หั่วอี้จับจ้องสตรีชุดแดงผู้นั้นแต่สตรีชุดแดงกลับมองมาที่หลิ่วจิ้งโดยเฉพาะจ้องมาที่มือของหั่วอี้ที่คอยกุมมือนางอยู่ตลอดเวลา
“เหตุใดเ้าจึงแต่งกายเช่นนี้ออกมา”
หลิ่วจิ้งฟังโทสะในน้ำเสียงของหั่วอี้ออก
“พี่ใหญ่ เหตุใดจื่ออิงจึงทำเช่นนี้ ท่านก็รู้ดีอยู่แก่ใจมีสิ่งใดต้องถามอีก”
นางก็คือจื่ออิงสตรีผู้นั้นที่อาเหมิ่งต๋าเคยบอกว่าหากต้องตาจื่ออิงก็จะเป็เื่ดีหลิ่วจิ้งมองนางด้วยความใคร่รู้
แต่เวลานี้เองหั่วอี้กลับปล่อยมือนาง เขาสาวเท้าก้าวโตตรงเข้าไปดึงตัวจื่ออิงให้ลุกขึ้น
“ไป ตามข้าไปข้างหลัง จัดแจงตนเองให้เรียบร้อยจึงค่อยออกมา”หั่วอี้ว่าพลางดึงจื่ออิ่งเดินไป
ทิ้งให้หลิ่วจิ้งยืนอยู่ในห้องเพียงลำพังพริบตานั้นรสชาติขมขื่นก็ประดังเข้ามาในใจนาง ปรากฏว่าอย่าได้หวั่นไหวเสียเป็ดีหาไม่แล้วโอกาสต้องช้ำใจก็จะยิ่งเกิดได้เร็ว
“องค์หญิง ท่านนั่งสิ อยากทานอะไรก็สั่งเอาเองเลยอยากฟังเพลงหรืออยากดูระบำก็ตามสบาย พี่ใหญ่ทางนั้นคงไม่ออกมาเร็วนักหรอก”
อาเหมิ่งต๋าเบิกบานใจราวกับเป็ฝ่ายได้เปรียบ ว่าพลางกวักมือเรียกคนในหอเข้ามาให้เขาสั่งอาหาร
“ข้าจะไปดูทิวทัศน์ยามราตรีที่กราบเรือ” หลิ่วจิ้งเอ่ยก่อนจะออกไปตามทางที่เข้ามา นางเห็นแล้วว่ามีที่หนึ่งที่สามารถชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนได้เป็อย่างดีตอนนั้นแค่คิดว่าอีกสักพักจะต้องออกมาดู แต่กลับไม่คิดว่านางจะออกมาเร็วเพียงนี้
พลั้งกายได้ แต่ห้ามพลั้งใจโดยเด็ดขาด หลิ่วจิ้งย้ำเตือนตนเองอยู่ในใจอีกครั้ง
หลิ่วจิ้งเดินตามความทรงจำเมื่อตอนเข้ามาไม่นานก็หาที่ชมทิวทัศน์ที่นางเล็งไว้เมื่อครู่จนพบ ซึ่งเป็พื้นที่กว้างที่อยู่ใกล้ท้ายเรือ
หลิ่วจิ้งยืนอิงกับราวเรือ มองดูทิวทัศน์ที่ห่างไกลออกไปยามน้ำในแม่น้ำอยู่ภายใต้แสงโคมในคืนค่ำ ผิวน้ำระยิบระยับดั่งเกล็ดปลามีเรือหลายลำผ่านข้างลำเรือไป
อารมณ์ของนางไหลเรื่อยไปตามกระแสน้ำบางครั้งก็นึกถึงความหวั่นไหวยามหั่วอี้นำเครื่องประดับชิ้นนั้นสวมใส่มือให้นางบางคราก็นึกถึงแววตาลึกล้ำยามหั่วอี้มองไปยังจื่ออิง
จนยามนี้ นางจึงเพิ่งสำนึกว่าไม่รู้ตนเองเริ่มหวั่นไหวั้แ่เมื่อใดแม้นางจะคอยย้ำเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าห้ามมีใจให้เขาแต่ไม่รู้ว่าพลั้งใจไปั้แ่ยามใด
ด้วยเหตุนี้เอง จิตใจของนางจึงได้แต่ขมขื่นดั่งดื่มน้ำหวงเหลียน
เพราะอยู่บนแม่น้ำ สายลมคอยพัดผ่านอยู่ไม่สร่าง นางจึงมิได้ใส่ใจว่ามีเรือลำหนึ่งซึ่งขนาดเล็กกว่าหอเยี่ยนเฟิ่งนี้มากนักเข้ามาจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าั้แ่เมื่อใดแต่เพราะเรือลำนี้มาบดบังสายตา ทำให้นางมิอาจไม่มองไปที่เรือลำนั้น
เดิมทีนางเห็นเพียงภายนอกของลำเรือเพราะหน้าต่างเรือล้วนมีม่านปิดเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
ทันใดนั้นลมวูบหนึ่งก็พัดมา ทำให้ชายผ้าม่านที่ปิดไว้เปิดออก นางจึงเห็นภาพภายในเรือเข้าพอดี
ภาพที่เห็นทำเอานางต้องอายจนหน้าแดง ดีที่ตรงนี้ไม่มีคนทั้งยังเป็เวลากลางคืน จึงไม่มีใครมาพบเห็นท่าทางกระดากอายของนาง
บนเรือมีเพียงเตียงขนาดใหญ่จัดวางอยู่บนเตียงเป็ร่างคนผิวขาวผ่องสองคนกำลังกอดรัดกัน ดีที่พวกเขาเพียงเปลือยร่างท่อนบนท่อนล่างยังสวมกางเกงอยู่ แต่แม้จะเป็ดังนั้นก็ยังทำให้นางเขินอายจนต้องเบือนหน้าหนีเพราะคนที่คร่อมอยู่้ากำลังเอามือลูบไล้ตัวคนใต้ร่าง
แต่ทันใดนั้นเอง นางกลับเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงพยายามขัดขืนและเบี่ยงหน้าหลบมาทางที่นางยืนอยู่
จึงทำให้นางเห็นได้ชัดเจนว่านั่นเป็ใบหน้าที่อ่อนเยาว์นักดูจากใบหน้าแล้วอายุน่าจะยังไม่ถึงสิบห้าปีกระมังหนำซ้ำยังเป็ใบหน้าของผู้ชายอีกด้วย คนผู้นั้นกัดฟันแน่น กำหมัด สองตาจับจ้องออกมานอกหน้าต่างคล้ายว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้เขาหลงลืมเื่ที่ตนกำลังประสบอยู่ในเวลานี้ได้
หลิ่วจิ้งไม่อยากดูต่อไป เื่โสมมเช่นนี้นางเคยได้ยินมาก่อนแต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะสามารถดูต่อได้โดยไม่รู้สึกรู้สา
นางหันหน้าเรียกคนผู้หนึ่งที่คล้ายเป็คนรับแขกบนเรือบอกว่า“ช่วยไปบอกที่ห้องเทียนจื้อที่หนึ่งทีว่าข้าจะขอกลับก่อน”
“เ้าค่ะฮูหยิน ค่อยๆ เดินนะเ้าคะ”คนรับแขกผู้นั้นคงเคยพบเห็นแขกที่จู่ๆ ก็ขอกลับไปก่อนเช่นนี้มากมายจึงรีบช่วยนำความของนางไปแจ้งด้วยความยินดี
หลิ่วจิ้งเดินตามทางไปถึงหัวเรือแล้วบอกกล่าวเหตุผลกับเถ้าแก่ร้านเมื่อครู่นี้พวกนางก็ต้องนั่งเรือเล็กจากฝั่งมาส่งขึ้นเรือใหญ่ จึงคิดว่ายามกลับก็คงต้องทำเช่นเดิมซึ่งก็ไม่ผิดจากที่นางคาดไว้ ทางร้านรีบจัดหาเรือเล็กเตรียมส่งนางขึ้นฝั่ง
เมื่อร้านจัดการให้นางลงเรือเล็กเรียบร้อยแล้วกลับได้ยินเสียงหั่วอี้ะโเรียกนางดังลอยมา
นางมองตามไป เห็นว่าหั่วอี้กำลังรีบวิ่งมาที่หัวเรือ
“ออกเรือ” นางสั่งคนเรือ เพราะคนเรือไม่รู้จักนางจึงมิรู้ว่าคนบนเรือกำลังร้องเรียกผู้ใดเมื่อได้รับคำสั่งก็เริ่มจ้ำไม้พาย
ค่ำคืนนี้มีลม สายลมยามนี้พัดในทิศทางที่นาง้าจะไปพอดีทำให้เรืออาศัยแรงลมแล่นห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหั่วอี้วิ่งมาถึงหัวเรือ ก็เห็นเพียงหลิ่วจิ้งยืนอยู่บนเรือลำเล็กที่กำลังแล่นไปข้างหน้าทั้งสองสบตากัน เขาร้อนใจนักเมื่อเห็นแววตาตัดพ้อของหลิ่วจิ้งแม้อยากะโลงไปบนเรือเล็กลำนั้น แต่เมื่อดูจากระยะห่างแล้วก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจเพราะอยู่ห่างเกินไป
เขารีบเรียกนายเรือมาเพื่อจัดหาเรือให้ตนขึ้นฝั่งแต่บังเอิญนักที่เรือเล็กทั้งสามลำของที่ร้านล้วนไปส่งแขกขึ้นฝั่งในเวลาเดียวกัน ยามนี้จึงไม่มีเรือเล็กว่างเลยเขาจึงทำได้เพียงยืนมองหลิ่วจิ้งห่างจากเขาไปทุกทีจนลับสายตา
“มีสิ่งใดเ้าคะ นั่นคือหญิงงามที่ท่านรับมาใหม่หรือ? ได้ยินท่านเรียกนางว่าองค์หญิง เป็องค์หญิงแคว้นใด ถึงให้ท่านรับเข้าจวนได้”
เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังของหั่วอี้
ร่างของหั่วอี้แข็งทื่อ เขานิ่งงันไปพักใหญ่ก่อนค่อยๆหันหน้ากลับมา ไม่รู้ว่าจื่ออิงเดินตามหลังเขามาที่หัวเรือั้แ่เมื่อใด
ตอนนี้จื่ออิงยังคงสวมชุดกระโปรงสีแดงชุดเดิมอยู่เพียงแต่มีผ้าคลุมที่หน้าอก บดบังหน้าอกที่เผยออกมาวับๆ แวบๆ นั้นเอาไว้
“จื่ออิง กลับบ้านไปเสีย นี่มิใช่ที่ที่เ้าจะมา”
“เหตุใดจึงมิใช่ที่ที่ข้าจะมา ที่นี่มีที่กินที่อยู่ทั้งยังมีเงินรางวัล หากไปเข้าตาขุนนางใหญ่โตไม่แน่ว่าข้าอาจได้โบยบินขึ้นไปจนกลายเป็หงส์เชียวนะ”
จื่ออิงเอ่ย แต่ยามนี้กลับมีน้ำตานองหน้า
“เฮ้อ ไยเ้าต้องมาที่นี่” ที่สุดหั่วอี้ก็อดไม่ไหวก้าวเข้าไปข้างกายอีกฝ่ายและเอื้อมมือปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินลงมาของนาง
เป็จังหวะเดียวกับที่มีเรือเล็กสำหรับรับส่งกลับมาพอดี “ไปเถิดข้าจะส่งเ้ากลับบ้าน”
“ข้าไม่กลับ บ้านหลังนั้นไม่มีพี่อี้ ข้ากลับไปจะมีความหมายใดมิสู้ร้องรำทำเพลงให้มีความสุขอยู่ที่นี่ดีกว่า”
“หากเ้ายังเลอะเลือนอีก ข้าจะจับมัดไว้ในจวนแม่ทัพดูซิว่าเ้าจะวิ่งวุ่นไปทั่วอีกหรือไม่” หั่วอี้พูดพลางกอดจื่ออิงเอาไว้แล้วะโลงเรือเล็กได้อย่างมั่งคง
‘วิทยายุทธล้ำเลิศ’ คนเรือที่เคยเห็นโลกมามากแอบชมเชยอยู่ในใจ
“มัดข้ากลับไปจวนแม่ทัพหรือ เอาสิ ท่านไล่สตรีพวกนั้นไปให้หมดไม่ต้องมัดข้า ข้าจะเป็ฝ่ายเข้าไปเอง”
จื่ออิงดิ้นรนเพราะอยากกลับขึ้นเรือใหญ่ แต่เวลานั้นเรือเล็กก็กางใบออกเรือไปแล้วนางหันหน้ามองหั่วอี้ ก่อนในที่สุดจะมองไปไกลๆ อย่างไม่สบอารมณ์และไม่มองเขาอีก
_____________________________
