั้นง่ายกว่าในเมืองหลวงมาก เขาจึงเรียนอย่างสบายๆ เ้าค่ะ”
อวิ๋นเจียวพูดจบก็ยิ้มหวานให้กับผู้เฒ่าอวิ๋น นางเน้นคำว่า ‘เมืองหลวง’ อย่างชัดเจน พอเห็นสีหน้าของผู้เฒ่าอวิ๋นดูไม่เป็ธรรมชาติ อวิ๋นเจียวก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา คนอื่นๆ ในบ้านตระกูลอวิ๋นก็รู้สึกสบายใจเช่นกัน
มีเพียงผู้เฒ่าอวิ๋นเท่านั้น ที่เตรียมคำพูดมาเต็มรถเข็น แต่กลับถูกอวิ๋นเจียวพูดสวนจนพูดอะไรไม่ออก “ดี! ดี! ฉี่เยว่เก่งก็ดีแล้ว!” เขายังจะพูดอะไรได้อีก?
“อาห้าของเ้ามีพร์ด้านการเรียน คราวก่อนเขาบอกว่าจะลองสอบในปีนี้ หากสอบได้ก็เป็เื่น่ายินดี แต่หากสอบตก อย่างน้อยก็ได้ไปลองัับรรยากาศการสอบแล้ว รอจนกว่าอาห้าของเ้าสอบเสร็จ ปู่จะให้เขามาถ่ายทอดประสบการณ์ให้เ้า!”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบอย่างเรียบเฉย “ขอบคุณท่านปู่”
“พวกเ้าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาเดียวกัน เป็ครอบครัวเดียวกัน สายเืเดียวกัน เ้าต้องเชื่อฟังอาห้าของเ้า เขาให้เ้าทำอะไรก็ทำตามเขา คนบ้านเดียวกันอยู่ข้างนอกก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน!”
อวิ๋นเจียวโกรธขึ้นมาทันที ท่านปู่คิดจะให้พี่ใหญ่ผู้สุภาพอ่อนโยนของนางไปเป็เด็กติดตามของอวิ๋นโส่วหลี่อย่างนั้นหรือ! “ท่านปู่ หากท่านเป็ห่วงท่านอาห้า ซื้อเด็กติดตามมาให้เขาก็สิ้นเื่เ้าค่ะ!”
อวิ๋นฉี่ซานพูดเสริม “เด็กติดตามไม่แพงขอรับ สองตำลึงเงินก็ซื้อคนดีๆ มาได้หนึ่งคนแล้ว! อย่างไรเสียท่านย่ากับท่านอาสี่ก็ขายรถม้าของพวกเราไปแล้ว พวกเราคิดว่าก็น่าจะได้เงินประมาณหกสิบตำลึงเงินนะขอรับ”
อวิ๋นฉี่ซานพูดถึงเื่อ่อนไหวที่ผู้เฒ่าอวิ๋นไม่อยากได้ยินขึ้นมา คำพูดของเขากับอวิ๋นเจียวราวหอกน้ำแข็งทิ่มแทงเข้าไปในใจของผู้เฒ่าอวิ๋นอย่างตรงจุด แต่ผู้เฒ่าอวิ๋นกลับพูดโต้แย้งไม่ออก ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่เหลือบมองผู้เฒ่าอวิ๋นอย่างเ็า “ท่านปู่ ข้ากับท่านอาห้าเรียนอยู่คนละห้อง อีกอย่างพอเลิกเรียนข้าก็ต้องรีบกลับบ้าน ไม่มีเวลาพบปะกับท่านอาห้าหรอกขอรับ”
ผู้เฒ่าอวิ๋นรู้ว่าสำนักศึกษาในตำบลแบ่งออกเป็สามห้องเรียน อวิ๋นโส่วหลี่อายุสิบห้าปีก็ได้เรียนอยู่ห้องเรียนสอง ผู้เฒ่าอวิ๋นคิดว่าเขามีพร์ในการเรียนอย่างมาก ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่อายุเพียงสิบสามปี แถมยังบอกว่าบทเรียนง่าย คงเรียนอยู่ห้องเรียนสามเป็แน่
ในที่สุดก็มีทางลง ผู้เฒ่าอวิ๋นได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก รีบพูดตามอวิ๋นฉี่เยว่ “เ้าเด็กนี่ บทเรียนหนักหน่วงเช่นนี้ไยยังรีบกลับบ้านอีก? ไม่เช่นนั้นเ้าก็ไปอยู่กับอาห้าของเ้าเสียเลย เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะประหยัดเวลาเอาไปอ่านหนังสือให้มากขึ้น ท่านอาห้าของเ้ายังช่วยชี้แนะเ้าได้อีกด้วย”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบ “ขอบคุณท่านปู่ที่เป็ห่วง ข้ากับท่านอาห้าเรียนคนละระดับกัน อย่ารบกวนการเรียนของกันและกันจะดีกว่าขอรับ”
ผู้เฒ่าอวิ๋นไม่คิดเลยว่าอวิ๋นฉี่เยว่จะไม่รับน้ำใจของตนจึงยิ่งไม่พอใจ เขามองไปที่อวิ๋นโส่วจง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เ้ารอง เ้าอย่าตามใจลูกมากเกินไป!”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ย “อย่างไรเสียที่บ้านก็มีรถม้า ในทุกวันนอกจากจะรับส่งฉี่เยว่ไปเรียนหนังสือแล้ว ยังสามารถรับส่งคนและขนส่งสินค้าไปด้วย เป็การหารายได้เล็กๆ น้อยๆ”
พอนึกถึงจุดประสงค์ที่ผู้เฒ่าอวิ๋นมาบ้านเขาในคืนนี้ อวิ๋นโส่วจงก็หัวเราะเยาะในใจ ลูกชายของท่านเป็ลูกชาย ส่วนลูกชายของข้าต้องเป็คนติดตามให้ลูกชายของท่านอย่างนั้นหรือ?
ในเวลานี้ อวิ๋นโส่วจงได้ยืนอยู่ตรงข้ามกับผู้เฒ่าอวิ๋นอย่างชัดเจน เขาไม่ใช่ลูกชายของผู้เฒ่าอวิ๋นอีกต่อไป แต่เป็พ่อของอวิ๋นฉี่เยว่! ผู้เฒ่าอวิ๋นไม่คิดว่าลูกชายจะปฏิเสธน้ำใจของตน จึงรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก เขาหวังดีกับอวิ๋นฉี่เยว่และลูกหลานของตระกูลอวิ๋นจริงๆ นะ!
แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้เลอะเลือน เขาคิดว่าที่เป็เช่นนี้อาจเป็เพราะเถาซื่อทำเื่วุ่นวายหลายครั้ง ทำให้เ้ารองไม่พอใจ
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เ้ารอง เ้าออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมาหลายปี ไม่รู้ว่าที่บ้านเองก็ลำบาก ท่านแม่ของเ้าถึงแม้ปากจะร้ายไปหน่อย แต่มิได้ชั่วร้ายอันใด นางทำเช่นนี้... ก็เพื่อน้องห้าของเ้า ตอนนี้น้องห้าของเ้าคือความหวังของตระกูลอวิ๋น! รอจนกว่าน้องห้าของเ้าจะสอบผ่าน ตระกูลอวิ๋นก็จะมีขุนนางในตระกูล! คนตระกูลอวิ๋นก็ไม่ต้องเสียภาษี และไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เ้ารอง พ่อกับแม่ก็ทำเพื่อบ้านของเรา...”