ข่าวที่คุณหนูหนีเจียเอ๋อร์ปฏิเสธคำขอแต่งงานของคุณชายสวีเพ่ยหราน ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ หรือสิงปู้ซ่างซู บุตรชายราชครูสวี ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง
ทันทีที่เื่มาถึงหูหนีจวิ้นหว่าน หญิงสาวก็โมโหเป็ฟืนเป็ไฟ ในเรือนเต็มไปด้วยเศษซากสิ่งของ ที่ถูกทุบทำลายจนพังราบเป็หน้ากลอง แจกันแตกเป็เสี่ยงๆ ม้วนตำราฉีกขาดไม่มีชิ้นดี กระทั่งภาพวาดยังกลายเป็ผุยผง หมดสิ้นซึ่งความงามภายใต้เงื้อมมือ
ผ่านไปสักพัก พายุโทสะจึงค่อยๆ สงบลง
“คุณหนูเ้าคะ” หลิวอวี้กระซิบเรียก แทบไม่กล้ามองเศษข้าวของที่หล่นเกลื่อนพื้น ด้วยเกรงว่าต่อไป ตนอาจมีสภาพไม่ต่างกัน
“อะไร!” หนีจวิ้นหว่านตวัดสายตามามอง ด้วยท่าทีกราดเกรี้ยว
สาวใช้คนสนิทถึงกับสะดุ้ง ตัวสั่นเทา
“พูดมา เร็ว! เ้าก็เห็นว่าวันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี มีเื่เกี่ยวกับนางนั่นหรืออย่างไร?”
ว่าแล้ว ก็จิ้มนิ้วเรียวราวกับหยกเข้าที่หน้าผากหลิวอวี้อย่างแรง
แม้การถูกเล็บแหลมจิกเข้าไปบนผิว จะเ็ปไม่น้อย แต่นางก็ไม่กล้าหลบหลีก จำต้องปล่อยให้หนีจวิ้นหว่านจิ้มซ้ำอีกสองสามที
“คุณหนู ตามความเห็นของบ่าวผู้ต่ำต้อย การที่คุณหนูรองปฏิเสธการสู่ขอ ก็ถือเป็ผลดีต่อท่าน มิใช่หรือเ้าคะ?”
“ท่านพี่หรานต้องทุกข์ทนกับคำครหาไปทั่วเมือง การที่เขาเสียหน้าเช่นนี้ จะดีต่อข้าได้อย่างไร?”
แค่คิดว่าบุรุษผู้สุภาพอ่อนโยนอย่างสวีเพ่ยหราน ถูกกระทำเช่นนี้ ใจก็นึกสาปแช่งหนีเจียเอ๋อร์ ให้ตายๆ ไปเสีย!
“อา... แต่ลองคิดดูสิเ้าคะ ถ้าพวกเขาตกลงปลงใจกันจริงๆ คุณหนูย่อมหมดโอกาส ดังนั้นการที่ยกเลิกงานแต่งย่อมเป็เื่ดี เพราะคุณหนูของข้า จะได้มีโอกาสไปยืนเคียงข้างคุณชายสวีแทน อย่างไรเล่าเ้าคะ!”
“นางบ้า!” หนีจวิ้นหว่านตะคอก
ถึงคนในบ้านจะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกตนสนทนากัน ทว่านางก็ไม่คิดจะประมาท อย่างไรเสีย เื่ที่พูดคุยกันอยู่นี้ก็ถือเป็ความลับ เพราะนางต้องรักษาภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ต่อสายตาของผู้คนในครอบครัวอยู่เสมอ
ต่อให้ความจริงแล้ว หนีจวิ้นหว่านจะเป็คนร้ายกาจมากก็ตาม ด้วยเมื่อมาถึงวัยแรกแย้ม ครอบครัวก็ยิ่งเคร่งครัด มิให้นางออกนอกลู่นอกทางได้โดยเด็ดขาด
“บ่าวผิดไปแล้ว... บ่าวผิดไปแล้วเ้าค่ะ!” หลิวอวี้คุกเข่า โขกศีรษะกับพื้นเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้น นั่งตบหน้าตัวเองไปมาอย่างแรง
พอเห็นใบหน้าอันงดงามค่อยๆ บวมแดง หนีจวิ้นหว่านก็โบกมือ “ลุกขึ้น!”
หลิวอวี้จึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พลางเหลือบมองสีหน้าผู้เป็นายอย่างระมัดระวัง “บ่าวภักดีต่อคุณหนู เชื่อเถอะนะเ้าคะ”
หนีจวิ้นหว่านเพียงพยักหน้าอย่างไม่แยแส แต่มิได้เอ่ยอันใดอีก
ถึงเวลาอาหารเย็น ทั้งครอบครัวก็มานั่งล้อมวง เมื่อเห็นหนีเจียเอ๋อร์ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โทสะในใจของหนีจวิ้นหว่านก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกรอบ
หลังกินข้าวเสร็จ ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว
หนีเจียเอ๋อร์หันไปมองกำแพงสวนดอกไม้โดยรอบ ก่อนหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียง...
“คนอกตัญญู!”
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าเป็หนีจวิ้นหว่าน ก็เม้มปากอย่างกระวนกระวาย ก่อนยิ้มให้ “ใหมดเลย! ไม่ทราบว่าพี่หญิงมีธุระอันใด ถึงได้มาดักรอข้าหลังพุ่มไม้เช่นนี้?”
พอเห็นอีกฝ่ายเข้าใจไปว่า ตนมาซ่อนตัวเพื่อเล่นตลก นางก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ หนีจวิ้นหว่านจึงปรายตามอง แล้วพูดเสียงเย็น “ข้ามารอเ้า เพราะอยากรู้บางอย่างก็เท่านั้น”
“เชิญพี่หญิงพูดเถอะ” หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้ว รอฟังคำพูดต่อไป
“เหตุใดวันนี้เ้าถึงปฏิเสธการสู่ขอ ท่านพี่หรานจริงใจต่อเ้า แต่เ้ากลับล้อเล่นกับความรู้สึกของเขา ก่อนหน้านี้ ยังแสดงท่าทีว่าชอบพอกันมาตั้งนาน แต่พอถึงเวลาสู่ขอ กลับบอกว่าเป็ได้แค่พี่น้อง”
หนีจวิ้นหว่านหยุดครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ “ช่างสมเป็นางจิ้งจอก ผู้มีจิตใจชั่วร้ายจริงๆ!”
หลังฟังคำบริภาษของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนีเจียเอ๋อร์ก็มิได้อารมณ์ดีนัก แต่ก็ยังพยายามควบคุมความพลุ่งพล่านในอกอย่างเต็มที่ แม้จะยากเย็นก็ตาม
ความรักที่ตนมีต่อสวีเพ่ยหรานนั้น อ่อนหวานลึกซึ้งนัก ทว่าในชาติก่อน นางเคยแต่งงานกับเขามาแล้ว...
ส่วนหนีจวิ้นหว่าน กลับมิได้แต่งงานตลอดชีวิต ซ้ำยังออกบวชอีกต่างหาก คราแรกยังคิดว่าพี่สาวเพียงรู้สึกเสียหน้าและโกรธเคือง ที่ถูกทำให้อับอายเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปสิบปี นางยังคงยึดมั่นในวิถีแห่งธรรม
หนีเจียเอ๋อร์เคยไปเยี่ยมเยียน ด้วยคิดว่าสุดท้ายแล้ว อีกฝ่ายก็ยังเป็พี่น้องร่วมสายเื พลางนึกว่าคงจะโดนด่าทอเสียยกใหญ่ แต่ผิดคาด ที่อีกฝ่ายเฉยเมย เอาแต่สนใจพระคัมภีร์
“ท่านไม่เกลียดข้าแล้วหรือ? หากเป็ท่านคนเดิม คงจะด่าข้าไปแล้ว พี่หญิงดีใจหรือไม่ ที่เห็นข้าเป็เช่นนี้!”
“โยม ตอนนี้แม่ชีได้ละทุกสิ่ง ปล่อยวางตัวตนไปแล้ว!”
ชาติก่อน พอแต่งงานได้ไม่กี่ปี หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไป ไม่ต้องพูดถึงบ่วงแห่งความทุกข์ทน ที่เกิดจากอารมณ์และความปรารถนา
บัดนี้ เมื่อได้เผชิญหน้ากับหนีจวิ้นหว่านอีกครั้ง แล้วยังเห็นสีหน้าสดใสของนาง ความโกรธเคืองที่ถูกใส่ความในชาติที่แล้ว พลันสลายกลายเป็หมอกควัน เหลือไว้เพียงความสงสารและละอายแก่ใจ อยากขอโทษพี่สาว ที่ทำลายความสดใสและงดงามในวัยเยาว์ของนาง จนทำให้อีกฝ่ายต้องละจากทางโลกไป
ส่วนหนีจวิ้นหว่านที่คิดว่าน้องสาวคงจะโต้เถียง พอเห็นสีหน้าสงบเสงี่ยมเช่นนั้น ก็รู้สึกสงสัยอยู่พักหนึ่ง ตนมิใช่พี่ที่ดีนัก สิ่งใดที่สามารถสร้างความลำบากให้ผู้เป็น้องได้ นางย่อมยินดีที่จะทำ
ทว่าวันนี้ อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะตอบโต้ หญิงสาวจึงยิ่งระแวง จนผงะถอยไปก้าวหนึ่ง
แต่แล้ว หนีเจียเอ๋อร์ก็อดมิได้ที่จะยั่วยุอีกฝ่าย
“พี่หญิง ที่ข้าปฏิเสธท่านพี่หรานไป มิใช่ว่าเป็เื่ดีสำหรับท่านหรอกหรือ?” นางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางพูดต่อ “พี่หญิง ข้ารู้ว่าท่านรู้สึกอย่างไรกับท่านพี่หราน สำหรับท่าน การที่ข้าตัดขาดความรักครานี้ นับเป็เื่ดีมิใช่หรือ?”
“เหอะ! คิดว่าตนเองเป็คนดี มีเมตตาถึงเพียงนั้นเชียว?”
หนีจวิ้นหว่านมองน้องสาวหัวจรดเท้าอย่างระแวดระวัง แต่ไม่พบพิรุธใด นางหาใช่คนโง่ คนทั้งสองที่รักกันมากขนาดนั้น จะยอมแยกจากกันง่ายๆ ได้อย่างไร!
“ข้าปฏิเสธการแต่งงานไปแล้ว ดังนั้น พี่หญิงไม่ต้องระแวงข้าหรอก” หนีเจียเอ๋อร์เอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนเปลี่ยนเื่ “ข้ารู้สึกกับพี่หรานอย่างพี่น้อง ดังนั้นเพื่อไม่เป็การให้ความหวัง ข้าจะไม่ติดต่อเขาอีก”
“เหอะ! เป็เพราะเ้าไม่รู้จักเว้นระยะห่าง ถึงทำให้ท่านพี่หรานเข้าใจผิดเช่นนี้” กระนั้นหนีจวิ้นหว่านก็ยังโทษ ว่าเื่นี้เป็ความผิดของหนีเจียเอ๋อร์
แต่นางไม่ใส่ใจคำพูดทิ่มแทงของพี่สาว เพราะยามนี้ตนได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขากับนางก็ไม่มีวันเกี่ยวข้องกันอีก คำพูดเสียดสีของหนีจวิ้นหว่าน ย่อมไม่ส่งผลอันใดต่อนาง
“หากพี่หญิงมีความรักลึกซึ้งต่อท่านพี่หราน เหตุใดไม่ใช้จังหวะนี้ เพื่อปลอบโยนเขา หากไม่คว้าโอกาสเอาไว้ ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาแทรก อาจจะเสียใจในภายหลังก็ได้นะเ้าคะ” หนีเจียเอ๋อร์เตือนด้วยความหวังดี
(จบฉาก)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้