มีคนมากกว่าร้อยคนยืนอยู่ใต้ฟ้าพร่างดาว คนเ่าั้เป็ผู้มีพร์ของแคว้นเยี่ยที่เข้าสู่ดินแดนลึกลับแห่งแคว้นกู่ พวกเซียวเฉินก็อยู่ในบรรดานั้น
“นี่คือแคว้นกู่ในอดีตหรือ?”
เซียวเฉินมองซากปรักหักพังและผลพวงจากาที่มีอยู่เต็มไปหมดแล้วถอนหายใจ แคว้นกู่อันแข็งแกร่งยังมิอาจต้านทานลิขิต์และการกัดกร่อนของวันเวลา เศษซากที่เคยยิ่งใหญ่ ในอดีตต้องเป็แคว้นที่กล้าแข็งสุดขีดแน่
เซียวเฉินทอดถอนในใจ อดรู้สึกเศร้าไม่ได้
จากนั้นดวงตามีรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าจะได้เจอเหลยอวิ๋นถิงและเหลยชิงโหรวที่นี่หรือไม่?”
ทุกคนเดินไปช้าๆ ภายใต้ฟ้าพร่างดาว
ถึงอย่างไร พวกเขาก็เข้ามาฝึกวิชาในแคว้นกู่เป็ครั้งแรก ในนี้มีทั้งภยันตรายและโชควาสนา ดังนั้น พวกเขาต้องระวังเป็พิเศษ แม้เป็บุตร์ก็ทำเช่นเดียวกัน
ตูม!
ในเวลานี้เอง ฟ้าพร่างดาวพลันสั่นะเื เปล่งแสงเจิดจรัสอันไร้ที่สิ้นสุด กลายเป็พายุอันแข็งแกร่งกวาดม้วนมาราวกับพลังเทพ ทำให้คนไร้หนทางต้านทาน
ทุกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยน
แม้จะมีอันตราย แต่ไม่ต้องถึงขั้นเพิ่งก้าวเข้ามาก็มีอันตรายเลยก็ได้ พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย
“ทุกคนระ...” มีคนหนึ่งยังเอ่ยไม่จบ พายุขนาดหลายสิบจั้งอันน่าสะพรึงก็โจมตีมาแล้ว ทุกคนหลบไม่ทันและถูกม้วนเข้าไปในนั้น ล่องลอยอยู่ในกระแสลมคลั่ง มีเสียงร้องะโดังขึ้นหลายครั้ง
วิ้ง วิ้ง!
มีแสงสีดำวาบขึ้นในพายุ ทุกคนที่เกิดความหวาดกลัวถูกกลืนกินเข้าไปในนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็หรือตาย แม้คนอื่นๆ หวาดกลัวแต่กลับพยายามแสร้งสงบนิ่ง ไม่ส่งเสียงร้อง จึงไม่ถูกกลืนกิน ส่วนเซียวเฉินคว้ามือของฉู่หยวนและฉู่เยียนหรานไว้ก่อนที่พายุจะมาถึง ดังนั้น พวกเขาทั้งสามคนไม่ได้แยกจากกัน
และจมดิ่งลงในพายุ
ตูม!
พายุพลันหยุดลง ทุกคนเวียนหัวตาลายร่วงลงมาจากฟ้าอย่างแรง เมื่อพวกเขาลุกขึ้นมาก็พบว่าใต้เท้ามิใช่ฟ้าพร่างดาวอีกต่อไป ทว่าเป็แผ่นดิน เหนือศีรษะเป็ฟ้าพร่างดาวที่ไร้ทิวากาล
ฟ้าดินพลิกตลบ
ทุกคนตื่นตระหนก ต้องมีความสามารถมากเพียงใดจึงทำได้ เกรงว่าหากเป็ผู้เข้มแข็งขั้นยุทธ์์ก็ทำไม่ได้ ทันใดนั้น ในใจของทุกคนก็พลุ่งพล่านอีกครั้ง
สมกับเป็แคว้นกู่!
วิ้ง วิ้ง!
ในเวลานี้เอง มีแสงเจิดจรัสกะพริบบนแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลนัก จากนั้น ป้ายหยกก็ลอยขึ้นมาและเปล่งแสงเรื่อเรือง!
ดวงตาของทุกคนเป็ประกาย
สิ่งของในแคว้นกู่ต้องเป็สมบัติอันล้ำค่าแน่นอน
“เป็เคล็ดวิชาขั้นฟ้า!”
เสียงนี้ดุจสายฟ้าฟาดลงมาฉับพลัน ทำให้ทุกคนเกิดความกระตือรือร้น แม้แต่ฉู่หยวนก็มีสีหน้าคลั่งไคล้ แม้ตระกูลฉู่ได้ชื่อว่าเป็ตระกูลอันดับหนึ่ง ร่ำรวยเทียบได้กับแว่นแคว้น แต่กลับไม่มีเคล็ดวิชาขั้นฟ้าเลย เกรงว่ามีแต่ต้องใช้กำลังความสามารถของแว่นแคว้นจึงอาจจะได้
ถึงกับมีเคล็ดวิชาขั้นฟ้าในแคว้นกู่ จะไม่ทำให้คนริษยาได้อย่างไร ต่อให้เป็ผู้เข้มแข็งขั้นยุทธ์์ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะไม่หวั่นไหวกับเคล็ดวิชาขั้นฟ้า นับประสาอะไรกับพวกเขา
“รีบชิงเร็ว!” มีคนร้องขึ้น
“ถึงก่อนได้ก่อน!” มีคนเคลื่อนไหวแล้ว
“เดรัจฉานน้อย เ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้าเป็คนเห็นก่อน” ทุกคนยังมาไม่ถึงก็ตกอยู่ในสภาพอลหม่านแล้ว แต่ในขณะนี้เอง พลันมีเงาร่างสายหนึ่งรวดเร็วถึงขีดสุดเหนือล้ำทุกผู้คน ใช้กำลังยึดป้ายหยกมาเป็ของตนทันที
คนผู้นั้นคือเซียวเฉิน
เขารู้สึกได้ว่าป้ายหยกแผ่คลื่นพลังอันรุนแรงออกมา จึงรู้ว่าตนได้เก็บสิ่งล้ำค่า เคล็ดวิชานี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เซียวเฉินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อฉู่หยวนเห็นเซียวเฉินเก็บเคล็ดวิชาขั้นฟ้าชิ้นนั้นได้ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มจนใจ สมกับเป็ขั้นเสวียนเต๋า ความเร็วมิใช่คนขั้นเสวียนฟ้าอย่างพวกเขาจะเทียบได้เลย
“พี่ใหญ่เฉินยอดเยี่ยมมาก ฮึ” แม่นางน้อยแค่นเสียง แต่ดวงตากลับมีรอยยิ้ม ถึงอย่างไรพี่ใหญ่เฉินก็เป็คนกันเอง
แต่คนอื่นๆ กลับไม่พอใจ
ถึงขั้นมีคนเห็นเป็ศัตรู
ถึงขั้นถูกคนชิงได้ไปก่อน!
จะให้พวกเขายินยอมเื่นี้ได้อย่างไร นั่นเป็เคล็ดวิชาขั้นฟ้าเชียวนะ!
ทุกคนจึงมองเซียวเฉินเป็ศัตรู สายตาเปล่งประกายเย็นเยียบทันที
“สหาย ในเมื่อเ้าเก็บเคล็ดวิชาขั้นฟ้าชิ้นนั้นได้ ไม่ทราบว่าจะนำมาแบ่งปันกับทุกคนได้หรือไม่?” มีคนหนึ่งส่งเสียง น้ำเสียงไม่อนุญาตให้โต้แย้ง ทำให้เซียวเฉินขมวดคิ้วนิดๆ
เซียวเฉินมองบุรุษคนนั้นแล้วเอ่ยเรียบๆ “เ้ามีสิทธิ์อะไร?”
ประโยคเดียว ทำให้ทุกคนไม่พอใจทันที
“หรือว่าเ้าจะอมไว้คนเดียว?” มีคนส่งเสียงอีก
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ และบอกให้เซียวเฉินนำเคล็ดวิชาขั้นฟ้ามาแบ่งปันกับทุกคน
เซียวเฉินหัวร่อหยัน “ข้าเป็คนเก็บได้ มันก็ต้องเป็ของข้า ทำไมต้องแบ่งกับพวกเ้าด้วย? ข้ารู้จักมักคุ้นกับพวกเ้าหรือ? อีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกเ้าก็บอกแล้วว่าถึงก่อนได้ก่อน หรือว่าคำพูดทั้งหมดเป็การผายลม?”
คำพูดของเซียวเฉินทำเอาทุกคนมีสีหน้าน่าเกลียด
ถูกต้อง พวกเขาเป็คนกล่าวไว้เช่นนั้น
“นั่นเป็คำพูดล้อเล่นของพวกเรา ถือเป็จริงเป็จังไม่ได้ อีกอย่าง แม้ตอนนี้พวกเราไม่รู้จักกัน แต่อย่างไรก็ต้องฝึกวิชาที่แคว้นกู่ด้วยกัน ก็ต้องคุ้นเคยกันอยู่ดี” คนผู้นั้นเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงราบเรียบ ทุกคนล้วนต้องเชื่อฟังเขาเหมือนเขาเป็เ้านาย เื่นี้ทำให้เซียวเฉินไม่พอใจ
เซียวเฉินเอ่ยต่อ “ดีชั่วอย่างไรพวกเ้าก็เป็บุตรหลานตระกูลใหญ่ พูดจาต้องมีสัจจะ ตอนนี้ถึงกับบอกว่าเป็คำพูดล้อเล่น พวกเ้าไม่กลัวว่าจะทำให้สำนักอาจารย์และวงศ์ตระกูลขายหน้าหรือ?” เซียวเฉินมองพวกเขาเหมือนจะยิ้ม
แต่แววตากลับดูแคลน
คนผู้นั้นมีสีหน้าอัปลักษณ์ทันที มองเซียวเฉินและเอ่ยช้าๆ “พูดแบบนี้หมายความว่าเ้าไม่ยินยอม? แต่เ้าไม่ลองคิดดูเล่าว่าเ้าตัวคนเดียวจะฮุบเคล็ดวิชาขั้นฟ้านี้ได้อย่างไร?”
ความหมายในคำพูดของคนผู้นั้นบ่งชัด หากเซียวเฉินไม่แบ่งปันเคล็ดวิชาขั้นฟ้ากับพวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมเลิกรา หากถึงเวลาลงมือขึ้นมา ก็จะไม่ใช่แค่เื่เคล็ดวิชาธรรมดาๆ แล้ว
ทุกคนมองเซียวเฉินเหมือนจะยิ้ม
เซียวเฉินก็หรี่ตามองทุกคน จากนั้นเอ่ยช้าๆ “ไสหัวไป!”
โอวหยางจิ้งหัวร่อหยันอยู่ในฝูงชน
‘ช่างเป็เ้าบ้าที่ไม่รู้จักตายจริงๆ ถึงกับคิดจะต่อต้านทุกคนเพื่อเคล็ดวิชาชุดเดียว ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ’
สิ้นเสียงของเซียวเฉิน ทุกคนก็มีสีหน้าน่าเกลียด
คนผู้นั้นกล่าว “ดูท่า เ้าคงไม่ดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราลงทัณฑ์ [1] ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็อย่าตำหนิที่พวกเราลงมือ” ระหว่างที่เอ่ยวาจา ทุกคนปลดปล่อยพลังเสวียนกดดันไปทางเซียวเฉินทันที
ฉู่เยียนหรานที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้ากังวล
“พี่ชาย พี่ใหญ่เฉินจะมีอันตรายหรือไม่?”
ฉู่หยวนยิ้มกล่าว “ไม่หรอก” คนอื่นไม่รู้ถึงความสามารถของเซียวเฉิน แต่เขารู้ดี นั่นคือระดับที่เหนือกว่าขั้นเสวียนฟ้า อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เพิ่มขึ้นเท่าหนึ่ง เซียวเฉินก็ไม่มีความกดดัน
และความจริงก็เป็เช่นนี้
เซียวเฉินแค่ยิ้มน้อยๆ ให้กับอานุภาพกดดันของพวกเขา
ครู่ต่อมา อานุภาพกดดันที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าก็ปลดปล่อยจากร่างของเซียวเฉินและกำราบทุกคนอย่างแ่าในพริบตา ดวงตาของเซียวเฉินฉายแววเ็า
“ในเมื่อพวกเ้าสงสัยความสามารถของข้า เช่นนั้น ข้าก็ต้องให้พวกเ้าชมสักหน่อยว่าข้าจะฮุบเคล็ดวิชาขั้นฟ้าไว้คนเดียวได้หรือไม่!”
ทุกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยน
สีหน้าที่มองเซียวเฉินเปลี่ยนจากดูแคลนเป็หวาดกลัว
โอวหยางจิ้งตื่นตระหนกยิ่งกว่า สีหน้าอัปลักษณ์ทันควัน
“เขาถึงกับอยู่ขั้นเสวียนเต๋า...”
“เป็ไปได้อย่างไร?”
“ยุ่งล่ะสิ...”
ทุกคนพากันถอยหลังด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ แอบบ่นในใจว่า ‘คราวนี้เตะถูกแผ่นเหล็กเข้าแล้ว...’
เซียวเฉินมองทุกคน มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “หากมีใคร้าเคล็ดวิชาขั้นฟ้าในอกข้าก็ออกมาได้เลย”
ชั่วขณะ ที่แห่งนั้นก็เงียบกริบ
ไม่มีใครกล้าออกมา แม้แต่เด็กหนุ่มที่เมื่อครู่มีท่าทางเหิมเกริมก็ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ แม้เขามีพร์เป็เลิศ แต่ยังไม่ถึงขั้นสู้กับขั้นเสวียนเต๋าได้
เซียวเฉินมองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีใครออกมา จากนั้นจึงเอ่ย “ในเมื่อไม่มี หากต่อไปใครกล้าหมายตาอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เอ่ยจบก็เดินไปหาฉู่หยวนและฉู่เยียนหรานช้าๆ และพาสองพี่น้องจากไปภายใต้การจับจ้องของทุกคน
---
[1] ไม่ดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราลงทัณฑ์ หมายถึง พูดดีๆ ไม่ทำ ต้องให้บังคับถึงจะทำ