ณ ตำหนักยาซินในวังหลวง
หลังจากยุ่งมากว่าสิบวันติดต่อกัน ในที่สุดหลิวหงเหยียนก็สามารถหาเวลาไปพบกับหลัวเลี่ยตามลำพังได้
ตำหนักยาซินเป็สถานที่ในพระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับพักผ่อนร่างกาย แผนผังของตำหนักยาซินนี้สง่างามมาก มีสะพานเล็กๆ และสายน้ำไหล มีเสียงนกร้องและดอกไม้หอม มีสัตว์หายากและแปลกใหม่กำลังเล่นกันอย่างน่ารัก ทุกสิ่งทำให้ผู้คนคลายความกังวล
“วันนี้ไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ?” หลิวหงเหยียนอารมณ์ดีเป็พิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นหลัวเลี่ยก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก
เมื่อคิดแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางต้องทนรับความอัปยศอดสูภายใต้ร่มเงาของชงโหวหู่ั้แ่นางขึ้นครองบัลลังก์ นับดูแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่นางภาคภูมิใจ และมีโอกาสพลิกฟื้นมาปกป้องบัลลังก์ได้
“ก็พอได้”
หลัวเลี่ยใช้เวลาเพียงสิบวันในการทำความเข้าใจความเป็ไปของ์และโลก เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเบื่อ
และเขายังมีความรู้สึกที่อยากแข็งแกร่งขึ้นอีก ถ้าเขา้าที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขาก็ต้องฝึกฝนอย่างหนัก
“พี่หงเหยียนอยากจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ของเ้าในครั้งนี้” หลิวหงเหยียนเม้มริมฝีปาก ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ด้วยเหตุนี้ ข้าได้เตรียมของขวัญบางอย่างไว้ให้เ้า”
ดวงตาของหลัวเลี่ยเป็ประกาย “พระองค์สมแล้วที่เป็จักรพรรดินี ของขวัญจากพระองค์คงไม่เลวเป็แน่”
หลิวหงเหยียนหัวเราะ และพูดว่า “สัญญาว่าสิ่งนี้จะทำให้เ้าพึงพอใจเป็แน่”
หลัวเลี่ยถูมือสองข้างเข้าด้วยกัน และตั้งหน้าตั้งตารอ
“ของขวัญชิ้นแรกนี้ ไม่สามารถนับว่าเป็ของขวัญได้ อันที่จริงแล้วมันควรเป็ของเ้าั้แ่แรก” หลิวหงเหยียนหยิบคันธนูสีดำขนาดใหญ่ออกมา
คันธนูยาวสีดำเปล่งความเย็นออกมาเล็กน้อย และสายธนูขึงตึงดั่งเอ็นั เมื่อขยับสายเล็กน้อยก็เปล่งเสียงคล้ายเสียงัออกมา
ไม่แน่ชัดว่าเป็เพราะการฝึกเคล็ดวิชาั์หรือไม่ หลัวเลี่ยจึงชอบลงมือ และเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเอง ตรงกันข้าม เขาไม่ค่อยสนใจพลังจากภายนอก เช่นอาวุธวิเศษ
ดังนั้นธนูยาวนี้ สำหรับเขาแล้วไม่ถือว่าเป็เื่ที่น่าดีใจมากนัก
“นี่เป็สมบัติวิเศษของท่านอ๋อง เขาเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเ้าฝึกวรยุทธ์แล้วให้มอบมันให้เ้า แต่ถ้าเ้ายังไม่มีความสนใจในวรยุทธ์ก็อย่าได้มอบให้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับเ้า เพราะคันธนูซวนินี้ไม่ใช่อาวุธธรรมดา” หลิวหงเหยียนกล่าว
“เขาใช้ธนู?” หลัวเลี่ยตกตะลึง
หลิวหงเหยียนส่ายหน้า “ท่านอ๋องไม่เก่งเื่ธนู คันธนูนี้เขาได้รับมาโดยบังเอิญเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มันเป็สมบัติล้ำค่ามาก เขาเคยดัดแปลงคันธนูแล้ว แต่เขาไม่มีพร์ในด้านนี้จริงๆ ดังนั้นจึงเก็บมันไว้ และั้แ่นั้นมาธนูนี้ก็ไม่เคยต้องแสงอาทิตย์อีกเลย กล่าวได้ว่าธนูซวนิที่อยู่ในมือของท่านอ๋องนี้ไม่มีใครรู้เื่เลย นอกจากข้าที่ท่านอ๋องมอบเอาไว้ให้ก่อนที่เขาจะจากไป ตอนนี้เ้าได้ก้าวเข้าสู่การฝึกวรยุทธ์แล้ว ข้าขอมอบคันธนูซวนินี้คืนให้กับเ้า”
หลัวเลี่ยหยิบธนูซวนิมา มันหนัก และเขาสามารถบอกได้ว่าธนูนี้ไม่ธรรมดาเลย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีความสนใจเลยจริงๆ
ดังนั้นจึงเก็บมันไว้อย่างลวกๆ
หลิวหงเหยียนก็ไม่สนใจเช่นกัน จริงๆ แล้วนางรู้ว่าผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาวุธมากนัก เพราะด้วยความสามารถเช่นนี้ หากพวกเขาฝึกฝนต่อไป ในอนาคตพวกเขาอาจสามารถทุบอาวุธวิเศษได้ด้วยหมัด
นางหยิบสิ่งที่สองออกมา “นี่คือของขวัญชิ้นที่สอง และเป็ของขวัญจริงๆ ที่ข้าจะมอบให้เ้า”
“กระเป๋าเฉียนคุณ” หลัวเลี่ยพบว่ามันเป็ถุงสีเหลืองอ่อนขนาดเท่ากำปั้น
“กระเป๋าเฉียนคุณใบนี้หาใช่กระเป๋าเฉียนคุณทั่วไป มันเป็ของที่มีค่าที่สุดในคลังสมบัติของตระกูลหวัง มันมีพื้นที่ภายในขนาดใหญ่ ใหญ่ถึงขนาดที่สามารถเก็บตำหนักยาซินนี้ได้ และยังสามารถหล่อเลี้ยงจิติญญาของสัตว์วิเศษบางอย่าง หรือสิ่งต่างๆ เช่น ดอกไม้แปลกๆ และพืชแปลกๆ เป็ต้น” หลิวหงเหยียนกล่าว
หลัวเลี่ยย่อมสนใจกระเป๋าเฉียนคุณใบนี้อยู่แล้ว เขาหยิบมันขึ้นมา ก่อนหยิบธนูซวนิออกมา จากนั้นพื้นที่ภายในของกระเป๋าเฉียนคุณนี้ก็ปรากฏออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว และเก็บเอาคันธนูซวนิเข้าไปข้างใน จากนั้นหลัวเลี่ยจึงมัดกระเป๋าเฉียนคุณติดไว้ที่เอวของเขา
หลิวหงเหยียนยิ้มและพูดว่า “ของขวัญชิ้นที่สาม ข้าหาอาจารย์สองคนมาให้เ้า”
“อาจารย์?” หลัวเลี่ยประหลาดใจเล็กน้อย
“สองท่านนี้เป็จอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในรัศมีเกือบหมื่นลี้ ทั้งคู่มีระดับวรยุทธ์อยู่ในขั้นวังชะตา คนหนึ่งชื่อฉินจื้อ และอีกคนชื่อเหยาเฟิง พวกเขาท่องไปทั่วยุทธภพ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับแคว้นใดเป็พิเศษ และด้วยฐานะอาคันตุกะของฮ่องเต้ในหลายๆ แคว้น หากเ้าได้รับการยอมรับจากพวกเขา และถูกรับเป็ศิษย์แล้ว มันจะเป็ประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาของเ้าในอนาคต” ก่อนที่หลิวหงเหยียนจะพูดจบ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกตำหนักยาซิน
เสียงฝีเท้านั้นเบามาก ราวกับคนที่เดินอยู่นั้นมีร่างกายที่เบาราวกับขนนก และความถี่ในการเดินก็เท่าเดิม ไม่มีการผิดจังหวะเลยสักนิด นอกจากนี้แต่ละก้าวที่เดินก็ระยะทางเท่ากันทั้งหมด
หลัวเลี่ยตั้งใจเงี่ยหูฟัง เขาได้ยินเสียงลมหายใจยาวๆ ของคนสองคน นอกจากนี้ยังใช้เวลากว่าสี่สิบวินาทีในการหายใจจนครบหนึ่งรอบ และในระหว่างลมหายใจ คล้ายกับพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายในระดับที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เสมือนเป็การชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ
ผู้มีฝีมือ!
นี่เป็ความรู้สึกแรกของหลัวเลี่ย
ตามความเข้าใจของเขา ในบรรดาปรมาจารย์ที่เขาพบเห็น มีเพียงชงโหวหู่เท่านั้นที่สามารถไปถึงระดับดังกล่าวได้
ชายวัยกลางคนทั้งสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งสูงและอีกคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งผิวดำและอีกคนผิวขาว คนหนึ่งยิ้มแย้มและอีกคนหนึ่งเ็า พวกเขาคือฉินจื้อและเหยาเฟิง
เมื่อเห็นสองคนนี้ หลิวหงเหยียนก็ยืนขึ้นเพื่อทักทายพวกเขา
ทั้งสองคนไม่หยิ่งผยอง พวกเขาสุภาพมาก
หลังจากที่ได้สบตากัน ดวงตาของทั้งสองคนก็มองตรงไปยังหลัวเลี่ยโดยพร้อมเพรียงกัน ฉินจื้อกล่าวว่า “นี่คือหลัวเลี่ย ผู้ที่ผ่านบททดสอบผู้พิชิตแล้วได้รับตราคำสั่งผู้พิชิต อีกทั้งเป็ผู้ที่สืบทอดสองตำแหน่งหรือ?”
“ดูมีพร์ แต่ไม่รู้ว่ามีอนาคตในทางวรยุทธ์หรือไม่” เหยาเฟิงกล่าว
ดวงตาของคนทั้งสองเป็เหมือนคบไฟ ราวกับว่าพวกเขา้ามองหลัวเลี่ยอย่างทะลุปรุโปร่ง
หลัวเลี่ยรู้สึกอึดอัดจากการถูกจับตามอง กล่าวคือเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ และมีความสามารถบางอย่างที่จะต้านทานการแอบมองแบบนี้ มิฉะนั้นเขาอาจสามารถมองทะลุทั้งหมดได้
“ก็พอได้”
“มีโอกาสในการเป็ศิษย์ของพวกเรา”
ทั้งสองพูดออกมา
หลิวหงเหยียนมีความสุขมากเมื่อได้ยิน “หลัวเลี่ย เ้ายังไม่รีบทำความเคารพอาจารย์อีก”
“ไม่!” ฉินจื้อที่มีใบหน้ายิ้มแย้มพูดอย่างจริงจัง “ฝ่าา มีบางอย่างที่ท่านควรทราบ เราสองคนจำเป็ต้องทดสอบเพื่อรับศิษย์ แม้จะเป็ความจริงที่หลัวเลี่ยผ่านการทดสอบผู้พิชิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถพิเศษและศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งต่างๆ เช่นศักยภาพนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง ไม่สามารภนำมาเป็หลักยึดได้ สิ่งที่กำหนดอนาคตของคนคนหนึ่งที่แท้จริงคือพลังแห่งความเข้าใจ และมีเพียงความเข้าใจที่ไม่ธรรมดาเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จได้”
เหยาเฟิงกล่าว “เราสองคนไม่เคยรับศิษย์ เพราะไม่มีใครที่สามารถตอบสนองความ้าของเราได้ หลัวเลี่ยจะเป็ศิษย์ของเราได้หรือไม่ ก็ต้องทดสอบเสียก่อนจึงจะสามารถบอกได้”
หลิวหงเหยียนหันไปมองหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยก้าวไปข้างหน้า เผชิญหน้ากับผู้าุโทั้งสอง และพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้าุโทั้งสองจะทดสอบความเข้าใจของข้าได้อย่างไร”
เหยาเฟิงมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมา จึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ก่อนจะมาที่นี่ พวกเราได้คิดไว้แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเราสองคนได้ชมการต่อสู้ระหว่างัและสัตว์ร้ายในทะเล จึงได้สร้างทักษะการเคลื่อนไหวทางกายภาพขึ้นมาชนิดหนึ่ง มันเรียกว่าวิชาก้าวั และข้าจะสอนมันให้เ้าในตอนนี้ ถ้าเ้าสามารถไปถึงระดับเริ่มต้นได้ภายในสามเดือน เ้าจะได้รับการยอมรับในฐานะศิษย์ของเรา และถ้าเ้าสามารถไปถึงระดับเริ่มต้นได้ภายในห้าเดือน เ้าจะรับใช้เราสองคนได้ แต่ถ้าเกินห้าเดือน หมายความว่าไม่มีชะตาผูกพันกับเราสองคน และให้ถือเสียว่าทักษะการเคลื่อนไหวทางกายภาพนี้ เป็ของขวัญที่มอบให้แก่ผู้สืบทอดแห่งราชันผู้พิชิตเถิด”
เมื่อหลัวเลี่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
หลิวหงเหยียนก็ยิ้มเช่นกัน
เป็ความจริงที่การฝึกวรยุทธ์นั้นขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจของคนคนหนึ่ง แต่การฝึกฝนวรยุทธ์เช่นนี้ดูเหมือนจะง่ายเกินไปสำหรับหลัวเลี่ย เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนที่ฝึกทักษะหมัดผู้พิชิต ซึ่งเป็แก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้ตลอดชีวิตของผู้พิชิต หลัวเลี่ยกลับไปถึงระดับถ่องแท้ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง