เหยียนชิงรู้สึกเขินอายจนหูอื้อจากความไร้มารยาทของฮูหยินของตน ขณะที่เขากำลังจะตำหนิออกไปก็ถูกเว่ยซูหานอุ้มขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่หอชิงเฟิง
“ฮูหยินเ้าใจร้ายต่อพี่ใหญ่เกินไปแล้ว...”
เหยียนชิงอดใจไม่ไหวจึงหยิกลงไปอีกสองสามครั้งด้วยใบหน้าที่ร้อนจนลุกเป็ไฟ แต่เขาไม่สามารถพูดสิ่งที่ชี้ชัดมากไปกว่านี้ได้ สำหรับเว่ยซูหานแล้ว เขามีความอดทนอดกลั้นที่ไม่มีสิ้นสุด และเป็เช่นนี้มาั้แ่ต้น
เว่ยซูหานก้มมองเขาด้วยความรัก
“เป็พี่ใหญ่ที่เสียมารยาทก่อน ผ่านลมวสันต์มามากมายยังจะกระทำตนอย่างคนไร้สมอง คิดจะทำลายคืนสุขสันต์ของผู้อื่น เพิกเฉยต่อการเริงร่าของคู่รัก จะมาโทษข้าได้หรือ?”
เป็เหยียนลั่วที่จงใจหาเื่ขึ้นมาก่อน อีกทั้งเขาก็ไม่รู้สึกเจริญตายามมองเหยียนลั่ว แม้ว่าในแง่ของความรู้สึกจากประสบการณ์ในชีวิตก่อนของเขาจะยังไม่อาจกล่าวได้ว่าเกิดจากพี่ใหญ่โดยตรง แต่ความขุ่นเคืองยังเป็สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“เขา... ก็เป็เช่นนี้ เขาผิด...”
เหยียนชิงอยากจะบอกว่าพี่ใหญ่ทำอย่างจงใจ แต่หลังจากเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเว่ยซูหานเขาก็กลืนคำพูดกลับลงไป คนที่ฉลาดอย่างเว่ยซูหานจะไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ทำโดยเจตนาได้อย่างไร คนผู้นี้ก็จงใจวิ่งเข้าไปหาพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน
อ้า ช่างมันเถอะ ภรรยาของเขายัง้าการเอาอกเอาใจอีกสักหน่อย พี่ใหญ่เองก็ควรทำให้เหี่ยวเฉา[1] ลงเสียบ้าง ไม่รู้จักดูสถานการณ์โดยรวมยังจะทำตัวตามอำเภอใจอีก พรุ่งนี้อาจจะถูกท่านแม่สั่งลงโทษให้คุกเข่าที่ศาลบรรพชนก็เป็ได้ และเขาก็จะไม่ร้องขอความเมตตาให้พี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน
“สามีฉลาดจริง...”
เว่ยซูหานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม เหยียนชิงจึงตบหน้าอกของเขาลงไปอีกสองครั้ง “เ้าควรมีคุณธรรม...”
ทั้งสองใกล้ชิดกันตลอดทางที่กลับมายังหอชิงเฟิง หลังลงกลอนประตูเพื่อแยกตัวจากภายนอกในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวแล้ว เพียงประกายอารมณ์ที่ล้นออกมาจากดวงตาของเว่ยซูหานก็สามารถทำให้อากาศในห้องอบอุ่นขึ้นมาได้แล้ว
เหยียนชิงชอบที่เว่ยซูหานละทิ้งความเฉยเมยและความจริงจังในยามปกติออกไปด้วยการแสดงออกที่อ่อนโยน แม้หน้าจะแดงระเรื่อ แต่กลับยกแขนขึ้นไปโอบรอบคอของเว่ยซูหานแล้วปล่อยตัวนอนลงบนเตียง แววตาที่ส่องตรงเข้ามายังหัวใจราวกับแสงตะวันแห่งฤดูใบไม้ผลิทั้งสี่ดวงจ้องมองกันและกันอย่างอ้อยอิ่ง
ในสายตาของพวกเขามีเพียงกันและกันเท่านั้น นี่อาจเป็ความรู้สึกของการสบตากันหนึ่งหมื่นปี[2]ก็เป็ได้
“ใน่เวลาที่ผ่านมาข้าคิดถึงเ้ามาก...”
พวกเขาพูดออกมาพร้อม ๆ กัน หลังจากพูดจบพวกเขาก็หน้าแดงราวกับเด็กที่เพิ่งเริ่มมีความรักเป็ครั้งแรก
เว่ยซูหานอดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบคิ้วอันอ่อนนุ่มของคนรักพร้อมกับถามเบาๆ “ชิงเอ๋อร์ ยังจำสิ่งที่เ้าพูดก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?”
“จำได้” เหยียนชิงพยักหน้าอย่างเขินอาย “ตามใจเ้า...”
เว่ยซูหานยิ้มจนตาหยี ทันในนั้นเขาก็ผ่อนแรงลดร่างของตนลงมาทับอีกคนเอาไว้พร้อมพูดว่า “ข้าเหนื่อยนิดหน่อย...”
“...หืม?” เหยียนชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เช่นนั้นในวันหลัง... ข้าก็ไม่จำเป็ต้อง...”
เขาเองก็ไม่ได้ไม่พอใจกับความปรารถนาของตนเองถึงเพียงนั้น อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกยาวนานและพวกเขายังมีเวลามากพอที่จะเหน็ดเหนื่อยกับเื่เช่นนี้ได้
“ไม่ใช่” เว่ยซูหานขบลงไปที่หูของเขา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและมีรอยยิ้มเล็กน้อย “ชิงเอ๋อร์ มาเปลี่ยนท่าทางกันเถอะ...”
“อือ ท่าอะไร?”
เหยียนชิงรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี และเป็จริงอย่างที่คาดไว้ เว่ยซูหานหมุนตัวพร้อมกับเขาที่ยังอยู่ในอ้อมแขนทำให้ทั้งสองเปลี่ยนตำแหน่งกันในทันที อีกทั้งชายที่ถูกเขาทับอยู่นั้นก็ยกมือขึ้นมาโอบรอบเอวของเขาเอาไว้ ยิ้มพร้อมกับเลียริมฝีปากจากนั้นจึงคายจุดประสงค์ของตนออกมา
“ทำเช่นนี้...”
ั้แ่พวกเขาแต่งงานกันมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะจูบกันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม เหยียนชิงยังคงปล่อยวางเื่บนเตียงไม่ได้เสียที เขา้าทำเช่นนี้มานานมากแล้ว
“เ้า...” เหยียนชิงวางมือบนหน้าอกของเขาพร้อมขมวดคิ้วจนแทบจะพันกัน “ฮูหยินเ้าช่างอวดดีเกินไปแล้ว...”
มันไม่เข้าท่าที่จะให้เขาขึ้นมาเช่นนี้ ความมีเล่ห์เหลี่ยมยังคงมีมากไม่เปลี่ยน
“ชิงเอ๋อร์ ทำให้ข้าเพื่อเป็รางวัลสำหรับการไปในครั้งนี้ ได้หรือไม่?”
เว่ยซูหานร้องขอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา มือข้างหนึ่งลูบไล้เอวของเหยียนชิงอย่างอ้อยอิ่ง เหยียนชิงรู้ดีว่าหากเขาไม่เห็นด้วยกับฮูหยินเื่คงจะยุ่งยากกว่านี้เป็แน่
“ชิง… อือ อืม...”
เว่ยซูหานที่ยัง้าพูดอะไรออกมาอีก แต่กลับถูกเหยียนชิงบดเบียดริมฝีปากลงมาเสียก่อน หลังการลิ้นของทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมาว่า
“ฮูหยิน้าให้ข้ารับใช้ ข้าก็จะทำตามความ้าของฮูหยิน”
พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปดึงม่านลงมาคลุมเตียงเพื่อแยกพื้นที่แห่งเสน่หาออกมา อีกทั้งแสงสลัว ๆ ยังช่วยเพิ่มบรรยากาศได้อีกด้วย
“ชิงเอ๋อร์...”
เว่ยซูหานยกมือขึ้นลูบไล้แก้มร้อนผ่าวของคนรัก ดวงตาทั้งสี่คู่ยังคงจับจ้องประสานกันโดยไม่ละสายตาด้วยไม่อยากพลาดในทุก ๆ การเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
เหยียนชิงมองแววตาที่เต็มไปด้วยความรักของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ฮูหยินชอบหรือไม่?”
“ชอบ” เว่ยซูหานหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ “ชอบมาก”
ด้วยหลงรักมาสองชาติภพ ทั้งคำพูดและดวงหน้าของคนผู้นี้ล้วนทำให้เขาชอบมากจนไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้
“ข้าก็ชอบ...”
จากเดิมที่ยอมปล่อยตัวเพื่อเอาใจคนรักในตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้น่าอายอย่างที่คิด
เป็เื่ยากสำหรับเหยียนชิงที่จะเป็ฝ่ายเริ่มความััอันแสนใกล้ชิดขึ้นมาก่อน เว่ยซูหานจึงรู้สึกราวกับว่าตนเองได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ เมื่อมองไปยังคนที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างหมดแรง หัวใจทั้งดวงของเขาก็อ่อนนุ่มลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในชีวิตนี้เขาไม่้าสิ่งใดอีกแล้ว
วันรุ่งขึ้น เหยียนชิงตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของเว่ยซูหาน เมื่อลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้รับความอ่อนโยนที่แทบจะฆ่าคนได้จากฮูหยินของตน อารมณ์ของจึงสดใสไปตลอดทั้งวัน
เหยียนลั่วกลับถึงจวน แม้ว่าฮูหยินเหยียนจะมีความสุขแต่นางก็ไม่ลืมว่าการหนีออกจากจวนของเขาได้สร้างความเดือดร้อนให้กับน้องชายมากเพียงใด ยังมีการกระทำแย่ ๆ อย่างการตีหัวน้องชายจนหมดสติอีก ด้วยเหตุนี้ วันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่คุณชายใหญ่กลับมาที่จวนก็ได้รับคำสั่งจากฮูหยินเหยียนให้เขาไปสำนึกตนที่ศาลบรรพชนของตระกูลเหยียนเป็เวลาหนึ่งเดือน
นอกจากอาหารสามมื้อ เหตุฉุกเฉินภายใน[3] การทำความสะอาดร่างกาย และเวลานอนวันละสองชั่วยาม[4] แล้ว เขาจะต้องคุกเข่าต่อหน้าป้ายิญญาของท่านพ่อและบรรพบุรุษพร้อมทั้งคัดกฎตระกูลเพื่อสำนึกผิด ฮูหยินเหยียนได้กำหนด่เวลาในการอาบน้ำเข้านอนเอาไว้ชัดเจน แม้ว่าเหยียนลั่วจะอยากทำตัวเกียจคร้านก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ
เหยียนลั่วไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านแม่ สุดท้ายมันเป็เพราะการกระทำอันไร้หัวคิดของเขาที่ทำให้ท่านแม่ระคายเคือง แต่ในใจยังคิดว่าเหยียนชิงจะต้องช่วยขอความเมตตาให้กับเขา ไม่ปล่อยให้เขาต้องถูกขังนานถึงหนึ่งเดือน ด้วยหนึ่งเดือนสำหรับคนที่เคยชินกับความสนุกเช่นเขานั้นมันเป็การทรมานที่ไร้มนุษยธรรมเกินไป
แต่ตระกูลในตอนนี้เปลี่ยนไปมาก หลังจากถูกท่านแม่เพิกเฉยสถานะในตระกูลของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประกอบกับการแทรกแซงของเว่ยซูหาน น้องชายที่กระทำตัวดีมีไหวพริบและเคารพเขาเสมอมาไม่เพียงแต่ไม่มีคำพูดดี ๆ แม้เพียงครึ่งคำเพื่อช่วยเขาเท่านั้น ยังแนะนำให้เขาไตร่ตรองเื่นี้ให้ดีอีกด้วย บอกว่าเขาควรถูกลงโทษตามกฎตระกูล
เหยียนลั่วรู้สึกอยากร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา หลังจากการขอความเมตตาอย่างไร้ประโยชน์ใน่เช้าแล้วเขาก็ทำได้เพียงเดินหนึ่งก้าวบ่นสามคำไปยังศาลบรรพชน ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทางด้วยน้องชายที่แต่งงานออกไปแล้วทำตนเหมือนน้ำที่ถูกสาดออกจากบ้าน[5]... อืม ไม่ใช่ ต้องเป็น้องชายแต่งสะใภ้เข้ามาแล้วลืมพี่ชาย
“เว่ยซูหาน เ้าต่อต้านข้าในทุกทาง เพียงเพราะข้าไม่ยอมแต่งกับเ้าหรือ?”
เมื่อมีโอกาส เหยียนลั่วอดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ทำให้จิตใจหดหู่ออกมา
เว่ยซูหานยกมือขึ้นกุมหน้าอกแสดงท่าทางราวกับจะบอกว่าท่านคิดมากเกินไปแล้ว ก่อนจะพูดว่า
“พี่ใหญ่เชื่อมั่นในตนเองมากจริง ๆ ผู้เดียวที่ข้า้ามาั้แ่ต้นคือชิงเอ๋อร์ และต้องเป็เขาเท่านั้น ข้าต้องขอบคุณพี่ใหญ่ที่หนีการแต่งงานทำให้ข้าได้แต่งกับชิงเอ๋อร์อย่างถูกต้อง หากในทางเลือกสุดท้ายข้าจำต้องแต่งกับท่านจริง ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกระทำสิ่งที่ผิดจรรยาลงไปเพียงเพราะความรู้สึกที่มีต่อชิงอ๋อร์หรือไม่”
พูดจบเขาก็โค้งคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเหยียนลั่วที่กลายเป็หินไปแล้ว จากนั้นจึงยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยก่อนเดินจากไป
เหยียนลั่วยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิง คำที่ยังวนเวียนอยู่ในใจ ‘ทางเลือกสุดท้าย’ และ ‘ผิดจรรยา’ สองคำนี้ทำให้เขาโกรธมากจริง ๆ เพียงแค่คิดว่าบุตรชายคนโตผู้สง่างามแห่งตระกูลเหยียนถูกคนรังเกียจ ก็รู้สึกโกรธจนอยากพ่นควัน[6] ออกมาแล้ว!
เชิงอรรถ
[1] ทำให้เหี่ยวเฉา (吃瘪) อุปมาถึงถูกบังคับให้ยอมจำนน ยอมรับความพ่ายแพ้
[2] สบตากันหนึ่งหมื่นปี (一眼万年) เพียงแค่สบตากันก็รู้สึกเหมือนกับว่าเวลาถูกยืดไปอีกหมื่นปี หรือเรียกได้ว่าเป็การมองอย่างเสน่หาด้วยความรักที่เป็นิรันดร์
[3] เหตุฉุกเฉินภายใน (内急เป็การพูดอย่างสุภาพในการไปปัสสาวะหรือปวดเบา
[4] ชั่วยาม เป็การบอกเวลา เท่ากับ 2 ชั่วโมง ในที่นี้ 2 ชั่วยามจึงเท่ากับ 4 ชั่วโมง
[5] น้ำที่ถูกสาดออกจากบ้าน ประโยคเต็มคือบุตรสาวที่แต่งงานออกไป เหมือนการสาดน้ำออกไปนอกบ้าน มีเหตุมาจากคนจีนโบราณเมื่อแต่งงานไปแล้วต้องไปดูแลพ่อแม่สามี และญาติพี่น้องของสามี จึงไม่มีเวลาและโอกาสที่จะมาดูแลพ่อแม่ตนเองอีก
[6] โกรธจนอยากพ่นควัน (气得冒烟) อุปมาถึงอารมณ์โกรธจนถึงขีดสุด
