เสิ่นเสวียนมองเสวียนหลิงเอ่อร์อย่างพิจารณา พลางกล่าวอย่างสงสัย “ท่านเชื่อใจข้าขนาดนี้ ไม่กลัวข้าจะเป็ภัยต่อท่านหรือ”
“เ้าไม่ทำหรอก”
เสิ่นเสวียนเพียงได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเสวียนหลิงเอ่อร์ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันไพเราะ
“ข้าไม่ทำหรือ”
เสิ่นเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ หันมองร่างของนางที่นอนอยู่ในโลงศพ และมองร่างิญญาของเสวียนหลิงเอ่อร์อีกครั้ง
ความจริงแล้ว แม้นางไม่กล่าวถึงเขาก็คิดจะนำร่างของนางออกไปอยู่แล้ว
เพียงเพราะอีกฝ่ายให้ความรู้สึกถึงไอพลังที่มาจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้หลังจากได้มาอยู่ในโลกใหม่แห่งนี้ อีกฝ่ายต้องมีความเป็มาที่ไม่ธรรมดา แม้จะไม่ได้มาจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร แต่ต้องมีความสัมพันธ์บางอย่าง
“ได้ ตกลงตามนั้น”
เสิ่นเสวียนพยักหน้าให้เสวียนหลิงเอ่อร์ รับปากคำขอของอีกฝ่าย
“อย่าเพิ่งรีบร้อนตอบตกลง อยากพาข้าออกไปไม่ใช่เื่ง่าย เก็บมันให้ได้ก่อน”
เสวียนหลิงเอ่อร์มองโลงศพสีแดงที่ด้านล่าง บอกเป็นัยให้เสิ่นเสวียนเก็บโลงศพเข้าไป
“พาท่านออกไปเฉยๆ ไม่ได้หรือ”
“ข้าโดนผนึกไว้ที่นี่ แม้เ้าจะเปิดฝาออกได้แต่ยังมิอาจทำให้ข้าหลุดพ้น มีเพียงต้องนำออกไปพร้อมกัน”
“อ้อ”
เสิ่นเสวียนยืนอยู่บนฝาโลงศพ จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงใช้มือลูบโลงศพสีแดงเบาๆ ทันทีที่ฝ่ามือััโดนโลงศพ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นวาบ ไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย รวมไปถึงร่างของนางที่นอนอยู่ในโลงศพด้วย
โลงศพสีแดงโลงนี้มีค่ายกลปิดผนึกอยู่ภายในจริงๆ และค่ายกลนี้ยังแปลกมากอีกด้วย
ดูผิวเผินแล้วมีดวงตาค่ายกลอยู่เพียงสี่แห่ง กล่าวกันตามตรง หากทำลายดวงตาค่ายกลเหล่านี้ได้ก็จะทำลายค่ายกลได้ ทว่าในดวงตาค่ายกลแต่ละแห่งมีดวงตาค่ายกลเล็กๆ อยู่อีกสี่แห่ง ซึ่งยังไม่จบสิ้นลง ดวงตาค่ายกลเหล่านี้จะมีดวงตาค่ายกลทับซ้อนไปอีกเป็ชั้นๆ มันซับซ้อนกระจัดกระจายไปทั่วทั้งโลงศพ เหมือนกลายเป็กรงขัง
หากจะเรียกมันว่าโลงศพ ให้เรียกมันว่าการหลอมรวมค่ายกลน่าจะถูกต้องกว่า
อยากทำลายค่ายกลนี้ แม้แต่เซียนที่ฝ่าด่านเคราะห์ไปแล้วยังไม่แน่ว่าจะทำได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเขาในตอนนี้เลย
“ข้าทำลายมันไม่ได้”
เสิ่นเสวียนลุกขึ้นยืนพลางส่ายหัว รู้สึกขอโทษต่อเสวียนหลิงเอ่อร์
“ดูซิว่าจะเอาโลงศพไปทั้งโลงเลยได้ไหม” เสวียนหลิงเอ่อร์กล่าวกับเสิ่นเสวียน
“ได้”
เสิ่นเสวียนพยักหน้า เขามั่นใจว่าเขาสามารถทำได้
จากนั้นเขาก็สะบัดมือออกไป คลื่นพลังมิติสั่นะเืขึ้นตรงหน้าเตรียมที่จะดึงโลงศพเข้าไปในมิติทั้งโลง
มิติผังเมืองซานเหอของเขาในตอนนี้มีความสามารถในการรวบรวมทุกสรรพสิ่ง แน่นอนว่าโลงศพโลงนี้ไม่ใช่ปัญหา
ทว่าหลังจากสะบัดมือออกไปแล้ว โลงศพกลับวางอยู่ที่เดิมโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันไม่โดนดูดเข้าไปในมิติ เมื่อเห็นดังนั้นเสิ่นเสวียนก็มุมปากกระตุกเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน
เขาจึงสะบัดแขนเสื้อออกไปอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ
แต่โลงศพสีแดงยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
“หืม?”
เสิ่นเสวียนะโลงจากโลงศพแล้วเดินวนไปรอบๆ มันวางอยู่บนแท่นหินธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่ได้มีรากยึดติดใดๆ เขาส่งพลังจิติญญาออกไปััก็มั่นใจว่ามันถูกวางไว้เฉยๆ ทำไมถึงเก็บเข้าไปในมิติไม่ได้
เมื่อเห็นเสิ่นเสวียนทำสีหน้าลำบากใจ เสวียนหลิงเอ่อร์จึงยิ้มเล็กน้อย เตรียมบอกเสิ่นเสวียนถึงวิธีเก็บโลงศพ แต่แล้วนางก็เห็นดวงตาของเสิ่นเสวียนเบิกโตขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นเสวียนเดินไปด้านหลังของโลงศพ ใช้สองมือของเขาผลักโลงศพที่เย็นะเื จากนั้นออกแรงด้วยพลังมหาศาลทำให้โลงศพเคลื่อนที่ไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นด้วยแรงกระตุ้นของเขาทำให้พลังมิติที่น่ากลัวพวยพุ่งออกมาปกคลุมโลงศพสีแดงเอาไว้
ต่อมาโลงศพนั้นก็หายไปจากแท่นหิน
“เ้ามีของวิเศษด้วยหรือ”
เสวียนหลิงเอ่อร์กล่าวถามเสิ่นเสวียนด้วยแววตาเป็ประกาย คล้ายกับมองเห็นความหวัง
“เป็ถุงใบหนึ่งเท่านั้น ทำไมหรือ”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับเสวียนหลิงเอ่อร์เสียงเรียบ ไม่ได้เปิดเผยความลับของผังเมืองซานเหอออกไป อีกอย่าง แม้จะบอกไปอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจ
“ให้ข้าดูหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก มันเป็ความลับของข้า”
เสิ่นเสวียนปฏิเสธทันที เขาเกิดความระแวงในตัวเสวียนหลิงเอ่อร์เล็กน้อย และยิ่งทำให้เขามั่นใจในการคาดเดาของตนเองว่าอีกฝ่ายต้องรู้เื่เกี่ยวกับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่สงสัยถึงศาสตราเทพของเขา
“ก็ได้ ภายหน้าเ้าจะเชื่อข้าเอง”
เสวียนหลิงเอ่อร์ยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มงดงามล่มเมืองเช่นนี้ แม้แต่เสิ่นเสวียนยังยากหลบเลี่ยงได้ เสิ่นเสวียนพยายามตั้งสติเอาไว้ อีกฝ่ายร้ายกาจยิ่งนัก แม้แต่เขาที่จิตใจเข้มแข็งขนาดนี้ยังถูกรบกวนได้ง่ายๆ ไม่ใช่เื่ที่ดีเลย
“ตอนนี้ท่านบอกข้าได้แล้วใช่ไหมว่าผู้เฒ่าจี๋เล่ออยู่ที่ใด!”
หลังจากเก็บโลงศพสีแดงเข้าไปในมิติแล้ว เสิ่นเสวียนจึงถามเสวียนหลิงเอ่อร์
ส่วนเสิ่นเสี่ยวเม่ยและเสิ่นเลี่ยนที่กำลังฝึกฝนอยู่ในมิติ อยู่ดีๆ ก็มีโลงศพสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ทำให้พวกเขาตื่นใเป็อย่างมาก เพียงแต่โลงศพนี้ถูกปิดไว้ มองไม่เห็นอะไรเลย เสิ่นเสวียนไม่ได้บอกอะไรพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ถาม ั้แ่ที่ได้เข้ามาในนี้ ทุกอย่างมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย จึงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเสวียนหลิงเอ่อร์
“ตามข้ามา”
ร่างิญญาของเสวียนหลิงเอ่อร์ล่องลอยอยู่ภายในถ้ำหลายรอบ แล้วนางก็ลอยออกไปด้านนอกถ้ำด้วยความตื่นเต้น
นางโดนขังอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้ออกไปภายนอก ทำให้นางตื่นเต้นราวกับเด็กคนหนึ่ง
เสิ่นเสวียนเดินตามหลังนางออกไป เขาได้รู้จากอีกฝ่ายว่าขอเพียงิญญาอยู่ในรัศมีสามจั้งจากร่าง ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น
“ระวังด้านหน้าด้วย พวกมันแข็งแกร่งมาก”
เสิ่นเสวียนมองเสวียนหลิงเอ่อร์ล่องลอยออกไป จึงกล่าวเตือนอีกฝ่ายทันที
ภายในถ้ำเบื้องหน้าเต็มไปด้วยจระเข้เขี้ยวดาบที่กำลังหลับใหล จระเข้เขี้ยวดาบวัยเติบโตตัวหนึ่งสามารถกลืนร่างของเขาเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจระเข้เขี้ยวดาบตัวเต็มวัยเ่าั้เลย
หากต้องสู้กันจริงๆ เขาคงทำอะไรพวกมันไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
“ตามข้ามาก็พอแล้ว”
เสวียนหลิงเอ่อร์ลอยอยู่ด้านหน้า เสียงของนางดังเข้ามาในหูของเสิ่นเสวียน ทว่ารอบๆ ร่างของนาง จระเข้เขี้ยวดาบเ่าั้ที่กำลังนอนหลับอยู่ััได้ถึงเสวียนหลิงเอ่อร์ ต่างนอนหมอบอยู่ที่พื้นด้วยความหวาดกลัว ไม่ต้องกล่าวถึงการจู่โจมเลย
เสิ่นเสวียนเดินตามหลังนางไปติดๆ กลัวว่าเสวียนหลิงเอ่อร์จะวิ่งออกไป
“ท่านทำได้อย่างไร”
“ข้าเห็นเ้าตัวเล็กพวกนี้เติบโตมาตลอด เ้าคิดว่าอย่างไร”
เสวียนหลิงเอ่อร์อารมณ์ดีมาก นางเดินอยู่ด้านหน้าพลางกล่าวกับเสิ่นเสวียนอย่างร่าเริง เื่ที่เสิ่นเสวียนไม่เคารพนางก่อนหน้านี้นางสลัดทิ้งไปจากความคิดนานแล้ว
เสิ่นเสวียนเดินตามหลังไปไม่กล่าวอะไรอีก เขารู้ดีว่าตนเองอาจเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเข้าแล้ว ทว่าเป็เช่นนี้ก็ดี สองฝ่ายต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างได้ประโยชน์ ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด
พวกเขาเดินมาถึงทางออกจากถ้ำอย่างรวดเร็ว หากเดินหน้าออกไปอีกจะเป็แอ่งน้ำที่ดำมืด ตรงปากถ้ำมีม่านพลังที่มองไม่เห็นปกป้องอยู่ ทำให้น้ำในแอ่งไม่ไหลเข้ามา
ทว่านางกลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นางเหาะขึ้นไป้าอย่างช้าๆ ขณะที่เหาะออกไป น้ำเบื้องหน้ากลับแหวกออกกลายเป็เส้นทางเดิน เสิ่นเสวียนจึงตามหลังนางออกไปทันที
เหนือแอ่งน้ำภายนอก
เสวียนหลิงเอ่อร์และเสิ่นเสวียนเหาะอยู่บนท้องฟ้าด้วยกัน
“คิดไม่ถึงว่าข้าโดนจระเข้เขี้ยวดาบกลืนเข้าไปแล้วจะได้เจอกับท่าน”
“อาจเป็วาสนาก็ได้! แต่โชคดีที่เ้าได้เจอกับข้า ไม่อย่างนั้นเ้าคงหาเด็กตัวน้อยคนนั้นไม่เจอง่ายๆ หรอก”
เสวียนหลิงเอ่อร์ล่องลอยอยู่ พยายามััถึงอากาศภายนอกอย่างเต็มที่ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมาก
“ท่านจะบอกถึงตัวตนของท่านให้ข้ารู้เมื่อไร”
เสิ่นเสวียนพลันจู่โจมถามอีกฝ่าย
“รอให้ข้าเชื่อใจเ้าอย่างสมบูรณ์ก่อน และเ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ที่ไม่บอกอะไรข้าเลย”
อีกฝ่ายกล่าวออกมาตรงๆ เช่นนี้ก็ดี ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา มีอะไรก็บอกกล่าวกันเลย
เพียงไม่นานพวกเขาก็ข้ามผ่านแอ่งน้ำ ข้ามผ่านูเาเล็กๆ ลูกหนึ่งไป เจอกับทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินไปในทุ่งหญ้าราวครึ่งวัน ในที่สุดก็มาอยู่เบื้องหน้าูเาหินสีขาว
“ตรงหน้านี้คือสถานที่อันสงบสุขของเด็กตัวน้อยคนนั้น”
เสวียนหลิงเอ่อร์ชี้ไปยังูเาหินสีขาวตรงหน้าพลางกล่าว
“สุสานของผู้เฒ่าจี๋เล่อ”
เสิ่นเสวียนพยักหน้า แววตาของเขาฉายความตื่นเต้นดีใจออกมา เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าจี๋เล่อแล้ว เสวียนหลิงเอ่อร์ผู้นี้ลึกลับยิ่งกว่ามาก แค่นางไม่บอกใครก็มิอาจล่วงรู้ความลับของนางได้ แต่ผู้เฒ่าจี๋เล่อนั้นไม่เหมือนกัน ขอเพียงก้าวผ่านเข้าไปอาจพบเจอบางอย่างได้
“ท่านพี่ ภายนอกเป็อย่างไรบ้าง”
ขณะนั้นเสียงของเสิ่นเสี่ยวเม่ยดังออกมาจากในมิติ นานแล้วที่นางมองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรจากภายนอกเลย ทำให้นางเป็ห่วงเสิ่นเสวียนมาก
“อ้อๆ ไม่มีอะไรแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของเสิ่นเสี่ยวเม่ย เสิ่นเสวียนจึงพบว่าตนเองลืมเสิ่นเสี่ยวเม่ยไว้ในมิติเสียแล้ว
เขาจึงหันไปมองเสวียนหลิงเอ่อร์เล็กน้อยเป็เชิงถาม
“ท่านคงไม่มีปัญหา หากข้าให้น้องสาวรู้ถึงการมีอยู่ของท่านหรอกใช่ไหม”
“ให้นางออกมาเถอะ ข้าชอบนาง”
เสวียนหลิงเอ่อร์ยิ้มบางๆ พลางกล่าว