“ผลลัพธ์ออกมาแล้ว เห็นทีสายตาขององค์ชายเว่ยจะไม่ค่อยดี!” จ้าวซินอี๋เห็นเย่เฟิงเอาชนะกู่เฉียงก็ยิ้มแย้ม แต่จากนั้นนางหุบยิ้มแล้วหันไปพูดกับเว่ยฉีเทียน
“หึ!” เว่ยฉีเทียนเผยสีหน้าดูไม่ได้ เขาไม่ชอบใจนักที่ถูกจ้าวซินอี๋ตอกย้ำเช่นนี้
“นี่แค่เพิ่งเริ่ม เย่เฟิงจะยืนหยัดได้นานแค่ไหนก็ยังไม่แน่นอน ข้าหวังว่าองค์หญิงซินอี๋จะไม่คาดหวังกับคนผู้นี้มากเกินไป” เว่ยฉีเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เย่เฟิงเอาชนะกู่เฉียงผู้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 9 มันเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
“พี่เว่ย ท่านว่าพร์ของน้องเย่เป็อย่างไร?” จ้าวเยี่ยกล่าวกับเว่ยฉีเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอต้นเสมอปลาย
“พร์ไม่เลว แต่ยังด้อยกว่าอัจฉริยะเ่าั้ของอาณาจักรเว่ยข้า เผลอ ๆ อยู่คนละระดับด้วยซ้ำ บางทีผู้ฝึกยุทธ์สามอันดับแรกในรายนามเฟิงอวิ๋นอาจจะทัดเทียมกับอัจฉริยะของอาณาจักรข้าได้” เว่ยฉีเทียนกล่าวดูถูกเย่เฟิงโดยไม่ปกปิด แต่เมื่อคำพูดของเขาดังเข้าไปในหูของจ้าวเยี่ยกลับถ่ายทอดอีกความหมายหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรจ้าว ไม่มีใครเข้าตาเว่ยฉีเทียนเลยสักคนเดียว นี่ทำให้จ้าวเยี่ยตาวาบประกายคมกริบพลางคิดในใจว่า “เว่ยฉีเทียนผู้นี้ยโสโอหังมากไปแล้ว คิดว่าอาณาจักรเว่ยของเขามีอำนาจมาก แล้วจะดูถูกอัจฉริยะในอาณาจักรข้าได้งั้นหรือ”
“ท่านทูตทุกท่าน อาณาจักรจ้าวมีคนเก่ง ๆ มากมาย บัดนี้มีอัจฉริยะปรากฏตัวในงานเลี้ยง เขาใช้พลังขั้นรวมชี่ที่ 5 เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 9 หากท่านใดอยากแลกเปลี่ยนวิชากับอัจฉริยะของอาณาจักรจ้าว เชิญขึ้นเวทีประลองได้!” หลังจากพูดคุยกับจ้าวเยี่ย จู่ ๆ เว่ยฉีเทียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเสียงดังขณะมองทูตคนอื่น ๆ จากอีกห้าอาณาจักร
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนได้ยินเช่นนั้นแววตาก็เป็ประกาย พลางคิดในใจว่า “องค์ชายเว่ยผู้นี้ร้ายมาก เมื่อพูดเช่นนี้ก็เหมือนเป็การผลักภาระให้เย่เฟิงชัด ๆ ต่อไปคงต้องมีผู้ฝึกยุทธ์จากหลายอาณาจักรท้าดวลกับเขา หากเย่เฟิงไม่ตอบรับคำท้า อาณาจักรจ้าวก็จะเสียหน้า แต่หากตอบรับคำท้า เขาคนเดียวจะต่อสู้ไหวหรือ?”
“เลวทราม!” ดวงตาของจ้าวซินอี๋เผยประกายเย็นเยือก แล้วหันไปมองเว่ยฉีเทียนด้วยท่าที่ไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “องค์ชายเว่ยอยากจัดการอัจฉริยะอาณาจักรจ้าวของข้าก็ไม่เห็นจำเป็ต้องใช้วิธีเช่นนี้ เดี๋ยวอาณาจักรเว่ยของท่านก็เสียหน้าหรอก!”
อารมณ์ของจ้าวซินอี๋แปรปรวน จึงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“องค์หญิงซินอี๋ไยกระตือรือร้นเช่นนี้เล่า ข้าเพียงอยากให้คนผู้นี้ได้รับประสบการณ์ก็เท่านั้น ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ[1] ข้าเชื่อว่าคนผู้นี้จะยังคงโดดเด่นต่อไป” เว่ยฉีเทียนกล่าวพลางยิ้มอย่างเ็า หากพูดถึงวิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้ เกรงว่าในใต้หล้าจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือกพลางกล่าวว่า “ชักจะน่าสนใจแล้วสิ ขอบพระทัยองค์ชายเว่ยที่สนใจข้าน้อย มิหนำซ้ำยังให้อัจฉริยะจากห้าอาณาจักรมาท้าข้าอีก แต่ก่อนหน้านั้นข้าน้อยอยากขอคำชี้แนะจากผู้ฝึกยุทธ์ของอาณาจักรท่านก่อน!”
เมื่อผู้คนในที่แห่งนั้นได้ยินต่างต้องตกตะลึง เดิมทีพวกเขาคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์นอกเหนือจากอาณาจักรเว่ยจะท้าทายเย่เฟิง แต่นึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะพูดจาเช่นนี้ ท้าทายผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยก่อน
“เ้าหมอนี่สงบเสงี่ยมไม่เป็เลยจริง ๆ!” จ้าวซินอี๋เองก็ไม่คิดว่าเย่เฟิงจะพลิกจากสถานะแขกมาเป็เ้าบ้าน กุมสิทธิ์อยู่ในมือของตัวเอง
“เย่เฟิงนี่นะ เ้าทำข้าประหลาดใจอยู่ร่ำไป” สีหน้าของจ้าวเยี่ยดูสดใสมีชีวิตชีวา แม้จะไม่รู้ว่าพลังแท้จริงของเย่เฟิงอยู่ระดับไหนและจะจัดการผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยได้หรือไม่ แต่คำพูดของเย่เฟิงเมื่อครู่ก็ทำให้ชาวอาณาจักรจ้าวหลายคนรู้สึกฮึกเหิม
“ก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 กลับกล้าท้าทายผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยข้า หาเื่ใส่ตัวเสียแล้ว!” เว่ยซินหย่ากล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้พูดกับเ้านะ แล้วเ้ามีสิทธิ์อะไรมาสอดแทรก ไม่ละอายใจบ้างหรือ?” เย่เฟิงเหลือบไปมองเว่ยซินหย่าด้วยสายตาเย็นเยือก เขาพูดจาด้วยเสียงแข็งกร้าวโดยไม่สนใจตัวตนและความสวยของอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว นี่ทำให้เว่ยซินหย่าเผยสีหน้าดูไม่ได้ ถูกยั่วโมโหเช่นนี้แต่ไม่รู้จะโต้กลับเช่นไร
“เหิมเกริม! องค์หญิงแห่งอาณาจักรเว่ยคือผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่คนต่ำทรามเช่นเ้าจะมาดูถูกได้” เสวียนอู่เว่ยลุกขึ้นตวาดใส่เย่เฟิงด้วยความโมโห
“เป็แค่ลูกน้อง กลับกล้าเสนอหน้า เช่นนั้นก็เริ่มจากเ้าก่อนเลย ไสหัวออกมาซะ!” เย่เฟิงแสยะยิ้มและท้าเสวียนอู่เว่ยตรง ๆ นี่ทำให้ผู้คนต่างต้องใ เสวียนอู่เว่ยคือหนึ่งในสี่มหาองครักษ์แห่งอาณาจักรเว่ย มีพลังไม่ธรรมดา แต่เย่เฟิงเรียกเสวียนอู่เว่ยว่าลูกน้อง หรือก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเคยมีเื่กันมาก่อน?
เสวียนอู่เว่ยเผยสีหน้าไม่สู้ดี เมื่อสามวันก่อนเขากับเย่เฟิงประมือกันที่ภัตตาคารเฟิ่งไหล บัดนี้เย่เฟิงเป็ฝ่ายท้าเขาอีกครั้งที่งานเลี้ยงนี้ แม้เขาจะไม่มั่นใจ แต่ก็ตอบกลับไปว่า “โอหังนัก คราวก่อนเ้ากับข้ายังไม่รู้ผลแพ้ชนะเสียด้วยซ้ำ!”
เมื่อสิ้นเสียง เงาร่างเสวียนอู่เว่ยก็ไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิงพร้อมกับวาดฝ่ามือโจมตีหมายคว้าโอกาสที่จะได้เปรียบก่อน ทว่าเย่เฟิงสงบนิ่งแม้เผชิญหน้ากับฝ่ามือของเสวียนอู่เว่ย แต่เมื่อฝ่ามือของเสวียนอู่เว่ยใกล้จะถึงตัวเขา เขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปอย่างฉับพลัน ก่อนจะเข้าปะทะกับฝ่ามือของเสวียนอู่เว่ย
“ตูม!” พลังหยวนสองสายเข้าปะทะกันจึงเกิดเสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว นาทีต่อมาผู้คนพบว่าเสวียนอู่เว่ยเซถอยหลังไป สีหน้ายังดูย่ำแย่ และมีเืไหลออกจากมุมปาก
ช่องว่างระหว่างเขากับเย่เฟิงมิอาจชดเชยกระทั่งห่างชั้นขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็ไปได้อย่างไร ไม่เจอกันแค่สามวัน พลังของเขาเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวหรือ หรือเขาไปเจอเื่บางอย่างถึงทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นภายในสามวัน?” เสวียนอู่เว่ยคิดในใจขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาหวาดหวั่น แต่มีหรือเขาจะรู้ว่าในสามวันมานี้เย่เฟิงประสบพบเจออะไรมาบ้าง
เทือกเขาเทียนซีที่แดนจิ่วโยวในจักรวรรดิจิ่วโยว เย่เฟิงประมือกับสัตว์อสูรตลอดวันตลอดคืนเพื่อขัดเกลาพลังต่อสู้ แม้จะไม่ทะลวงขั้นพลัง แต่สิ่งที่เจอในสามวัน ส่งผลให้พลังต่อสู้ของเขาก้าวหน้าไปมาก
“ไอ้สวะ เ้ากล้าท้าทายข้า ช่างโง่เง่าสิ้นดี!”
ตอนที่เสวียนอู่เว่ยถูกหมัดของเย่เฟิงซัดกระเด็น เย่เฟิงก็ได้ใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเสวียนอู๋เว่ย พร้อมกับรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เฟิง เสวียนอู่เว่ยไร้ซึ่งโอกาสโต้กลับใด ๆ กระดูกทั่วร่างแตกหักอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดร่างเสวียนอู่เว่ยก็กระเด็นปลิวออกไป ก่อนจะกระแทกลงพื้นอย่างแรงจนหมดสติไปทันที
ไม่ว่าจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรจ้าวที่สนับสนุนเย่เฟิงหรือเคยดูแคลนเย่เฟิง ผู้คนต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะศึกนี้ไม่ใช่ศึกของเย่เฟิงเพียงคนเดียว แต่เป็ตัวแทนของทั้งอาณาจักรจ้าว
“นี่น่ะหรือหนึ่งในสี่มหาองครักษ์แห่งอาณาจักรเว่ย อ่อนหัดเสียจริง น่าขันนักที่องค์ชายเว่ยยุยงผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรอื่น ๆ ให้ต่อสู้กัน หรือกลัวคนอื่นจะรู้ว่าชาวอาณาจักรเว่ยของท่านชอบปล่อยไก่งั้นหรือ? เมื่อเทียบกับฐานะของท่านองค์ชาย ข้าน้อยยินดีคล้อยตามท่านที่จะดูแคลนผู้อื่น!” เย่เฟิงหันไปมองเว่ยฉีเทียนพร้อมกล่าวเช่นนั้น โดยไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย และไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว
“ข้าจำต้องยอมรับ ว่าเ้าโอหังมากจริง ๆ!”
เว่ยฉีเทียนได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ เสวียนอู่เว่ยถูกเย่เฟิงบดขยี้โดยไร้กำลังต่อต้าน สำหรับอาณาจักรเว่ยแล้ว มันเป็เื่ที่อับอายขายหน้ายิ่ง และคำพูดของเย่เฟิงก็ทำให้เขายิ่งขายหน้าขึ้นไปอีก เพราะเหตุนี้จึงทำให้เว่ยฉีเทียนเกิดโทสะและคิดอยากฆ่าเย่เฟิง
“เหิมเกริม ข้าจะจัดการเ้าเอง!” ขณะนั้นมีเงาร่างหนึ่งเดินออกจากฝั่งอาณาจักรเว่ย คนผู้นี้สวมชุดสีขาว รูปร่างสูงใหญ่ และดูอาจหาญมาก
“ไป๋หู่เว่ย หนึ่งในสี่มหาองครักษ์ เขาอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 8 แต่พลังต่อสู้แกร่งกว่าคนระดับเดียวกัน ลือกันว่าในภารกิจหนึ่ง ไป๋หู่เว่ยเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์กึ่งขั้นยุทธ์แท้ด้วยตัวคนเดียว!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจากอาณาจักรฉีจำคนผู้นี้ได้ จึงกล่าวเช่นนั้น เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินต่างก็ใ
ผู้ฝึกยุทธ์กึ่งขั้นยุทธ์แท้ก็คือผู้ที่บรรลุขั้นยุทธ์แท้ได้ก้าวเดียว มีพลังระหว่างจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่และขั้นยุทธ์แท้ ซึ่งเหล่าผู้คนยังไม่รู้ว่าสี่มหาองครักษ์แห่งอาณาจักรเว่ยมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ เสวียนอู่เว่ยคือคนที่อ่อนแอที่สุด เป็เด็กใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งนี้ แทนตำแหน่งเสวียนอู่เว่ยคนก่อนที่เสียชีวิตไป ดังนั้นเขาจึงอ่อนแอที่สุดและเพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 7 เท่านั้นเอง
ถัดจากเสวียนอู่เว่ยก็เป็ไป๋หู่เว่ยและจูเชวี่ยเว่ย คนที่แกร่งสุดก็คือชิงหลงเว่ย ลือกันว่าชิงหลงเว่ยมีคุณสมบัติทะลวงขั้นยุทธ์แท้ แต่เขาตั้งใจกดพลังของเขาให้อยู่ขั้นรวมชี่ไม่ให้ทะลวงขั้นใดๆ
“ไป๋หู่เว่ยขึ้นเวที เย่เฟิงแพ้แน่ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เคยฆ่าผู้ฝึกยุทธ์กึ่งขั้นยุทธ์แท้มาแล้ว แต่เย่เฟิงอยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 5 พลังยังห่างชั้นกันมาก” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยกับเขา
ไป๋หู่เว่ยขึ้นเวที แม้แต่องค์ชายรองจ้าวเยี่ยยังหน้าเปลี่ยนสี และรู้สึกเป็กังวลแทนเย่เฟิง
“เย่เฟิง เ้าระวังตัวด้วย ถ้าไม่ไหวก็ยอมแพ้เสีย อย่าฝืนเด็ดขาด ยังไงซะตบะของเ้าก็ยังต่ำต้อย” จ้าวซินอี๋เผยสีหน้าเป็กังวล นางรู้ว่าพลังของไป๋หู่เว่ยไม่ใช่สิ่งที่เสวียนอู่เว่ยจะทัดเทียมได้ ดังนั้นนางจึงเป็ห่วงเย่เฟิงและส่งข้อความผ่านจิตไปหาเย่เฟิง
“วางใจเถอะ!” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับไป๋หู่เว่ย ด้วยสีหน้าที่ยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
-------------------------------------------------------------------
[1] ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หมายถึง ผู้มีความกล้าหาญต่อการถูกทดสอบไม่ว่าด้วยเื่อันใด
